หรงจ้านกับหลี่เฉิงซูกลับไปแล้ว เฉียวเยว่ก็รีบแล่นไปแจ้งข่าวกับมารดาของตนเองทันที
"เ้านึกว่าข้าไม่รู้สิ่งที่เ้าเล่ามาเหล่านี้หรือ?" ไท่ไท่สามมองบุตรสาวพลางเอ่ยเสียงเรียบ
เฉียวเยว่ตะลึงงัน หลังจากนั้นก็เอ่ยถาม "ท่านแม่รู้แล้วหรือ?"
ไท่ไท่สามย่อมรู้อยู่แล้ว เมื่อก่อนนี้นางอาจไม่รู้ แต่หลังจากพี่ใหญ่กลับไป นางก็นึกได้ในชั่วพริบตา ก็ว่าอยู่เหตุใดชื่อหลี่เฉิงซูไยถึงฟังคุ้นหูนัก ที่แท้เป็น้องสาวของหลี่เฉิงเซวียนพี่สะใภ้ของนางนี่เอง
หลี่เฉิงเซวียน หลี่เฉิงซู แท้จริงแล้วนึกเชื่อมโยงกันง่ายมาก แต่หลี่เฉิงซูถูกไล่ออกจากบ้านั้แ่เล็กมาก ดังนั้นทุกคนจึงลืมเลือนกันไปหมดแล้ว
ทว่ามีจุดหนึ่งที่ไท่ไท่สามไม่เข้าใจ ตอนนั้นหลี่เฉิงซูคือผู้ถูกปรักปรำ ผู้วางยาหลี่เฉิงเซวียนตัวจริงถูกจับได้ในอีกครึ่งปีให้หลัง เป็อนุภรรยาอีกคนหนึ่งของสกุลหลี่ นางจงใจวางยาพิษหลี่เฉิงเซวียนในวันที่อีกฝ่ายกลับมาเยี่ยมบ้าน แล้วใส่ร้ายป้ายสีหลี่เฉิงซู เพื่อให้พวกเขาเผชิญหน้ากันเอง
แม้จะหาตัวคนร้ายตัวจริงพบ แต่พวกเขากลับหาตัวหลี่เฉิงซูไม่เจอ ่แรกนายท่านผู้เฒ่าสกุลหลี่บอกว่าส่งคนลอบติดตามหลี่เฉิงซูไป พอเห็นว่านางกลายเป็ขอทานกลับไม่คิดจะสนใจนางอีก ต่อมาหลี่เฉิงซูก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ว่าใครก็ตามหานางไม่พบ
หลังจากที่หาคนร้ายตัวจริงพบแล้ว หลี่เฉิงเซวียนก็เสียใจมาก เพราะความเข้าใจผิดของตนเองทำให้น้องสาวหายตัวไป และเป็ไปได้สูงมากว่าจะตายไปแล้ว ความตรอมตรมทำให้อาการป่วยยิ่งทรุดลง ในที่สุดก็จากโลกนี้ไป
ส่วนนายท่านผู้เฒ่าหลี่ก็รู้สึกผิดอย่างมาก เพราะเขาปรักปรำบุตรสาวคนรอง บุตรสาวคนโตก็มาตายจากไป จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตเขาก็ยังหาตัวหลี่เฉิงซูไม่พบ และมิอาจได้เห็นหน้าบุตรสาวคนเล็กเป็ครั้งสุดท้าย
ตอนนั้นทุกคนล้วนเรียกนางว่าคุณหนูรองสกุลหลี่ อายุยังไม่ถึงสิบขวบด้วยซ้ำ เด็กหญิงอายุน้อยเพียงเท่านี้ คนยังจำใบหน้าของนางไม่ค่อยได้ สุดท้ายก็ลืมแม้กระทั่งชื่อของนาง
บัดนี้หลี่เฉิงซูมาปรากฏตัวอีกครั้ง เื่ราวทั้งหมดในอดีตจึงหวนคืนกลับมาในชั่วพริบตา
"ท่านลุงมีปมในใจกับนาง หากไม่เพราะนางหายไปตัว ป้าสะใภ้ของเ้าก็จะไม่โทษตนเองจนกลายเป็ซึมเศร้า ทำให้อาการของโรคหนักขึ้น สุดท้ายไร้ทางเยียวยาจึงจากโลกนี้ไป แต่หลี่เฉิงซูก็มีเหตุผลที่จะแค้นเคืองทุกคนที่เกี่ยวข้องกับสกุลหลี่ในปีนั้น นางเป็คุณหนูอยู่ดีๆ ต้องกลายมาเป็ขอทาน ใครจะรู้ว่านางต้องลำบากแสนเข็ญเพียงไหน" ไท่ไท่สามเอ่ย
เฉียวเยว่นิ่งไปสักพัก นางไม่ได้มีประสบการณ์ชีวิตมากมาย ย่อมไม่รู้เื่ราวอันใด นางเข้าไปกอดแขนไท่ไท่สาม "ดังนั้น ไม่ว่าจะโกรธมากแค่ไหน ก็ไม่ควรทำสิ่งใดหุนหันพลันแล่น มิเช่นนั้นอาจต้องเสียใจภายหลังชั่วชีวิต"
ไท่ไท่สามมองนางปราดหนึ่ง เห็นนางทำสีหน้าจริงจังก็เอ่ยว่า "เด็กอย่างเ้าจะรู้อะไร?"
เฉียวเยว่เชิดหน้า ยืดอกตรง "ข้าไม่ใช่เด็กแล้วเสียหน่อย ไม่ว่าเื่ไหนข้าก็รู้"
มีแต่คนเป็แม่เท่านั้นถึงจะรู้สึกว่าบุตรสาวของตนเองยังเป็เด็กอยู่เสมอ เฉียวเยว่ซบบนแขนของมารดา พลางเอ่ยเสียงเบา "ท่านแม่ แท้จริงแล้วทั้งท่านลุงและพี่หญิงหลี่ล้วนไม่มีใครถูกผิดใช่หรือไม่"
ไท่ไท่สามพยักหน้า "ถูกต้อง แต่บางครั้งแม้ไม่มีผู้ผิด ช่องว่างกลับยังไร้จุดสิ้นสุด"
เฉียวเยว่เบะปาก "แต่ผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว ท่านลุงมองปราดเดียวก็จำพี่หญิงหลี่ซึ่งเติบใหญ่แล้วได้ ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน"
ไท่ไท่สามยิ้มขื่น "คำสั่งเสียที่ป้าสะใภ้ของเ้าฝากฝังไว้ก่อนตาย ก็คือให้ลุงของเ้าตามหาน้องสาวที่หายไปคนนี้ให้พบ ไม่ว่าจะเป็หรือตายก็ต้องตามหานาง"
เฉียวเยว่ขบริมฝีปาก สงวนวาจา
"หรงจ้านพาหลี่เฉิงซูกลับมา อาจเป็การเติมเต็มความปรารถนาในใจของลุงเ้าก็เป็ได้"
เฉียวเยว่มองไท่ไท่สามด้วยความประหลาดใจ
"หากน้องชายเ้าเติบโตขึ้นแล้วฉลาดปราดเปรื่องได้สักครึ่งหนึ่งของอวี้อ๋อง ข้าก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวลแล้ว" ไท่ไท่สามเอ่ยพลางถอนหายใจ
เฉียวเยว่หัวเราะออกมา "ท่านแม่กล่าวเช่นนี้ช่างน่าเศร้าใจจริงๆ ข้ากับน้องชายเฉลียวฉลาดทั้งคู่ ท่านเห็นบุตรของผู้อื่นดีกว่าได้อย่างไร"
ไท่ไท่สามกลอกตาใส่เฉียวเยว่ "ตอนเ้าไม่ก่อปัญหาก็ทำอะไรสู้ผู้อื่นไม่ได้"
นางพิจารณาบุตรสาว "แม้ว่าเ้าจะมีไหวพริบ แต่มิอาจเทียบกับอวี้อ๋องอยู่ดี"
เฉียวเยว่ยิ้ม "ท่านแม่ชื่นชมเสียขนาดนี้ ใครไม่รู้คงนึกว่าพี่จ้านเป็บุตรชายของท่าน จิ๊ๆ"
แม่หนูน้อยเริ่มเกิดความริษยา
แต่ไท่ไท่สามกลับมองนางแต่ไม่พูดอย่างอื่น หากให้พูด นางก็อยากจะตอบกลับไปเหลือเกิน ว่าก็ไม่แน่หรอก ภายหน้าอวี้อ๋องอาจจะมาเป็บุตรชายของนางก็เป็ได้ แต่บางถ้อยคำยังไม่อาจฟันธงออกไป ใครเล่าจะรู้เื่ราวของภายภาคหน้าได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้อวี้อ๋องดูเหมือนจะรักเฉียวเยว่มาก หากบอกว่าเขาไม่มีใจแม้แต่น้อย ไท่ไท่สามก็คงไม่เชื่อ
นางผ่านชีวิตในวัยหนุ่มสาวมาแล้ว ย่อมเข้าใจทุกสิ่ง ไม่ว่าใครก็ไม่จำเป็ต้องปิดบัง
"เอาล่ะ หากไม่มีอะไรแล้ว เ้าก็อย่ามาโอ้เอ้อยู่แถวนี้เลย กลับไปเถอะ ่บ่ายข้าจะกลับไปจวนสกุลฉีสักรอบ"
เฉียวเยว่จ้องตาแป๋ว
"เ้ามองอะไรของเ้า เื่บางเื่อย่ายุ่งให้มากนัก" ไท่ไท่สามกล่าวอีกครา
เฉียวเยว่รู้สึกไม่ได้รับความเป็ธรรม นางยกมือขึ้นเอ่ยว่า "ข้ามิได้ยุ่งอันใดเสียหน่อย ท่านแม่กล่าวเช่นนี้ ข้าจะทำอย่างไรเล่า ข้าน้อยใจจะตายอยู่แล้ว"
ไท่ไท่สามไหนเลยจะไม่รู้ว่าบุตรสาวเป็อย่างไร จึงไม่ถกเหตุผลกับนางมากมาย แล้วชี้ไปที่ประตู เฉียวเยว่เดินออกไปอย่างเชื่อฟัง
นางกลับไปที่ห้อง ขบคิดอยู่ในใจว่าหรงจ้านจะรู้เื่นี้หรือไม่
หากเป็เช่นนี้ ก็เท่ากับยิงะุนัดเดียวได้นกสองตัว แต่พอนึกถึงหรงจ้าน ก็รู้สึกว่าเื่ยิงะุนัดเดียวได้นกสองตัวก็ไม่แน่ว่าจะเป็จริงได้
แต่เฉียวเยว่รู้ว่าหรงจ้านสุขภาพไม่ดี ยามนางพิงเขาเมื่อเช้า ก็ััได้ถึงกลิ่นยาที่คล้ายมีคล้ายไม่มีจากตัวเขา จมูกของเฉียวเยว่ค่อนข้างไว จึงได้กลิ่นชัดมาก
แม้หรงจ้านจะเฉไฉเบี่ยงประเด็นไปเื่อื่น แต่หลังจากตรองดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว สภาพร่างกายของหรงจ้านน่าจะมีปัญหาแน่นอน
ก่อนหน้านี้นางมัวแต่สนใจเื่ของบิดามารดาและเื่ของท่านลุง จนลืมถามเกี่ยวกับสุขภาพของหรงจ้านอย่างถี่ถ้วน แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งหวั่นวิตก
เขาเคยได้รับาเ็มาก่อน แม้จะรักษามายาวนานก็ควรหายได้แล้ว แต่ตอนนั้นเขาพูดอย่างไร เขาบอกว่าตนเองเคยต้องพิษยามเยาว์วัย ดังนั้นจึงมีร่างกายพิเศษ พิษใดๆ มิอาจกล้ำกราย
เฉียวเยว่ไม่รู้วิชาแพทย์ จึงไม่สงสัยกับคำกล่าวเช่นนี้ แต่เมื่อมาตรองดูอย่างละเอียด หากร่างกายมีคุณสมบัติต้านพิษ แสดงว่าเขาต้องมีปัญหาใหญ่เป็แน่
ต้องโทษนางตอนนั้นที่ไม่ได้คิดอย่างถี่ถ้วน
เฉียวเยว่นอนพลิกตัวกลับไปกลับมาอยู่ในห้อง อยากไปพบหรงจ้านให้ได้เสียเดี๋ยวนี้ แล้วถามให้รู้เื่
เป็เวลาหลายปีมาแล้วที่นางละเลยทุกอย่างไป มักคิดว่าหรงจ้านจิตผิดปรกติจึงแตกต่างจากคนสามัญทั่วไป แต่หากมิใช่เล่า?
เฉียวเยว่ขบริมฝีปากอย่างหวาดวิตก
หากมีโรคที่ทำให้หรงจ้านตัวร้อนในฤดูหนาว แต่กลับกลัวความหนาวยามหน้าร้อนเล่า?
ยามนี้เป็เวลาบ่ายคล้อย แท้จริงแล้วก็ไม่นับว่าเช้า แต่เฉียวเยว่ก็ยังตัดสินใจออกจากจวน นางมาที่เรือนหลัก แต่ยามนี้ไท่ไท่สามออกจากจวนซู่เฉิงโหวไปจวนสกุลฉีแล้ว
เฉียวเยว่คิดแล้วก็ไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าที่เรือนหลัก หลังจากนั้นก็ออกจากจวน
อวิ๋นเอ๋อร์ติดตามอยู่ข้างกายเฉียวเยว่ "คุณหนู พวกเราออกมาเย็นขนาดนี้ จะไม่เป็ไรจริงหรือเ้าคะ"
เฉียวเยว่ส่ายหน้า "ข้ามิได้ไปจวนอวี้อ๋องเสียหน่อย"
นางสั่งคนบังคับรถม้าไว้แล้ว ไม่ช้าก็มาถึงร้านตำรา เถ้าแก่เห็นนางมาถึง ก็เชื้อเชิญนางเข้าไปด้านในทันที เฉียวเยว่อมยิ้มกล่าวว่า "มีตำราใหม่อะไรบ้าง?"
แต่นางก็ไม่รอคำตอบจากเถ้าแก่ ค่อยๆ ค้นหาไป ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เฉียวเยว่ได้ยินเสียงเถ้าแก่ทักทายอย่างกระตือรือร้น ก็หันกลับไปมอง ปรากฏว่าเป็หรงจ้านพอดี
หรงจ้านคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ท่าทางเหนื่อยล้า ดูเหมือนจะรีบร้อนเดินทางมา มุมปากของนางโค้งขึ้นเป็รอยยิ้ม ยอบกายเล็กน้อย "พี่จ้าน ช่างบังเอิญยิ่งนัก"
หรงจ้านชะงักเล็กน้อย ก่อนอมยิ้มตอบกลับมา "บังเอิญมาก"
น้ำเสียงคำว่าบังเอิญมากแฝงไปด้วยความนัยล้ำลึก ทั้งสองต่างยิ้มอย่างรู้กัน
เฉียวเยว่วางตำราในมือลง อาจเป็เพราะยามนี้ในร้านมีลูกค้าเพียงสองสามคนจึงค่อนข้างสงบเงียบ
"เฉียวเยว่มาเลือกตำราอันใด?" หรงจ้านถาม
เฉียวเยว่ชี้ไปที่ม้วนตำรา "แค่มาดูเล่นๆ"
หรงจ้านยิ้มมุมปากเดินขึ้นบันไดไป แต่ไม่นานนัก เฉียวเยว่ก็เดินตามขึ้นไป บัดนี้หรงจ้านรอนางอยู่ที่ชั้นสามแล้ว
จนกระทั่งเฉียวเยว่มาถึง เขาก็ถามนาง "เ้ามาหาข้ามีธุระอันใด?"
เฉียวเยว่เงยหน้า "ไม่มีธุระก็มาหาท่านมิได้หรือ?"
หรงจ้านอึ้งไปชั่วขณะ มองเฉียวเยว่อย่างพินิจั้แ่หัวจรดเท้า ก่อนหัวเราะออกมา "ย่อมมิใช่อยู่แล้ว"
หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นเดินเข้ามาข้างกายเฉียวเยว่ เห็นดวงหน้าของนางเชิดขึ้นเล็กน้อย ก็อดใจไม่ได้ ยื่นมือเข้าไปหมายลูบใบหน้าของนาง เฉียวเยว่หน้าแดง ถอยไปด้านหลังขบริมฝีปาก
มือของหรงจ้านหยุดกลางอากาศ จากนั้นก็ยิ้มแล้วเอ่ยช้าๆ "เ้าหลบอะไร? ข้ากินเ้าได้เยี่ยงนั้นหรือ?"
"ใครจะไปรู้เล่า ข้าไม่ใช่ท่านเสียหน่อย ไม่แน่คนวิปริตเช่นท่านอาจชอบกินเด็กสาวอายุน้อยก็เป็ได้” เฉียวเยว่โต้กลับทันควัน
หรงจ้านทอยิ้มอ่อนจางออกมา เขากลับไปนั่งที่เดิม แล้วรินน้ำชาให้ตัวเอง
เฉียวเยว่มองใบหน้าซีกข้างของเขา ไม่รู้ว่านางคิดมากไปเองหรือไม่ นางมักรู้สึกว่าสีหน้าของหรงจ้านดูซีดมาก เฉียวเยว่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยเสียงเบา "ท่านมีธุระหรือไม่?"
หรงจ้านส่ายหน้าอย่างหนักแน่น "ไม่มีอยู่แล้ว ไยข้าต้องมีธุระด้วยเล่า?"
เฉียวเยว่เดินเข้ามามองเขาอย่างพิจารณาั้แ่หัวจรดเท้า แล้วถามเสียงเบา "สุขภาพของท่านไม่ดีใช่หรือไม่?"
"ท่านอย่าปิดบังข้า พี่หญิงหลี่มาเมืองหลวงครานี้ก็เพื่อมาตรวจให้ท่านใช่หรือไม่?" นางถามอย่างจริงจัง
เฉียวเยว่ซักไซ้ไม่หยุด หรงจ้านหลุบสายตาแล้วเอ่ยว่า "ความอยากรู้อยากเห็นของเ้ามากเกินไป ไม่ดีอย่างยิ่ง เ้าไม่กลัวถูกฆ่าปิดปากเลยรึ?"
"ท่านทำไม่ลงหรอก" เฉียวเยว่โต้กลับไปตรงๆ
พอคำกล่าวนี้หลุดออกมา ทั้งสองต่างอึ้งและมองหน้ากัน เฉียวเยว่ขบริมฝีปาก ก่อนเอ่ยว่า "ข้า... ข้าไม่มีความหมายอื่น"
ดวงหน้าน้อยแดงระเรื่อ ไม่รู้เพราะเหตุใดนางถึงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
หรงจ้านมองเฉียวเยว่อย่างพินิจ เห็นพวงแก้มทั้งสองของนางแดงซ่าน แลดูน่ารักสดใส ชั่วขณะนั้นก็ไม่อาจละสายตา
ทั้งสองสบตากันอยู่เช่นนี้ เฉียวเยว่ขบริมฝีปาก
สายตาของหรงจ้านเลื่อนไปที่ฟันของนาง ดวงตาเข้มขึ้นหลายส่วน
"ท่าน... เป็หนักหรือไม่?" นางเอ่ยเสียงเบา
หรงจ้านยิ้มออกมาอย่างช้าๆ "เ้าเป็ห่วงข้า?"
เฉียวเยว่มักปากไม่ตรงกับใจเสมอ นางเงยดวงหน้าที่แดงระเรื่อ เถียงกลับอย่างรวดเร็ว "ไม่ใช่เสียหน่อย"
แต่ยิ่งกล่าวเช่นนี้ รอยยิ้มของหรงจ้านก็ยิ่งล้ำลึกมีเลศนัย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้