สถานการณ์ในยามนี้เข้าสู่ทางตันอันน่าหวั่นวิตก ผู้คนในเหตุการณ์ แม้แต่คนขลาดเขลายังมองออก
องค์หญิงใหญ่ชิงเหอช่วยตรัสแทนฮองเฮาอวี่เหวิน ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงกลับใช้อุบายทนทุกข์กาย ดูเหมือนประนีประนอม แต่ความจริงแล้ว นางมิได้ยอมจำนนเลยแม้แต่น้อย
ในฝูงชน ฉางไทเฮาเฝ้ามองเื่ราวทั้งหมด พระหัตถ์ยังคงนับลูกประคำ จากนั้นชำเลืองมองฮูหยินผู้เฒ่าหนานกง ยามที่ทอดพระเนตรมองงิ้วฉากนี้ ในพระทัยขบขันเล็กน้อย หากยายเฒ่าคนนี้รู้ว่าเหนียนอีหลานไม่ได้ตายอย่างที่นาง้า ในยามนี้จะยังบีบคั้นฮองเฮาอวี่เหวินให้ส่งตัวเหนียนอีหลานออกมาอย่างหนักเยี่ยงนี้หรือไม่?
ฉางไทเฮาเลิกคิ้ว หากเหนียนอีหลานโผล่ออกมาจริง ทว่ากลับไม่ได้บุบสลายแต่อย่างใด... ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงจะมีท่าทีอย่างไร?
ครั้นคิดเยี่ยงนี้ ฉางไทเฮาจึงกวาดพระเนตรมองผู้คนในฝูงชน ครั้นไม่เห็นเงาร่างของจ้าวเยี่ยน ความพอใจซึ่งแอบซ่อนอยู่ลึกในดวงเนตรคู่นั้นพลันยิ่งแข็งกล้า
"ฮองเฮา ฝ่าา กระหม่อมขอพระเมตตาทั้งสองพระองค์ทรงกรุณาเห็นแก่ท่านแม่อายุมากที่เป็ห่วงอีหลาน ทรงพระราชทานาานุญาตให้ท่านแม่ได้เจอหน้าอีหลานด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ แค่เห็นหน้าก็ดียิ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงเลี่ยคุกเข่าลงกับพื้น วิงวอนร้องขออย่างจริงใจ
การได้เห็นสักครั้งย่อมดีแน่นอน เช่นนั้นฮองเฮาอวี่เหวินก็ต้องส่งตัวนางออกมามิใช่หรือ?
ชั่วขณะหนึ่ง สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ฮองเฮาอวี่เหวิน แม้แต่ฮ่องเต้หยวนเต๋อยังจ้องมองนาง ภายในพระทัยมีการคาดเดาอย่างคลุมเครือ
หรือจะเป็อย่างที่ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงกังวลแบบเมื่อครู่นี้จริงๆ ฮองเฮาอวี่เหวินทำอันใดกับเหนียนอีหลาน?
หากเป็เช่นนั้นจริงคงจะเป็ปัญหาใหญ่เสียแล้ว!
"ฮองเฮา" ฮ่องเต้หยวนเต๋อตรัสอย่างเคร่งเครียด สุรเสียงเจือความไม่พอพระทัยและหยั่งเชิง
ดวงพระเนตรของฮองเฮาอวี่เหวินตึงเครียดเล็กน้อย สีพระพักตร์ค่อนข้างวิตกกังวล นางเข้าใจอย่างดีว่าวันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงจะต้องบังคับให้ตนส่งตัวเหนียนอีหลานออกมา!
ไตร่ตรองอยู่ครู่ใหญ่ ฮองเฮาอวี่เหวินพลันสรวลออกมาอย่างแ่เบา “เปิ่นกงไม่รู้ว่า เหตุใดฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงและใต้เท้าหนานกงจะต้องมาถามหาเปิ่นกงว่าอยากเจอคุณหนูใหญ่สกุลเหนียนอยู่ด้านหน้ากระโจมพังๆ เช่นนี้ด้วย!”
ครั้นตรัสจบ ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงอึ้งงันไปเล็กน้อย นางหมายความว่าอย่างไร?
“ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ เห็นได้ชัดว่าอีหลาน...” หนานกงจื้อเอ่ยปาก
ทว่ายังไม่ทันกล่าวจบ ฮองเฮาอวี่เหวินพลันกล่าวขัดบทอย่างเ็า “เห็นได้ชัดอันใด? เห็นได้ชัดว่าอยู่ในกระโจมหรือไร เปิ่นกงอยากจะถามเสียจริงว่า ั้แ่จนจบ เปิ่นกงเคยกล่าวออกไปเมื่อใดว่า คุณหนูใหญ่สกุลเหนียนอยู่ข้างใน? ช่างแปลกนัก ฮูหยินผู้เฒ่ากลับรู้สึกมั่นใจถึงเพียงนี้... หึ...”
ฮองเฮาอวี่เหวินกล่าวไม่จบ แต่เสียงสรวลอันแ่เบากลับแฝงความนัยอย่างแจ่มแจ้ง
ทันใดนั้น สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงพลันแปรเปลี่ยน
ครั้นครุ่นคิดถึงเื่เมื่อครู่นี้ ฮองเฮาอวี่เหวินไม่เคยตรัสว่าอีหลานอยู่ข้างในจริงๆ ทว่า...
แววตาของฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงสั่นไหว ภาพนั้นอยู่ในสายตาของฮองเฮาอวี่เหวิน ดวงพระเนตรซ่อนประกายลึกลับ ฮองเฮาก้าวไปข้างหน้าและประคองฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงให้ลุกขึ้น พร้อมกับจับมือนางเบาๆ “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านอย่าร้อนใจไปเลย ในเมื่อเปิ่นกงพานางเข้าวังมาดูแล เช่นนั้นจะจัดแจงให้นางอยู่ในสถานที่เช่นนี้ได้อย่างไรเล่า? ท่านต้องเชื่อใจเปิ่นกง ถึงแม้มันจะเป็ประโยชน์กับตระกูลหนานกง เปิ่นกงก็จะดูแลนางอย่างดี!”
ถ้อยคำที่กล่าวว่า ‘ดูแล’ ฟังดูปกติธรรมดา ทว่าการกระทำเช่นนี้ของฮองเฮาอวี่เหวิน กลับทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงตื่นใเล็กน้อย
"เช่นนั้นอีหลานอยู่ที่ใดพ่ะย่ะค่ะ?” หนานกงเลี่ยถามคำถามที่อยู่ในใจทุกคนอย่างอดรนทนไม่ไหว
ฮองเฮาอวี่เหวินขมวดคิ้ว แย้มสรวลเบิกบาน “ใต้เท้าหนานกงประคองฮูหยินผู้เฒ่าไปนั่งพักในตำหนักชีอู๋จะไม่ดีกว่าหรือ ผู้เฒ่าอย่างนางจะได้ไม่ต้องเป็ลมเป็แล้งเสียที่นี่ ส่วนเื่คุณหนูใหญ่เหนียน ในเมื่อพวกท่านอยากเจอ เช่นนั้นเปิ่นกงจะให้คนไปตามนางมา”
ฮองเฮาอวี่เหวินตรัสจบ สะบัดแขนเสื้อหันหลังเดินออกไปนอกสวนร้อยสัตว์โดยไม่สนใจผู้คน
ทุกคนเฝ้ามองแผ่นหลังของนาง อึ้งงันไปชั่วครู่ใหญ่ เจินกูกูรีบตามไปทันที ส่วนคนอื่นๆ ก็กลับมาได้สติ ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงเหลือบมองกระโจม นางในยามนี้ค่อนข้างตื่นตระหนก
หากเป็เช่นที่นางคาดเดาจริง หากฮองเฮาอวี่เหวินย้ายร่างออกไปแล้ว เช่นนั้นความสงบนิ่งของฮองเฮาเมื่อครู่นี้ แปลว่านางมีวิธีรับมือแล้วงั้นหรือ?
ครั้นคิดถึงสิ่งนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงพลันขมวดคิ้วมุ่น ทว่าไม่ว่าจะเป็อย่างไร วันนี้ฮองเฮาอวี่เหวินจะต้องส่งตัวอีหลานกลับมา!
ฮองเฮาอวี่เหวินย่ำฝีเท้าก้าวเดินอย่างเร่งรีบโดยมีคนอื่นทยอยตามหลังมา
จนกระทั่งออกมาจากสวนร้อยสัตว์ รอยแย้มพระสรวลซึ่งประดับบนพระพักตร์ของฮองเฮาอวี่เหวินพลันหุบลง
“เกิดอันใดขึ้นกันแน่? เหตุใดเหนียนอีหลานถึงไม่อยู่ข้างใน เ้าตรวจดูชัดเจนแล้วหรือ?” ฮองเฮาอวี่เหวินลดเสียงลง สีพระพักตร์เคร่งเครียด กล่าวกับเจินกูกูซึ่งอยู่ข้างกายตนเอง
“ทูลฮองเฮาเพคะ บ่าวตรวจดูอย่างชัดเจนแล้วเพคะ นอกจากร่างของฟางเหอในกระโจมก็ไม่มีสิ่งอื่นใดเลยเพคะ เหนียนอีหลาน...” เจินกูกูย่นคิ้ว ใบหน้าเคร่งเครียด แม้แต่นางยังรู้สึกถึงกลิ่นอายของการสมรู้ร่วมคิด และตัวการหลักในการสมรู้ร่วมคิด บางทีอาจจะเป็ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงที่คอยกดดันผู้นั้น
ทว่าจุดประสงค์ของพวกเขาคือสิ่งใด?
“ฮองเฮาเพคะ เื่นี้...ช่างแปลกประหลาดนัก!” เจินกูกูกล่าวชี้ชัดตรงประเด็น “เมื่อคืนบ่าวเข้าไปในสวนร้อยสัตว์ เหนียนอีหลานยังอยู่ในนั้น นี่เพิ่งจะผ่านมาคืนเดียว...”
ฮองเฮาอวี่เหวินชะงักฝีเท้า แปลกประหลาด มันแปลกประหลาดอย่างแท้จริง!
"ผ่านมาคืนเดียว..." ฮองเฮาอวี่เหวินพึมพำ ก้าวต่อไปอีกครั้ง เก็บงำความมืดมนในดวงเนตร
ผ่านมาคืนเดียว เหนียนอีหลานก็ไม่อยู่เสียแล้ว นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
เมื่อครุ่นคิดถึงการกระทำแต่ละอย่างของฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงในวันนี้อย่างละเอียด ฮองเฮาอวี่เหวินหรี่ดวงเนตรลง “ดูเหมือนเมื่อคืนนี้เพียงแค่คืนเดียวจะมีเื่บางอย่างเกิดขึ้นในตำหนักชีอู๋ แม้แต่กับเปิ่นกงยังปิดบังได้ ช่างน่ารังเกียจเสียจริง!”
เงาร่างในชุดเรียบง่ายทว่าสง่างามผุดเข้ามาในหัวฮองเฮาอวี่เหวิน เื่ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับนางหรือไม่?
"ช้าก่อน เ้าไปเชิญคุณหนูอีหลานมา” ฮองเฮาอวี่เหวินตรัสด้วยเสียงทุ้มลึก
เจินกูกูนิ่งงันไปเล็กน้อย เชิญคุณหนูอีหลาน? ทว่าไม่รู้ว่าตัวคุณหนูอีหลานอยู่ที่ใด...
เจินกูกูยังไม่ทันได้เอ่ยถามสิ่งใดมาก กลุ่มผู้คนด้านหลังก็เดินตามมาทันแล้ว เจินกูกูหันหน้ากลับไปมองผู้คน เห็นเพียงพระพักตร์มืดมนของฮ่องเต้หยวนเต๋อซึ่งก้าวเดินอยู่ด้านหน้าสุด ในทางตรงข้ามฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงกลับเดินอยู่รั้งท้ายสุด มีหนานกงฉี่กับหนานกงจื้อคอยประคอง
เจินกูกูครุ่นคิดถึงคำสั่งเมื่อครู่นี้ของฮองเฮาอวี่เหวิน ในไม่ช้าจึงถอนสายตากลับมา ทว่ากลับมิได้สังเกตเลยว่า ยามที่ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงเพิ่งเดินออกจากประตูหินสวนร้อยสัตว์ ฝีเท้านางสะดุดเล็กน้อย ผ้าเช็ดหน้าซึ่งพกไว้ข้างลำตัวปลิวหล่นตกลงบนพื้นดิน
ด้านหลัง สตรีในชุดเรียบง่ายทว่างดงามก้าวเดินมาข้างหน้า และหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา ดวงเนตรสงบนิ่งพาดผ่านประกายบางอย่าง
“ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกง...” เสียงอันอ่อนโยนดังขึ้น ฉางไทเฮารั้งเรียกคนตรงหน้า
ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงหยุดฝีเท้า เสียงนั้นนางย่อมจำได้แน่นอน ครั้นนึกถึงสัญญาที่รับปากกับฉางไทเฮา รวมถึงแผนการในใจของตนเอง ท้ายที่สุดฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงจึงหันหลังกลับไปมองสตรีในชุดเรียบง่าย ผู้ซึ่งเอ่ยทักทายผู้นั้น
“ไทเฮา...” ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงย่อกาย โค้งคารวะอย่างนอบน้อม เสียงที่เอ่ยยากจะปกปิดความอ่อนแรง
ฉางไทเฮาค่อยๆ ก้าวมาข้างหน้า ยื่นผ้าเช็ดหน้าที่เพิ่งเก็บขึ้นมา ส่งให้ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงด้วยพระพักต์อันอบอุ่นอ่อนโยน “ฮูหยินผู้เฒ่า ผ้าเช็ดหน้าของท่านตกแล้ว”
ยามที่กล่าว ฉางไทเฮาเดินมาถึงตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองยืนอยู่ตรงข้ามกัน ฉางไทเฮายื่นพระหัตถ์ ผ้าเช็ดหน้าวางอยู่บนฝ่าพระหัตถ์นั้นอย่างไม่ไหวติง
ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงเหลือบมองผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น จากนั้นสบดวงเนตรอันอ่อนโยนของฉางไทเฮา “หม่อมฉันขอบพระทัยไทเฮาเพคะ”
ประโยคกล่าวขอบคุณนั้น สำหรับผู้อื่นคงคิดว่าเป็คำขอบคุณสำหรับน้ำใจที่เก็บผ้าเช็ดหน้าให้ ทว่าในใจของคนทั้งสอง ต่างเข้าใจดีถึงความหมายแฝงที่แท้จริงในคำว่า ‘ขอบคุณ’