“ลั่วหรานเธอจำข้อมูลทั้งหมดได้แล้วเหรอ?” หลิวเหมยมองไปยังหลินลั่วหรานที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวน้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
หลังจากบอกอายุที่แท้จริงไปแล้วหลิวเหมยก็ไม่ได้เรียกหลินลั่วหรานว่า “เสี่ยวหลิน” อีก แต่ก็ยังคงยืนยันว่าหลินลั่วหรานดูเด็กเกินไปหลิวเหมยแสดงความ “อิจฉา” ของเธอออกมาอย่างเปิดเผยว่าทนเรียกเธอว่าพี่หลินไม่ได้จริงๆ
เมื่อถูกเรียกหลินลั่วหรานถึงได้สติกลับมา
“ใช่แล้ว เกือบๆ แล้วล่ะต่อจากนี้เวลาช่วยเฝ้าเคาน์เตอร์ให้ ก็จะไม่ปล่อยให้ลูกค้าผ่านไปอีกแล้วนะ” หลินลั่วหรานส่งรอยยิ้มให้เป็การรับประกันก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะทำให้พนักงานอีกหลายคนเบ้ปากออกมา
สำหรับคนที่มีประสาทดีแบบหลินลั่วหรานก็แน่นอนว่าเธอสามารถรับรู้ได้ถึงท่าทางของพวกเธอเ่าั้แต่ไม่ว่าจะเป็ที่ทำงาน หรือในการใช้ชีวิตทั่วไปมีคนรักก็ย่อมมีคนเกลียดเป็ธรรมดา ไม่จำเป็จะต้องไปคิดอะไรมาก
ตอนนี้เวลาผ่านมาจากวันที่หลินลั่วหรานและเป่าเจียพบเด็กชายที่ถูกทารุณบริเวณถนนแคบมากกว่าสี่วันแล้วเมื่อวานตอนที่เด็กชายไข้ขึ้นสูง จนอาการทรุดลงหลินลั่วหรานก็แอบนำน้ำแร่ไปให้ดื่ม เพื่อให้ร่างกายของเขาฟื้นฟูขึ้นมาได้ไวขึ้นาแบนใบหน้าและร่างกายก็กำลังได้รับการฟื้นฟู
แต่าแที่ใหญ่ที่สุดในตัวของเขาเป็าแภายในและยังมีรอยเท้าที่ฝังลึกลงบนตัวของเขา ที่มองออกได้ง่ายๆว่าคงโดนคนใช้แรงกระทืบลงมาอย่างหนัก าแภายในย่อมยากที่จะรักษาจึงยังต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลไปอีกระยะหนึ่ง
ที่จริงการที่หลินลั่วหรานกับเป่าเจียได้ช่วยเขาเอาไว้และยังตามรถพยาบาลไปที่โรงพยาบาล ก็นับเป็การช่วยเหลือมากแล้ว แต่เมื่อหมอวินิจฉัยออกมาว่าเขามีอาการออติสม(ภาวะผิดปกติทางการสื่อสารและอารมณ์) อีกทั้งตำรวจก็ไม่สามารถถามหาที่มาของเขาได้แม้แต่เบาะแสสักนิดก็ไม่มี ในเวลานั้น การตามหาครอบครัวของเขาจึงเป็ไปได้ยากและนั่นทำให้หลินลั่วหรานและเป่าเจียรู้สึกเป็กังวล
แม้แต่ในเวลาที่หมอกำลังจะฉีดยาให้ใบหน้าของเด็กชายตัวน้อยเต็มไปด้วยความกลัว ไม่ว่าจะปลอบอย่างไรก็ช่วยอะไรไม่ได้คำพูดปลอบประโลมของเหล่าพยาบาลไม่ได้เข้าไปในหูของเขาเลยแม้แต่น้อย เขาได้แต่หมกมุ่นอยู่ในโลกของตัวเอง
แต่เมื่อเห็นว่าหลินลั่วหรานมาเยี่ยมเขาััลงที่มือของเขาเบาๆ ใบหน้าของเด็กชายตัวน้อยก็ค่อยๆ ปรากฏความสบายใจและค่อยๆสงบลง แม้ว่าจะยังคงไม่ยอมพูดจา แต่ในเวลาที่หลินลั่วหรานจะกลับ ก็ต้องพยายามยืนยันกับเขาหลายหนว่าจะกลับมาเยี่ยมอีกเขาถึงได้ยอมปล่อยเธอ
เมื่อสถานการณ์เป็แบบนี้ทุกคนก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ตำรวจตรวจตราในวันนี้มีความรับผิดชอบค่อนข้างดีเขาพยายามดำเนินเื่นี้อยู่ตลอด อีกทั้งยังมีพูดกับหลินลั่วหรานเป็การส่วนตัวหวังรบกวนให้เธอช่วยแวะเวียนมาบ้าง ในระหว่างที่ยังตามหาครอบครัวของเขาไม่เจอ
แม้ว่าเป่าเจียจะชอบล้อว่าเธอจะได้เป็แม่ก่อนกำหนดแล้ว แต่หลินลั่วหรานเองก็รู้ดีถึงความเป็ห่วงของเพื่อนไม่อย่างนั้นเธอคงจะไม่ยอมไปโรงพยาบาลด้วยกัน แถมยังตรงเวลาทุกครั้งแบบนั้น อย่างไรทั้งสองคนก็เป็คนช่วยเด็กคนนี้เอาไว้ถ้าพวกเธอยังไม่สนใจ แล้วจะไปหวังให้ใครมาสนใจกันล่ะ?
หลินลั่วหรานค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับเด็กชายที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ทราบชื่อเวลาทำงานจึงมักมีอาการจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก เมื่อสักครู่ก็เป็เพราะคำถามของหลิวเหมยเธอถึงได้หลุดออกมาจากภวังค์
“ยินดีต้อนรับค่ะ” เมื่อเห็นว่ามีลูกค้าเดินเข้ามาที่เคาน์เตอร์หลิวเหมยก็เอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม
หลินลั่วหรานเองก็เก็บความรู้สึกเอาไว้ภายในก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็ต้องชะงัก คนที่เดินเข้ามาคนนี้มีอายุราวๆสี่สิบกว่าปี บนเนื้อตัวต่างสวมใส่สินค้าแบรนด์เนม แต่ผิวกลับหมองคล้ำอีกทั้งยังเป็คนที่บอกให้เธอและเป่าเจียเรียกว่า พี่หวัง อีกด้วยเธอคือคุณนายซุยนั่นเอง
ตัวพี่หวังเองก็ทำงานด้านอัญมณีอยู่แล้วไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่จะต้องมาสถานที่แบบนี้ อีกทั้งเมื่อเห็นเธอส่งรอยยิ้มมาให้หลินลั่วหรานก็เดาได้ทันทีว่า เธอคงจะมาหาตัวเองเป็แน่
หลังจากการพนันหยกครั้งนั้นทั้งสองได้ติดต่อกันอยู่หลายครั้ง แต่ต่างก็เป็การทักทายถามสู่วันนี้ไม่รู้ว่ามีเื่อะไร ถึงได้ทำให้เธอถึงกับต้องตรงมาหาตัวเองแบบนี้
แม้ภายนอกของหวังเมี่ยวเอ๋อจะไม่ได้ดูดีมากมายนักแต่ชาติตระกูลของเธอนั้นสูงศักดิ์ เมื่อเห็นว่าหลินลั่วหรานกำลังอยู่ในเวลางานก็เลยชี้ไปยังแหวนวงหนึ่ง โดยไม่มองแม้แต่ป้ายราคาก่อนจะบอกให้หลิวเหมยนำมันไปจัดการเสีย พร้อมทั้งหันไปพูดกับหลิวเหมยต่อว่า “ฉันจะขอคุยอะไรกับคุณหลินสักหน่อยไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”
หลิวเหมยมองไปยังแหวนวงที่เธอชี้มันแหวนประดับเพชรหนึ่งกะรัตที่เมื่อหลายวันก่อนไม่ได้ขายออกไปพอดีก็ได้แต่เดาะลิ้นอยู่ในใจ ดีจังนะ จะคุยอะไรนิดหน่อย ก็สี่หมื่นกว่าแล้วนี่มันแพงมากเลยไม่ใช่หรือไง!
หลิวเหมยพยักหน้าตกลง เดือนนี้เธอได้เปอร์เซ็นต์การขายมาไม่น้อยโดยเฉพาะไม่กี่วันที่มีหลินลั่วหรานมายืนอยู่ในเคาน์เตอร์ด้วยไม่ได้มีเื่อะไรรบกวนปากท้องของเธอมากนักหลิวเหมยรีบจัดการขายแหวนวงนั้นทันที...หลินลั่วหรานนั้นถือเป็เครื่องรางของเธอจะมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ตกลงกันล่ะ!
แน่นอนว่าสิ่งนั้นเองที่เป็เหตุผลที่พนักงานหลายๆ คน อิจฉาจนไม่ชอบเธอ
หลินลั่วหรานส่งรอยยิ้มให้หลิวเหมยด้วยความเกรงใจก่อนจะเดินตามพี่หวังไปยังห้องพัก
“น้องหลินนี่ไปทำอะไรให้คุณหนูของฝูหม่านโหลวโกรธเข้าล่ะ?” ยังไม่ทันที่หลินลั่วหรานจะได้นั่งลงหวังเมี่ยวเอ๋อก็คว้ามือของเธอเข้ามาจับ พร้อมถามด้วยสีหน้าจริงจัง
่นี้หลินลั่วหรานมัวแต่กังวลถึงเด็กชายที่โรงพยาบาลในสมองของเธอตีความอยู่สักพักก่อนจะตอบสนองกลับมา คนที่พี่หวังพูดถึงก็คือแฟนสาวคนใหม่ของหลี่อันผิง ไอลี่
แต่ว่าเธอก็ไม่รู้จะพูดอะไรอะไรคือการที่เธอไปทำให้ไอลี่โกรธ คิดดูแล้วไอลี่ต่างหากที่เข้ามาแย่งแฟนของเธอแถมยังทำลายงานของเธออีก ทำไมถึงได้รู้สึกว่าประธานและกรรมในประโยคมันดูกลับกันนะ?
“มันเกิดอะไรขึ้นเหรอคะพี่เล่าให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมคะ?” ไม่ว่าอย่างไรหลินลั่วหรานก็ยังคงเป็สาวบ้านนอกที่ใสซื่อเธอไม่มีความชอบในการเล่าเื่ “ประสบการณ์อันลำบากแสนเข็ญ” ของตัวเองให้คนอื่นฟัง จึงตัดสินใจถามสถานการณ์ให้แน่ชัดก่อนพี่หวังเองก็มีงานมากมาย เธอไม่น่าจะเสียเวลามาเพื่ออะไรที่ไม่เป็เื่
เมื่อหวังเมี่ยวเอ๋อเห็นว่าเธอไม่ได้พูดอะไรออกมาก็เดาว่าหลินลั่วหรานกับไอลี่คงจะมีความสัมพันธ์อะไรกันบางอย่างแต่เมื่อเ้าตัวไม่พูด เธอก็ไม่อยากจะถามนัก จึงได้แต่เลิกคิ้วพูดต่อ “เมื่อสองวันก่อนมีคนพูดกันว่าคุณหนูแห่งฝูหม่านโหลวพูดเอาไว้ว่า ใครที่รับเธอเข้ามาทำงาน ก็จะถือเป็ศัตรูกับฝูหม่านโหลว...”
หวังเมี่ยวเอ๋อยังไม่ทันได้พูดต่อหลินลั่วหรานที่ได้ยินดังนั้นก็นิ่งไป ไม่ใช่ว่ากลัวแต่เธอรู้สึกว่าคุณหนูไอแห่งฝูหม่านโหลวดูท่าจะบ้าไปแล้ว!
เมื่อเห็นสีหน้าของเธอไม่ดีนักหวังเมี่ยวเอ๋อจึงไม่ได้พูดต่อ แต่กลับรินน้ำให้เธอดื่มแทน
อยู่ๆ หลินลั่วหรานก็ได้สติกลับมาพี่หวังบอกว่าไอลี่พูดไว้ั้แ่สองวันก่อนคาดว่าตอนนั้นเธอคงจะเพิ่งรู้ว่าหลินลั่วหรานทำงานอยู่ที่เจินเป่าเซวียนแต่ตอนนี้เป็วันศุกร์แล้วหลินลั่วหรานก็ยังคงไม่ได้รับข่าวคราวอะไรจากคนในบริษัทหลิ่วชื่อหรือโดนไล่ออก...เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เธอจึงเงยหน้ามองหวังเมี่ยวเอ๋อ
ใบหน้าของหวังเมี่ยวเอ๋อประดับไปด้วยรอยยิ้ม “ที่จริงฉันกังวลเื่งานของเธอวันนี้ก็เลยลองมาดูสักหน่อย แต่ดูแล้วคุณหลิ่วดูท่าจะเป็คนดีคนหนึ่งนะ”
ที่แท้ พี่หวังก็ตั้งใจมาชวนให้เธอไปทำงานด้วยนี่เอง!
ไม่ใช่ว่าเจินเป่าเซวียนไม่ได้รับรู้ถึงคำพูดของไอลี่ไม่ว่าจะเป็เพราะหลิ่วชื่อตั้งใจจะแสดงตัวเป็ศัตรูกับฝูหม่านโหลวหรือว่าหลิ่วเจิงเห็นแก่เป่าเจียถึงได้เก็บเธอไว้ แต่ไม่ว่าอย่างไรหลินลั่วหรานก็คิดว่า นี่ก็ถือเป็น้ำใจมากสำหรับเธอ
แน่นอนว่าเธอจะมองข้ามน้ำใจของพี่หวังไปไม่ได้เช่นกัน แล้วเธอจะตอบแทนอย่างไรดี?
เมื่อนึกถึงที่พี่หวังเคยถามถึงเคล็ดลับดูแลผิวหลินลั่วหรานก็มีความคิดขึ้นมาในใจ แต่ไม่รู้ว่ามันจะสำเร็จหรือไม่หากตอนนี้พูดไปแล้วทำไม่ได้ คงจะไม่ดีนัก เธอจึงได้แต่เก็บเอาไว้ในใจก่อน
ส่วนเื่ของคุณหนูไอลี่แห่งฝูหม่านโหลว
ดวงไฟเล็กๆปรากฏขึ้นในดวงตาของหลินลั่วหรานก่อนจะผ่านวูบไป เื่ที่มาแย่งแฟนของเธอไปเธอจะไม่ใส่ใจ เพราะอย่างไรก็เป็ผู้ชายไร้หัวใจที่จับปลาสองมือคนหนึ่งเท่านั้นเื่ที่ทำลายหน้าที่การงานของเธอเมื่อครั้งก่อนก็จะโทษตัวเองที่เป็เพียงคนธรรมดาทั่วไป จะไปทำอะไรได้?
แต่ว่าตอนนี้ ทั้งที่ไม่ได้มีเหตุผลอะไรแต่ก็ยังพูดคำพูดที่แสดงให้เห็นว่า้ากีดกั้นเธอจากวงการอัญมณีแบบนี้หากเป็หลินลั่วหรานคนก่อนแล้ว ไอลี่คงจะได้ตัดหนทางของเธออีกครั้งแล้วเป็แน่!
นี่ฉันไม่ได้ไปฆ่าพ่อของเธอตายใช่ไหม?
หากครั้งนี้หลินลั่วหรานจะยอมอดทนขบฟันข่มความโมโหไว้อีก เธอก็คงจะเป็เหมือนกับลูกซาลาเปาที่ได้แต่โดนพวกหมาเพ่งเล็งอยู่แบบนั้น มันก็น่าสมน้ำหน้าแล้วล่ะ!