ดวงตาของมู่อวิ๋นจิ่นเป็ประกาย นางเชิดคางขึ้นเล็กน้อย “องค์ชายสาม ท่านรู้ได้อย่างไรว่าอวิ๋นจิ่นมาที่นี่เพียงคนเดียวเพคะ?”
“ถ้าอย่างนั้น จะเป็ไปได้ไหมว่าน้องของข้า องค์ชายหก จะอยู่ที่นี่ด้วย” หลังจากที่ฉู่ชิงพูดจบ เขาก็มองไปยังด้านหลังของมู่อวิ๋นจิ่น และเมื่อพบว่าไม่มีใครอยู่ข้างหลังนาง เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะเย้ย
เมื่อเห็นเช่นนั้นมู่อวิ๋นจิ่นเองก็มีสีหน้าและแสดงท่าทีเย้ยหยันออกมาเช่นกัน ก่อนจะชำเลืองมองไปที่บรรดาเหล่าขุนนาง จากนั้นก็มองไปยังฉู่ชิง ก่อนจะพูดอย่างสบาย ๆ ว่า “องค์ชายสาม วันนี้ที่ท่านพาสาวงามมามากมาย เช่นนั้นอย่ามัวเสียเวลากับอวิ๋นจิ่นเลย คิดว่าควรทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นเถิด”
เป็ครั้งแรกที่บรรดาขุนนางได้ยินว่ามีคนกล้าพูดกับองค์ชายสามเช่นนี้ และพวกนางก็มองมายังมู่อวิ๋นจิ่นด้วยความประหลาดใจ
มู่หลิงจูที่ยืนอยู่ นับั้แ่ที่นางเห็นมู่อวิ๋นจิ่นนั้น สายตาของนางก็ดูมืดหม่นลง และจ้องมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นอย่างเ็า
“คุณหนูสามสกุลมู่จะกลายเป็ชายาของน้องชายข้าในไม่ช้านี้ และเราก็กำลังจะกลายเป็ครอบครัวเดียวกัน ในฐานะพี่ชาย ข้าผู้นี้ควรจะแนะนำอะไรบางอย่างกับเ้า ดูเหมือนเ้ากำลังจะไปหาท่านเ้าอาวาสเพื่อรับแผ่นป้ายใช่หรือไม่?” ฉู่ชิงมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่น พลางพูดเบา ๆ
มู่อวิ๋นจิ่น ไม่ตอบคำถามของฉู่ชิง นางเพียงขมวดคิ้วน้อยๆ แม้ว่าเขาจะปฏิบัติดีต่อนาง แต่ถึงอย่างไรเขามักจะทำให้นางรู้สึกรำคาญใจอยู่เสมอ
“ท่านพี่ องค์ชายสามกำลังถามท่าน!” มู่หลิงจูที่เงียบมาตลอด รอคอยเวลาที่เหมาะสมและพูดออกมาในที่สุดก่อนจะหยุดและพูดต่อ “องค์ชายสามและองค์ชายสี่เป็พี่ชายขององค์ชายหก ตอนอยู่ที่จวน ท่านก็มักขัดแย้งกับท่านพ่อท่านแม่เื่ที่ต้องเป็สนมขององค์ชายหกอยู่แล้ว!”
เมื่อได้ฟังคำพูดของมู่หลิงจู ทำให้ฉู่ชิงเลิกคิ้วขึ้นและมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นด้วยความสนใจ “ เ้ามีปัญหากับพ่อแม่ของเ้าเพราะกำลังจะแต่งงานกับองค์ชายหก น้องชายของข้าอย่างนั้นหรือ?”
คำพูดของมู่หลิงจูและฉู่ชิงทำให้ทุกคนที่อยู่ข้างๆ มองมู่อวิ๋นจิ่น ด้วยท่าทีที่หลากหลายต่างกันออกไป ส่วนมู่อวิ๋นจิ่นเองก็มองพวกเขาด้วยสายตาของเย้ยหยัน
“หลิงจู ยังไงข้าก็เป็พี่สาวของเ้า เ้าเองก็ควรทำตัวดีๆและอย่ามาพูดกับข้าด้วยท่าทีเช่นนี้อีก” มู่อวิ๋นจิ่นมองไปที่มู่หลิงจูและพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความไม่พอใจ
“ท่านพี่ ข้าเพียงแค่เตือนท่าน อย่าโกรธข้าเลย” มู่หลิงจูหลุบตาลงเล็กน้อย กัดริมฝีปาก แสร้งทำเป็ว่ารู้สึกผิด
เมื่อเห็นเช่นนั้นมู่อวิ๋นจิ่นก็แสดงท่าทีเย้ยหยัน กอดอกและพูดอย่างไร้ความเห็นใจ “หลิงจู เหตุใดเ้าถึงเจาะจงพูดกับข้าแบบนี้? ไม่ใช่เพราะองค์ชายหกที่เ้าแอบชอบมานาน ไม่ยอมแต่งงานกับเ้าหรอกหรือ”
“ท่านพี่ ท่าน...” มู่หลิงจูไม่คิดว่ามู่อวิ๋นจิ่นจะพูดออกมา ใบหน้าของนางซีดลงไปชั่วขณะ และเต็มไปด้วยความลำบากใจต่อหน้าผู้คนมากมาย
ขณะนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของฉู่ชิง มุมปากของเขาโค้งขึ้นและมองไปยังคนทั้งสองที่อยู่ข้างๆ “น้องสี่ น้องแปด เนื่องจากแม่นางมู่ไม่อาจรับความรักของข้าได้ เหตุใดพวกเ้าถึงไม่ยอมรับมันเสีย อย่างไรแล้วนางก็เป็ถึงหญิงสาวที่มีความสามารถอันดับหนึ่งในอาณาจักรซีหยวนเชียวนะ"
เมื่อได้ยินคำว่า “น้องชายคนที่สี่” มู่อวิ๋นจิ่นผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเหลือบมองชายที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างๆ ฉู่ซิน
องค์ชายสี่ ใช่องค์ชายฉู่เย่หรือไม่?
“พี่สาม สถานที่นี้น่าเบื่อเกินไป พวกเราไปกันเถอะ” ฉู่เย่พึมพำเบาๆ ก่อนเป็ผู้นำเดินลงบันไดไป และเมื่อเขาเดินผ่านมู่อวิ๋นจิ่น ใบหน้าของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย
ฉู่ชิงและคนอื่นๆ เมื่อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้ารับและเดินตามลงไป
มู่หลิงจูยังคงยืนอยู่ที่เดิม และเมื่อทุกคนจากไปแล้ว ดวงตาของนางก็ดูเหมือนจะลุกเป็ไฟก่อนจะมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่น
“ทำไมเ้าถึงมองข้าแบบนั้น มู่หลิงจู ถ้าเ้าไม่ยั่วยุข้าก่อน ข้าก็คงไม่พูดอะไรแบบนั้นและคงไม่เปิดเผยความลับในใจของเ้า” มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มเยาะและเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นเดินไปหยุดที่ด้านหน้าของมู่หลิงจู นางก็โน้มตัวไปที่ด้านข้างของผู้เป็น้องและพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “ลือกันว่าองค์ชายสี่เป็บุรุษที่จัดเตรียมไว้สำหรับเ้าโดยเจิ้งไทเฮาใช่หรือไม่ แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเขาจะยังเต็มใจแต่งงานกับผู้หญิงที่ชอบน้องชายของตนเองอยู่หรือเปล่า”
“น่าเสียดาย เ้าเกือบจะได้เป็พี่สะใภ้คนที่สี่ของข้าแล้ว” มู่อวิ๋นจิ่นยกยิ้ม เมื่อเห็นว่ามู่หลิงจูจ้องมองมาที่นาง ตัวสั่นตลอดเวลาและพยายามกลั้นน้ำตาแห่งความโกรธเอาไว้
“จ้องข้าไปก็เปล่าประโยชน์ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวของเ้าเอง โทษปากของเ้าที่เอาแต่พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด”
หลังจากมู่อวิ๋นจิ่นจากไป มู่หลิงจูก็นั่งลงบนขั้นบันไดด้วยขาที่อ่อนแรง น้ำตายังคงไหลลงมาจากดวงตาของนาง นางกัดริมฝีปากแน่นพลางกำมือของตนเองเล็กน้อย ดวงตาปรากฏเจตนาแห่งความแค้นอย่างชัดเจน
มู่อวิ๋นจิ่น จากนี้ไปถ้ามีนางจะต้องไม่มีข้า แต่ถ้ามีข้าก็จะต้องไม่มีนางด้วยเช่นกัน!
...
มู่อวิ๋นจิ่นเดินไปจนถึงขั้นบนสุดของบันได นางสังเกตเห็นอารามวัดหลังหนึ่งชื่อว่า “ซัวซ่าน”
เมื่อเห็นชื่อมู่อวิ๋นจิ่นก็เม้มริมฝีปาก และเมื่อนางกำลังจะเดินเข้าไป กลับมีหลวงจีนองค์หนึ่งปรากฏตัวขึ้นจากความมืดและขวางทางนางเอาไว้
“ประสพ โปรดหยุดสักครู่”
“ข้า้าขอให้ท่านเ้าอาวาสมอบแผ่นป้ายของลานต้นไม้โบราณพันปีให้แก่ข้า” มู่อวิ๋นจิ่นแสดงความตั้งใจของนางและมองไปที่หลวงจีนท่านนั้น
เมื่อได้ยินเื่นั้น หลวงจีนท่านจึงโค้งคำนับมู่อวิ๋นจิ่น
“ต้องขออภัย ทุกวันท่านเ้าอาวาสจะรับแขกเพียงสามคนเท่านั้น และวันนี้ท่านก็ได้พบกับแขกผู้มีเกียรติครบทั้งสามคนแล้ว ดังนั้นโปรดกลับมาพรุ่งนี้เถิด”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มู่อวิ๋นจิ่นก็รู้สึกเบื่อหน่ายในทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองแผ่นป้ายและอดไม่ได้ที่จะพึมพำว่า “แก่นแท้ของศาสนาคือสิ่งใดกัน?”
หลังจากพูดจบ มู่อวิ๋นจิ่นก็หันหลังและเดินจากไป
หลังจากที่มู่อวิ๋นจิ่นเดินออกไปแล้วนั้น ประตูที่ปิดอยู่ก็ค่อยๆ เปิดออก ก่อนจะปรากฏร่างของชายชราในชุดสีทองเดินออกมาช้าๆ และมองไปยังแผ่นหลังของมู่อวิ๋นจิ่นขณะที่นางเดินจากไป
“ในที่สุดนางก็ปรากฏตัว”
...
“งานวัดนี้ไม่น่าสนใจเอาเสียเลย กลับกันเถอะ” มู่อวิ๋นจิ่นพูดขณะที่กำลังเดินลงบันได และมองไปรอบ ๆ ก่อนจะพบว่าไม่มีสิ่งใดที่จะช่วยดึงดูดความสนใจจากนางได้เลย
จื่อเซียงหงุดหงิดเล็กน้อยพลางถอนหายใจ “น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้เห็นต้นไม้อายุพันปีด้วยตาของข้าเอง”
“ต้นไม้โบราณเองก็อยู่ที่นี่ ไว้ครั้งหน้าค่อยมาใหม่ก็ได้ มันคงไม่หนีไปไหนหรอก” มู่อวิ๋นจิ่นชำเลืองมองและปลอบโยนนาง
จื่อเซียงพยักหน้า “ไปกันเถอะเ้าค่ะคุณหนู องค์ชายสามและคนอื่นๆ ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ค่อยเป็มิตรกับคุณหนูมากนักนะเ้าคะ”
“อืม” มู่อวิ๋นจิ่นตอบรับอย่างเข้าใจดี และเดินกลับมาพร้อมกับจื่อเซียง
ในตอนแรกที่พวกนางทั้งสองมาที่นี่ พวกนางอาศัยการเดินมาอย่างช้าๆ ด้วยท่าทีที่ดูสบาย ๆ ตลอดทาง ครั้นเมื่อพวกนางจะกลับ ก็พลันรู้สึกว่าที่นี่ช่างห่างไกลจากเมืองเหลือเกิน
“บ่าวไม่รู้ว่ามีรถม้าอยู่แถวนี้หรือเปล่า” จื่อเซียงมองไปรอบๆ และพูดอย่างกังวล
มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มเบาๆ เมื่อได้ยิน “เ้า้ารถม้าอะไรกัน นั้นไม่ใช่รถม้าไม้พะยูงจากจวนเสนาบดีมู่หรอกหรือ”
“อ่า? แต่ว่ามันเป็ของ คุณหนูสี่...”
ก่อนที่จื่อเซียงจะพูดจบก็ถูกมู่อวิ๋นจิ่นลากนำไปยังรถม้าที่จอดอยู่ เมื่อนางไปถึงรถม้าไม้พะยูง ก็พบกับคนขับรถที่นอนหลับอยู่
“ตื่นได้แล้ว” จื่อเซียงผลักเบาๆ
คนขับรถม้าตื่นขึ้น และเมื่อเขาเห็นมู่อวิ๋นจิ่นยืนอยู่ข้างหน้า เขาก็ผงะเล็กน้อยจากนั้นก็โค้งตัวคำนับ “คุณหนูสาม”
“ดี ไปส่งข้า” มู่อวิ๋นจิ่นพูด
คนขับรถม้าใ และลังเลเล็กน้อย “แล้วคุณหนูสี่อยู่ที่ไหนหรือขอรับ”
“มีคนพานางกลับไปแล้ว” หลังจากมู่อวิ๋นจิ่นพูดจบ นางก็ก้าวเข้าไปในรถม้า “จื่อเซียง ขึ้นมา”
เมื่อจื่อเซียงได้ยินคำสั่งของนางก็รีบปีนข้าไปในรถม้าทันที
คนขับรถม้าเห็นดังนั้นก็ไม่กล้าพูดอะไร เขาขับรถออกจากงานวัดและมุ่งหน้าไปยังเมือง
ที่งานวัด ขณะที่มู่หลิงจู เหยียนหลิงซานและคนอื่นๆ กำลังจะกลับ พวกเขาก็เห็นรถม้าของมู่หลิงจูขับออกไป มู่หลิงจูรู้ได้ทันทีว่าคนที่นั่งอยู่ในรถม้านั้นต้องเป็นาง มู่อวิ๋นจิ่น
รังแกคนอื่นมากเกินไปแล้ว!
...
หลังจากกลับเข้าเมืองมา มู่อวิ๋นจิ่นไม่ได้กลับไปที่จวนเสนาบดีทันที แต่นางเจอโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเข้า จึงคิดว่าจะแวะทานอาหารให้อิ่มหนำก่อนค่อยว่ากันทีหลัง
ภายในห้องส่วนตัวของร้าน อาหารถูกยกมาวางเต็มโต๊ะอย่างรวดเร็ว มู่อวิ๋นจิ่นและจื่อเซียงรู้สึกหิวเป็อย่างมากหลังจากวิ่งไปมาตลอดทั้งวัน ดังนั้นเมื่ออาหารมาถึง พวกนางทั้งสองจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาและเริ่มกินกันอย่างไม่รอช้า
“ถ้าข้ารู้เร็วกว่านี้ ข้าคงไม่ไปที่งานวัดนั่น มันคงจะดีกว่าถ้าได้ทานอาหารมื้อใหญ่ที่นี่” มู่อวิ๋นจิ่นพูดด้วยความพึงพอใจหลังจากกินเนื้อวัวไปสองสามคำ
เมื่อได้ยินดังนั้น จื่อเซียงก็พยักหน้าเห็นด้วย
หลังจากที่ทั้งสองคนกินอาหารจนเกือบจะหมด มู่อวิ๋นจิ่นก็เหลือบมองและพบว่าเกือบจะหมดวันแล้ว นางเองก็ซื้อของกินไว้มากพอแล้วเช่นกัน ดังนั้นก็คงได้เวลากลับเสียที
เพียงแต่นางได้นำของกำนัลทั้งหมดที่ซูปี้ชิงเก็บไว้กลับมาด้วยทั้งหมด ไม่รู้เลยว่าเมื่อกลับไปที่จวนจะมีอะไรรอนางอยู่บ้าง
เมื่อคิดๆ ดูแล้ว นางก็รีบจ่ายเงินทันทีและออกจากร้านอาหารเพื่อไปที่จวนเสนาบดี
หลังจากกลับมาที่ประตูจวนเสนาบดี เมื่อลุงหวังเห็นมู่อวิ๋นจิ่น ก็เบนสายตาไปเล็กน้อย นางไม่ได้กล่าวอันใดกับลุงหวัง และเดินตรงไปยังที่ประตู
โต๊ะในโถงด้านหน้าซึ่งแต่เดิมเต็มไปด้วยกล่องของกำนัล ตอนนี้ได้ถูกเคลื่อนย้ายออกไปแล้ว
เมื่อกลับมาที่เรือนบุปผาภิรมย์ มู่อวิ๋นจิ่นบังเอิญพบซูปี้ชิงและป้าหลี่ที่หน้าประตู และเมื่อทั้งสองเห็นนางก็ปรากฏสายตาประหลาดใจ
“กล่องของกำนัลทั้งหมดที่ได้รับถูกวางไว้ในเรือนบุปผาภิรมย์ของเ้า เดิมทีข้าเพียงเก็บไว้ให้เ้าเท่านั้น และบางกล่องก็วางแผนที่จะใช้เป็ของกำนัลหมั้นของเ้าในอนาคต ถึงอย่างไร บุตรสาวของจวนเสนาบดีเราก็ยังมี หลิงจูและเซี่ยโหรว ข้าจึงไม่รู้ว่าจะให้ให้สิ่งมีค่าใดแก่เ้าดี”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลยของกำนัลเหล่านี้มีแต่ของล้ำค่าทั้งนั้น เ้าเลือกเพื่อเป็ของกำนัลหมั้นเองเลย”
ซูปี้ชิงมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่น สายตาที่นางมองไปยังมู่อวิ๋นจิ่น รวมไปถึงน้ำเสียงของนางที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นได้ฟังคำเย้ยหยันของซูปี้ชิง นางพลางยิ้มเล็กน้อย “ขอบคุณท่านแม่ แต่องค์ชายหกได้มอบทองคำสามหมื่นตำลึงให้กับข้าแล้ว ของกำนัลหมั้นพวกนี้ ข้าไม่รบกวนท่านแล้วจริงๆ”
เมื่อซูปี้ชิงและป้าหลี่ได้ยินมู่อวิ๋นจิ่นพูดดังนั้น การแสดงออกของพวกนางก็ดูแปลกไปทันที พร้อมกับมีร่องรอยของความตื่นใในดวงตาของคนพวกนางทั้งสอง
ทองสามหมื่นตำลึง?
ทั้งจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ อย่างมากที่สุดแค่หมื่นตำลึงเพียงเท่านั้นเอง องค์ชายหกใจกว้างขนาดนี้ได้อย่างไรถึงมอบทองคำให้มู่อวิ๋นจิ่นสามหมื่นตำลึงในคราวเดียว
เป็ไปได้ไหมว่ามู่อวิ๋นจิ่นให้เครื่องดื่มแห่งมนต์เสน่ห์แก่องค์ชายหก?
เมื่อเห็นการแสดงออกแปลกๆ ของซูปี้ชิงและป้าหลี่ มู่อวิ๋นจิ่นก็พูดย้ำอีกครั้งทันที “ว่ากันว่าองค์ชายสามและองค์ชายสี่ล่วงรู้ว่ามู่หลิงจูนั้นหลงรักองค์ชายหก ตอนนี้ข้าไม่รู้ว่าองค์ชายสี่เต็มใจจะแต่งงานกับนางอยู่หรือไม่”
“ดูเหมือนว่าท่านแม่ต้องเตรียมของกำนัลหมั้นสำหรับมู่หลิงจูมากขึ้นกว่าเดิมเสียแล้ว มิเช่นนั้นนางจะกังวลเื่การแต่งงานในอนาคต...”
หลังจากมู่อวิ๋นจิ่นพูดจบ นางก็ยกริมฝีปากขึ้นและยิ้ม จากนั้นก็ดึงจื่อเซียงไปที่ประตูของเรือนบุปผาภิรมย์และกระแทกประตูเสียงดัง “ปัง” ก่อนที่ประตูจะปิดลง คล้ายเป็การไล่ซูปี้ชิงและป้าหลีให้ออกไป
เมื่อเห็นเช่นนี้ ป้าหลี่ก็รีบตวาดทันที “นางสารเลว เปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้เลยหรือ!”
ซูปี้ชิงยิ้มอย่างเ็า ก่อนจะพูดว่า “ปล่อยนางไป คืนนี้นางคงจะไม่รอดแล้ว!”