“คิด คิดอะไรหรือ? ” อวี๋มู่ยอมรับว่าตัวเองขี้ขลาด
เขารู้สึกว่าตนเองทำให้หย่งอวี้มีมลทิน จึงรู้สึกผิดในใจ ทำให้ไม่มีแม้กระทั่งเรี่ยวแรงจะผลักนักบวชน้อยออก
“ข้ากำลังคิดว่า…” หย่งอวี้ค่อยๆ ก้มศีรษะลง นั่นยิ่งทำให้เขาเข้าใกล้อวี๋มู่มากขึ้น
ลมหายใจอุ่นๆ พ่นข้างใบหูอวี๋มู่ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหลุดขำ ทันใดนั้นนักบวชน้อยก็หัวเราะดังลั่น
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ อวี๋มู่ ทำไมเ้าซื่อบื้อเช่นนี้!! ”
เขากุมท้องแล้วถอยห่างออกไป พลางหัวเราะจนน้ำตาแทบเล็ด นานครึ่งค่อนวันถึงหยุด เขาเอียงคอถามอวี๋มู่ “ข้าปลอมเป็หย่งอวี้ได้เหมือนหรือเปล่า? หลอกเ้าได้เต็มเปาเลยใช่หรือไม่? ”
“…”
อวี๋มู่ตื่นจากความตะลึงงัน มองไปที่นักบวชน้อยที่กำลังหัวเราะจนตัวโก่งตรงหน้า แล้วมองท้องฟ้าสีครามด้านนอก ถึงแน่ใจว่านี่เป็เวลา่บ่าย ซึ่งตามหลักแล้วเฟิงอวี้ไม่ควรออกมาในเวลานี้
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ทว่า หากเมื่อครู่คือเฟิงอวี้ที่ปลอมตัวเป็หย่งอวี้ คำพูดที่ออกมาจากปากเ้าเด็กเลวนี่ก็น่าจะสมเหตุสมผล
ในใจรู้สึกโล่งอก อวี๋มู่เองก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกโชคดีอย่างน่าแปลกประหลาด
คงเป็เพราะลึกๆ ในใจเขาไม่คาดหวังให้หย่งอวี้เปลี่ยนเป็ชั่วร้าย หรืออย่างน้อยก็อย่าเปลี่ยนจนกลายเป็เฟิงอวี้ลักษณะดั้งเดิม
เขาเอ่ยอย่างระอา “ใต้เท้าเฟิงอวี้ ครั้งหน้าอย่าล้อเล่นแบบนี้อีกเลยนะ”
เฟิงอวี้ลุกขึ้น แล้วจ้องตาเขา ก่อนเอ่ยถาม “อวี๋มู่ เ้าเกลียดตัวตนของข้าเมื่อครู่ใช่หรือไม่? หรืออีกอย่างคือ…”
“เมื่อครู่เ้ารู้สึกกลัวข้าสินะ? ”
หืม?
อวี๋มู่ที่เพิ่งโล่งใจเมื่อครู่ ทันใดนั้นก็มีลางสังหรณ์ไม่ดี
คนตรงหน้านี้ใช่เฟิงอวี้จริงหรือ?
ทว่าพริบตาถัดมา เด็กหนุ่มที่ใบหน้าขึงขังก็เปลี่ยนเป็หัวเราะร่าอีกครั้ง ทั้งยังเกี่ยวไหล่เขา แล้วกล่าว “ฮ่าๆๆ ทำไมจู่ๆ เ้าก็กลายเป็คนขี้ขลาดเช่นนี้ล่ะ? ข้าก็แค่ล้อเ้าเล่นไม่กี่คำ…”
ความขัดแย้งแปลกๆ ทำให้อวี๋มู่ขมวดคิ้วแน่น เขาครุ่นคิดอยู่อย่างนั้น แล้วเอ่ยขัดคำพูดของเด็กหนุ่ม “ใต้เท้าเฟิงอวี้ ข้าไม่ได้เกลียดชังท่านเมื่อครู่”
เขารู้สึกได้ว่าแรงกดแขนบนไหล่ของเขาค่อยๆ เพิ่มขึ้น
“ข้าเพียงแต่ไม่ค่อยคุ้นชิน” อวี๋มู่กล่าวต่อ “ข้ารู้สึกว่าการอยู่กับท่านที่เป็แบบนั้นทำให้รู้สึกกดดัน แต่หาใช่ความหวาดกลัวหรือเกลียดชังแต่อย่างใด”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็สังเกตท่าทีของเฟิงอวี้ แต่กลับเห็นคะแนนความประทับใจบนศีรษะของเขาปรากฏหัวใจดวงเล็ก ไม่ใช่สองแถวอีกต่อไป แต่หลอมรวมกลายเป็หนึ่งแถว!
อีกทั้งยังค่อยๆ ลดลงเล็กน้อย!
“อา เช่นนี้นี่เอง” เฟิงอวี้หัวเราะ แล้วเอ่ยกับเขา “เ้าไม่เกลียดชังก็ดี เ้าควรรู้ว่า มีเ้าคนเดียวที่ข้าไม่อยากให้เกลียดชังในตัวข้า”
กล่าวจบ เขาก็ปล่อยอวี๋มู่ พลางบิดี้เี แล้วเอ่ย “เฮ้อ นี่เป็ครั้งแรกที่ได้ร่างนี้ใน่กลางวัน คิดไม่ถึงว่ายามแสงแดดสาดส่องนี่ช่างอบอุ่นสบายตัวเหลือเกิน”
อวี๋มู่มองดูเขาเล่นละครเงียบๆ จะหัวเราะหรือร้องไห้ก็ไม่ได้
เขาถามระบบ : ระบบ หากคะแนนทั้งสองแถวรวมเป็แถวเดียว ก็เท่ากับว่าทั้งสองคนหลอมรวมกันแล้วหรือ?
[น่าจะเป็เช่นนั้น] ระบบมองดูนักบวชน้อยตรงหน้า แล้วเอ่ยด้วยความสงสัย [แต่ว่าผมดูอย่างไร ก็ยังรู้สึกว่าลักษณะของเขายังแยกกันอยู่เลยครับ? ]
อวี๋มู่ยิ้มไม่ออก : ครั้งนี้นายก็ดูไม่ออกสินะ เขากำลังเสแสร้ง อีกทั้งยังตั้งใจจะแสร้งทำกับฉันไปเรื่อยๆ ด้วย
แต่ว่าเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าหลังจากเฟิงอวี้ทั้งสองคนหลอมรวมกันแล้วก็เริ่มมีความคิดอยากเผาวัดหนานหลัว
ในใจเขามีความโกรธแค้นชิงชัง
เพียงแต่ว่า นักบวชน้อยนั้นอ่อนไหวเกินไป ทันทีที่รู้ว่าตัวเองนั้นต่อต้านความคิดชั่วร้ายของเขา วินาทีนั้นจึงหยุดความคิดนั้นไว้ และรีบแกล้งทำเป็แยกสองบุคลิกอีกครั้ง เพื่อทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดนั้นอย่างรวดเร็ว
เฟิงอวี้ที่หลอมรวมกันแล้วทำเอาอวี๋มู่รู้สึกยุ่งยาก แต่ก็ไม่อาจเกลียดชังเขาได้จริงๆ
เ้าหมอนี่ยังคิดว่าตัวเขาไม่รู้เื่ ปรากฏว่าดันถูกแถบความพอใจหักหลัง
เอ๋ แต่ก็น่ารักดี
“พี่ชายิญญาพิศวาส! นี่ก็คืออสูรฟ้าใช่ไหม! ” เฟิงอวี้อาบแสงตะวันอยู่อีกฟาก ซานซานที่อยู่บนศีรษะของอวี๋มู่ก็ส่งเสียง “เขารูปโฉมงดงามมาก ดูท่าทางเขาไม่เลวเลย! ”
อวี๋มู่เพิ่งนึกได้ว่าบนผมตัวเองยังมีภูตผีน้อยซ่อนอยู่หนึ่งตัว นึกถึงคำพูดเฟิงอวี้เมื่อครู่ พลันรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย
แต่ดีที่จุดสนใจของภูตผีน้อยไม่ได้อยู่ที่เื่นี้ เขาเอ่ย “ข้ารู้สึกว่าเขาไม่ได้ชั่วร้ายเหมือนที่คนข้างนอกกล่าวขานกัน”
อวี๋มู่ตอบ “ก็ใช่น่ะสิ ข้าก็รู้สึกเช่นนี้”
ขอเพียงมีคนชี้นำ เขาเชื่อว่าเฟิงอวี้น่าจะสามารถกำจัดความโกรธแค้นชิงชังที่อยู่ก้นบึ้งในใจได้ และเรียนรู้ที่จะยอมรับโลกนี้
*
วันรุ่งขึ้น เฟิงอวี้ให้อวี๋มู่ซ่อนอยู่ที่แขนเสื้อเขา แล้วตนเองนั่งลงยังแท่นดอกบัวที่พระอาจารย์ส่งมารับ จากนั้นก็เปิดรอยแยกม่านพลังบนชั้นสิบแปดและออกจากเจดีย์เจิ้นเยา
ม่านพลังนั้นปิดเองอัตโนมัติหลังจากที่แท่นดอกบัวออกมา เฟิงอวี้ชำเลืองมองด้านล่าง หยุดจ้องชั่วขณะ แล้วถอนสายตากลับมา
เขาฉีกยิ้มเ็าในจังหวะที่นักบวชมองไม่เห็น ั์ตาดำขลับส่องแสงสีแดง
*
พอออกจากเจดีย์เจิ้นเยา แท่นดอกบัวก็ลอยผ่านมวลเมฆ พอมาถึงวัดหนานหลัว ก็หยุดอยู่กลางอากาศเหนือวัด สุดท้ายก็ค่อยๆ จอดแน่นิ่งต่อหน้าคนกลุ่มหนึ่ง
เ้าอาวาสมารับตัวเฟิงอวี้ด้วยตัวเอง โดยคนที่รออยู่คือเหล่าสมาชิกแห่งราชวงศ์เฟิง
พวกเขาแต่งกายอย่างหรูหรา ดูเหมือนรอจนรำคาญ พอเห็นเฟิงอวี้ออกมา ก็ทำท่าทีต้อนรับแบบขอไปที
อวี๋มู่มองลอดจากรอยแยก ระบบบอกเขาว่าสองคนนี้คือคนที่ฮ่องเต้ส่งมาให้ยืนยันว่าเฟิงอวี้จะไม่เป็ภัยต่อราชสำนักอีก หากเฟิงอวี้กล้าเผยความคิดชั่วร้ายเพียงเล็กน้อย ต้องถูกแม่ทัพสองคนนี้ปะาทันที
ในบทละคร เฟิงอวี้เริ่มเข่นฆ่าผู้คนนับจากตรงนี้
เขาฆ่าแม่ทัพ ฆ่าเ้าอาวาส ฆ่าเหล่านักบวชทั้งวัดหนานหลัว สุดท้ายวางเพลิงเผาวัดหนานหลัวจนมอดไหม้ ทำให้ปุถุชนที่มาไหว้พระต้องตายกว่าร้อยชีวิต และกลายเป็วายร้ายที่ชั่วร้ายที่สุดในผลงานเขียนเล่มนี้
อวี๋มู่ไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อย
ตอนนี้เขายังจับทางไม่ได้ถึงนิสัยที่แท้จริงของเฟิงอวี้หลังจากที่หลอมรวมกันแล้ว ไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้มากพอหรือไม่
เขากำลังเริ่มพินิจว่าหากเฟิงอวี้ลงมือขึ้นมาจริง เขาต้องห้ามอย่างไร
ทว่า ภาพวินาศกรรมที่คิดไว้ กลับไม่ได้เป็ไปตามที่คิด
เฟิงอวี้มีสีหน้าเหมือนเช่นปกติ มือขวาจับลูกประคำ สองมือประกบกันแล้วทำความเคารพผู้คนตรงหน้า
“ขอบคุณท่านเ้าอาวาสที่สั่งสอนมาแรมปี ตอนนี้ปีศาจร้ายในตัวศิษย์หายไปแล้ว วันหน้าข้าจำต้องฝักใฝ่ในความดี เฝ้าทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และขอพรจงสถิตแด่ราชวงศ์เฟิง”
เสียงของเขาช่างไพเราะเสนาะหู ดวงตาใสบริสุทธิ์ เสมือนรู้ซึ้งทางโลก ไร้ซึ่งความโกรธแค้นชิงชัง ทำให้คนแทบไม่รู้สึกถึงความชั่วร้าย
เมื่อผู้คนได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ประกอบกับลักษณะท่าทางของเขา ทุกคนก็ต่างพากันตกตะลึงไปชั่วขณะ
แม่ทัพสองคนนั้นสบตากัน มือที่กดกระบี่ตรงเอวเริ่มผ่อนคลายลง
เ้าอาวาสกล่าวทักทาย
“หย่งอวี้ หลายปีมานี้เ้าลำบากนัก”
เด็กหนุ่มส่ายหัวเบาๆ แล้วตอบอีกฝ่าย “ศิษย์ไม่รู้สึกลำบาก”
*
เมื่อกลับไปถึง นักบวชก็จัดห้องให้เฟิงอวี้หนึ่งห้อง ฝ่ายอวี๋มู่รู้สึกเหนือคำบรรยาย
เมื่อครู่เขาถูกเฟิงอวี้หลอกเข้าให้แล้ว
หากไม่ใช่เพราะเมื่อวานได้ยินเ้าหมอนี่พูดเื่ที่ว่า อยากเผาวัดหนานหลัว ลำพังแค่วาจาของอีกฝ่าย เขายังนึกว่าในตัวเฟิงอวี้นั้นปราศจากความชั่วร้ายแล้ว และกลายเป็เทพเซียนที่ไร้ซึ่งกิเลสตัณหาและความโกรธแค้นชิงชัง
ตอนนี้ยังเป็เวลากลางวัน อวี๋มู่จึงยังออกมาไม่ได้ จึงหลบซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของเฟิงอวี้ พลางมองดูนักบวชน้อยนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้อง มือวางบนโต๊ะกลม กำลังรินน้ำชาให้ตัวเอง
แต่กลับไม่ได้ดื่ม
อวี๋มู่สังเกตเห็นเล็บของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็สีดำ จนดำสนิท จึงเกิดความเปรียบเทียบชัดเจนกับมือขาวผ่องของเขา
นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วย อวี๋มู่ได้ยินเด็กหนุ่มหลุดขำเล็กน้อย
จากนั้นนิ้วมือนั้นก็ออกแรงบีบขึ้นมากะทันหัน จนถ้วยเคลือบแตกละเอียด ส่งผลให้เศษแก้วบาดิั จนเืไหลหยดลงมา
อวี๋มู่ได้ยินเฟิงอวี้เรียกเขา
“อวี๋มู่”
เขารู้ว่าเฟิงอวี้จงใจแกล้งทำสถานการณ์นี้เพื่อเปลี่ยนจากหย่งอวี้เป็เฟิงอวี้
อวี๋มู่สะกดกลั้นในใจ เดิมนึกว่าอีกฝ่ายคงจะปรับความทุกข์ในใจ ส่วนเขาก็กำลังเริ่มคิดว่าจะโน้มน้าวใจนักบวชน้อยไม่ให้เดือดดาลและคร่าชีวิตผู้คน
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เฟิงอวี้ก็ยื่นนิ้วมือที่เืไหลเข้าไปในแขนเสื้อ ซึ่งก็คือตรงหน้าของเขานั่นเอง
จากนั้นก็เอ่ยกับเขา “ช่วยข้าเลียให้สะอาดด้วย”
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
