ใน่สองเดือนที่ผ่านมาของการคบหากัน หลิวเต้าเซียงรู้ดีว่านิสัยของหลี่ชุ่ยฮัวเป็เช่นไร นางยิ้มเบาๆ แล้วเอ่ย “ไม่หรอก ข้าไม่ได้มีเวลาว่างมากเช่นนั้น แต่ข้ารู้จักแม่เฒ่าคนหนึ่งที่ทำงานให้กับบ้านตระกูลใหญ่ หากโชคดีอาจจะขอรูปแบบลายดอกไม้มาให้เ้าได้บ้าง หรือไม่ก็ขอวิธีการปักดีๆ มาได้”
หลิวเต้าเซียงรู้สึกขอบคุณหลี่ชุ่ยฮัวที่ช่วยเหลือร่างเดิม เพราะเหตุนี้ถึงทำให้ร่างเดิมพอจะมี่เวลาที่ดีบ้าง
การมอบปลาให้ก็มิสู้กับการสอนจับปลา ต่อไปหลี่ชุ่ยฮัวต้องออกเรือน ก็หวังว่านางจะสามารถเป็คนรวยได้และยืนได้ด้วยลำแข้งตนเองอย่างรวดเร็ว
“จริงหรือ? ถ้าอย่างนั้นแม่ของข้าจะต้องมีความสุขมาก” หลี่ชุ่ยฮัวตอบด้วยรอยยิ้ม
หลิวเต้าเซียงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยและถามว่า “เหตุใดแม่ของเ้าถึงมีความสุข? ข้าเห็นเ้าก็มีความสุขกับการเย็บปักถักร้อยอยู่แล้วมิใช่หรือ?”
“เฮ้อ นั่นคือความชอบของแม่ข้า ข้าไม่ได้ชอบ ข้าไม่ได้มีความชอบต่องานเย็บปักถักร้อย ทว่าทุกคนต่างก็ฝึกเื่นี้ ข้าจึงฝึกตาม เต้าเซียง เ้าก็หัดไว้หน่อยดีกว่า ต่อไปใช้ชีวิตน่ะ สุดท้ายก็ต้องตัดเย็บชุดของตนเองให้ได้”
คำพูดของหลี่ชุ่ยฮัวนั้นแน่นอนว่าได้รับการสั่งสอนมาจากป้าหลี่ เพียงแต่หลิวเต้าเซียงมีความคิดของตนเอง นางต้องรีบทำให้ความฝันในการเป็เศรษฐินีเป็จริง ไหนเลยจะมีเวลามาทรมานกับสิ่งเหล่านี้
แต่นางคิดไม่ถึงว่าหลี่ชุ่ยฮัวจะไม่ชอบการเย็บปักถักร้อย จึงยิ้มแล้วเอ่ย “ในเมื่อชุ่ยฮัวไม่ชอบ ครั้งหน้าถ้าป้าหลี่ถามล่ะก็ ข้าจะบอกว่าเ้าพยายามอย่างมากในการฝึก”
แม้ว่าตอนนี้จะเป็่ว่างจากงานไร่นา นาของบ้านหลี่ก็ดำนาเรียบร้อย แต่งานที่ร้านเหล็กของบ้านหลี่กลับยุ่งมากขึ้น ทั้งการซ่อมเครื่องมือเกษตรหรือการทำสินค้าใหม่ อย่างไรก็ตาม ทั้งบ้านจึงมีเพียงหลี่ชุ่ยฮัวที่คอยดูแลบ้านอยู่เพียงผู้เดียว
“หรือไม่ เ้าฝึกเลี้ยงไก่กับข้าก็ได้ ถีงอย่างไรไก่ก็ออกไข่ทั้งปี แล้วยังสามารถขายได้เงินอีกด้วย”
“เลี้ยงไก่?” ดวงตาของหลี่ชุ่ยฮัวกลอกไปมา โยนสะดึงผ้าในมือไปอีกทางแล้วยิ้มอย่างเริงร่า “ตกลง! เต้าเซียง มีเ้าที่รู้ใจข้าที่สุด”
หลิวเต้าเซียงเสนอเื่นี้ออกมาโดยที่นางเองก็ไตร่ตรองอยู่นาน
“ถ้าเช่นนั้น เ้าห้ามเอ่ยกับป้าหลี่เชียวนะ หากว่านางรู้เข้าต้องโกรธเป็แน่ ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ยอมเย็บรองเท้าให้ข้าอีกก็ได้” หลิวเต้าเซียงก้มมองดูรองเท้าผ้าของตน
รองเท้าผ้าของสามพี่น้อง ล้วนเป็ฝีมือของป้าหลี่
แม้จางกุ้ยฮัวจะมีใจทำให้ แต่ก็หาได้มีเวลา ตลอดหลายปีที่ผ่านมาล้วนมีป้าหลี่ที่คอยช่วยเหลือ จางกุ้ยฮัวถึงได้พอสบายตัวบ้าง
หลี่ชุ่ยฮัวปัดมืออย่างน่ารัก “ข้าไม่บอก ข้าไม่บอก รอจนข้าเลี้ยงไก่เป็เมื่อไร ข้าจะเอาไก่ไปแลกเงิน เมื่อข้ามีฝีมือในการเลี้ยงไก่ ต่อไปหากแต่งออกเรือนไป ข้าก็จะไม่กลัวครอบครัวของสามี”
หลิวเต้าเซียงยิ้มและหยอกนาง “ชุ่ยฮัว เ้าเพิ่งอายุเท่าไรกัน เอะอะก็เอ่ยถึงแต่บ้านสามีแล้ว”
“เต้าเซียง เ้าเอาแต่พูดเข้า ตอนนี้เ้าเองก็วันๆ ทำตัวเหมือนยายเฒ่าอย่างไรอย่างนั้น ช่างน่าเบื่อ อีกอย่างเพราะเราสองคนสนิทสนมกัน ข้าถึงเอ่ยขึ้น แม่ข้าบอกว่า ผู้หญิงออกเรือนหมายถึงการเลือกเกิดหนที่สอง หากออกเรือนได้ดี ชีวิตก็จะราบรื่นดุจสายธาร หากว่าออกเรือนไปบ้านที่ย่ำแย่ สู้รีบตายเสียแต่เนิ่นแล้วไปเกิดใหม่ดีกว่า”
รอยยิ้มของหลิวเต้าเซียงชะงักเล็กน้อย ออกเรือนหรือ?
นางควรเริ่มเตรียมสินเ้าสาวให้แก่หลิวชิวเซียงเงียบๆ ได้แล้ว
ไม่ว่าราชวงศ์หรือรุ่นใด หากสินเ้าสาวนั้นมั่งมีครบถ้วน ชีวิตวันข้างหน้าก็จะสบายกว่ามากนัก
แม้แต่ในบ้านของคนธรรมดาสมัยใหม่ แม้ว่าจะมีการเอ่ยขอสินเ้าสาว แต่ส่วนมากในจำนวนนั้นก็จะมีเงินอีกหนึ่งก้อนเป็เงินยาเซียงเพื่อให้บุตรสาวตนเองนำติดตัวไปบ้านสามีด้วย
สิ่งที่นางคิดในใจเป็เื่หนึ่ง แต่พอพูดออกมาก็เป็อีกหนึ่งเื่ “ชุ่ยฮัว การเลี้ยงไก่ใช่ว่าจะหาเงินได้ในทันที ต้องรู้จักการรักษาอาการป่วยของไก่ ทว่า หากเ้าเลี้ยงจำนวนน้อย ก็ต้องขยันหน่อย อย่างน้อยก็พอมีกำไร และไม่ส่งผลต่องานเย็บปักของเ้า เช่นนี้เ้าก็จะหาเงินได้สองเท่าเชียวนะ”
การให้หลี่ชุ่ยฮัวสงบจิตใจเพื่อเย็บปักถักร้อย นี่คือความปรารถนาของป้าหลี่มาโดยตลอด
“จริงหรือ? ถ้าเช่นนั้นก็เท่ากับว่าข้าจะมีความสามารถสองด้านติดตัวหรือ?” ถึงแม้หลี่ชุ่ยฮัวจะไม่ได้ชื่นชอบการเย็บปักนัก แต่นางมีอายุเพียงเจ็ดขวบจริงๆ เมื่อได้ยินหลิวเต้าเซียงกล่าวเช่นนี้ จึงเริ่มเห็นวี่แววของเงิน นางยิ่งรู้สึกว่าหลิวเต้าเซียงนั้นดีกับนางจากใจจริง
“เต้าเซียง ถ้าไม่เช่นนั้น เ้ามาเป็พี่สะใภ้ข้าเถิด พี่ชายข้าแม้จะโตกว่าเ้าหกถึงเจ็ดปี แต่แม่ข้าบอกแล้วว่า ต่อไปร้านเหล็กต้องตกเป็ของพี่ชายข้า”
หลิวเต้าเซียงแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ลมอ่อนโยนพัดเส้นผมของนาง เพื่อนรัก เ้ากำลังทำให้ข้าปวดหัวแล้ว
นางอยากบอกว่า เราหยุดพูดเื่ออกเรือนก่อนจะได้ไหม?
แม้ว่าหลิวเต้าเซียงจะปวดหัวกับคำถามของหลี่ชุ่ยฮัวเป็ประจำ แต่นางก็ชอบเล่นกับหลี่ชุ่ยฮัว
เนื่องจากป้าหลี่ไม่อยู่บ้าน หลี่ชุ่ยฮัวจึงบอกให้นางอยู่กินข้าวด้วยกัน แล้วยังหั่นเนื้อหมูเค็มที่ป้าหลี่เก็บไว้มานึ่งตามอำเภอใจ ทั้งสองคนกินผักป่า เนื้อหมูเค็มนึ่งและข้าวสองถ้วยใหญ่ จากนั้นก็กินมันเทศไปอีกสองลูกใหญ่
เมื่อพระอาทิตย์ตกดินบนูเาด้านทิศตะวันตก หลิวเต้าเซียงก็กลับบ้านอย่างอ้อยอิ่ง
เฮ้อ ไม่รู้ว่าเ้าบ้าซูจื่อเยี่ยไปถึงไหนแล้ว!
นางผลักประตูเข้าไปในลานบ้าน ไม่ต้องคอยระวังซูจื่อเยี่ยที่จะหาทางมากลั่นแกล้งนางอีกต่อไป ชั่วขณะนั้นกลับรู้สึกว่าโหวงเหวงชอบกล
อาหารเย็นยังคงมีหลิวซุนซื่อเป็ผู้รับผิดชอบ หรือบางทีเพราะก่อนหน้านี้ตอนที่ซูจื่อเยี่ยยังอยู่ที่นี่ เพราะหลิวเต้าเซียงเป็คนทำกับข้าว จึงทำให้คนทั้งครอบครัวได้กินน้ำมันเต็มท้อง
ขณะที่ทำอาหารค่ำ หลิวซุนซื่อก็ตักน้ำมันหมูทัพพีใหญ่เตรียมใส่ลงไปในกระทะเพื่อผัดผักอย่างไม่คิด
หลิวฉีซื่อผู้กำลังรอจังหวะนี้ จึงสั่งสอนหลิวซุนซื่ออย่างช่ำชอง
เมื่อเห็นว่านางตักมาทัพพีใหญ่ จึงกรีดเสียงแหลมด่าขึ้น “นางตัวดี ให้ตายเถิด เ้าคิดว่าไม่ต้องจ่ายเงินเองก็ใช้โดยพลการได้หรือ?”
เมื่อหลิวฉีซื่อกล่าวเช่นนี้ก็ยิ่งโมโห นึกถึงว่าก่อนหน้านี้ที่หลิวเต้าเซียงทำปลาแล้วใช้น้ำมันเยอะ ก็เพราะฝึกมาจากนางตัวล้างผลาญคนนี้
ดังนั้นนางจึงยิ่งไม่ชอบหน้าหลิวซุนซื่อ คำด่าก็ยิ่งหยาบคายมากขึ้นอีก “นางอัปรีย์แหวกออกมาจากอวัยวะเพศหมู ผัดผักยังต้องใช้น้ำมันมากมาย เ้าคือคนรวยหรือ!”
หลิวซุนซื่อถูกด่าจนรำคาญใจ แต่ไม่กล้าเถียงหลิวฉีซื่อ นางรู้ดีว่ายิ่งเถียงก็ยิ่งเป็การทำให้ชีวิตอยู่ยาก
หลิวฉีซื่อเห็นว่าหลิวซุนซื่อทำหน้าเหมือนไม่รู้สึกผิด แล้วลดน้ำมันจากหนึ่งทัพพีและยังเหลืออีกครึ่งหนึ่ง จากนั้นคั่วน้ำมันหมูที่เหลือลงไปในกระทะ ซ่า! หอมเหลือเกิน
ใบหน้าชรานั้นโมโหจนบิดเบี้ยว แล้วด่าหยาบคาบรุนแรงกว่าเดิม
หลิวซุนซื่อนั้นถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจั้แ่เด็ก หลังจากแต่งเข้าบ้านแซ่หลิว นางก็อยู่ในตำบลกับหลิวเหรินกุ้ยมาโดยตลอด ไม่เคยเป็ที่รองรับอารมณ์เช่นนี้มาก่อน หลายวันก่อนเนื่องจากเห็นแก่เงินห้าตำลึง ต่อมาก็ได้ต่อกรกับหลิวฉีซื่อทั้งทางตรงและทางอ้อมหลายต่อหลายครั้ง เพียงแต่นางเป็คนแพ้มากกว่าชนะ
“ท่านแม่ ข้าล้างผลาญอย่างไรหรือ น้ำมันหมูก็ซื้อมาเพื่อกินไม่ใช่หรือ? มิเช่นนั้นจะซื้อมาทำอะไรกัน” บางทีคงเพราะหลิวซุนซื่ออัดอั้นมานาน นางวางทัพพีไว้อีกทางแล้วเอ่ยอีก “ใครบ้างจะชอบทำอาหาร ทั้งที่ในบ้านก็มีเงินมากมาย กระทั่งน้ำมันก็ไม่กล้าใส่ ข้าว่าท่านแม่ ท่านมาจากจวนตระกูลใหญ่ไม่ใช่หรือ? บ้านเราก็ไม่ได้ย่ำแย่ แต่ท่านแม่กลับทำเช่นนี้ หรือ้าให้ลูกชายกับหลานชายอดตายหรือ?”
หลิวฉีซื่อมิอาจทนฟังผู้ใดมาสาปแช่งลูกหลานได้ เพราะนั่นคือตัวรับประกันการได้เป็ฮูหยินตระกูลขุนนางของนางในอนาคต
ทันทีที่ได้ยินหลิวซุนซื่อกล่าวเช่นนี้ นางจึงหยิบที่คีบฟืนขึ้นมาแล้วชี้ไปที่นางอย่างดุร้าย
หลิวซุนซื่อเองก็ไม่ยอม จึงหยิบทัพพีอันใหญ่แล้วประจันกับแม่สามีขึ้นมา
ขณะที่หลิวเต้าเซียงเข้าไป ในครัวกำลังมีการประลองวรยุทธ์กันอย่างเมามัน ได้ยินเพียงเสียงปึงปังดังสนั่น
หลิวชิวเซียงที่กำลังอุ้มหลิวชุนเซียงนั่งอยู่ด้านล่างทางเดินห้องปีกทิศตะวันตก เมื่อเห็นหลิวเต้าเซียงกลับมาจึงโบกมือให้
หลิวเต้าเซียงเข้าใจทันที นางปิดประตูลานบ้านเสียงค่อย แล้วเดินตรงไปทางหลิวชิวเซียง
นางส่งสายตาชอบใจที่ในห้องครัวเกิดทะเลาะกันเดือดดาลอีกแล้ว
หลิวชิวเซียงอุ้มหลิวชุนเซียงบอกให้นางตามเข้าไปในห้อง แล้วเล่าเื่ที่หลิวฉีซื่อต่อว่าหลิวซุนซื่อ พลันทอดถอนใจ “โชคดีที่ตอนนี้ป้ารองเป็คนทำอาหาร แม่เราถึงได้สบายหน่อย”
“เฮ้อ อย่าเอ่ยถึงเื่นี้ดีกว่า เพราะถึงอย่างไรแม่เราก็คงไม่ไปอ้อยอิ่งตรงหน้าท่านย่าแล้ว รีบมาดูของที่คุณชายท่านนั้นให้กับครอบครัวเราเถิด”
หลิวชิวเซียงวางหลิวชุนเซียงลงบนคั่ง แล้วดึงหลิวเต้าเซียงเข้าไปในห้องด้านใน หรือเสมือนว่าคือห้องด้านในก็แล้วกัน
“ดูสิๆ ท่านพ่อบอกว่า นี่คือผ้าฝ้ายละเอียดที่คุณชายท่านนั้นให้เรา”
หลิวเต้าเซียงมองไปที่ผ้าหลากสีห้าผืน เดาว่าคงให้พวกนางสามพี่น้อง ส่วนที่เหลืออีกสี่ผืน ประกอบด้วยสีดำ สีฟ้าเข้ม สีเหลืองขิง แล้วก็สีแดงชาด เห็นทีคงให้หลิวซานกุ้ยกับจางกุ้ยฮัว
นางััวัสดุ พื้นผิวค่อนข้างเรียบง่าย ผิวััสบาย เดาว่าคงเป็ของชั้นดี
“น้องรอง คนที่เป็พ่อบ้านหวังบอกไว้ว่า นี่คือผ้าธรรมดาทั่วไป ท่านปู่กับท่านย่า แล้วก็อาเล็กได้ผ้าไหมหูโจวด้วย ว่ากันว่าเป็ของที่มาจากเมืองหลวง”
หลิวชิวเซียงรู้ว่าเมืองหลวงที่กล่าวกันคือผืนดินใต้ฝ่าพระบาทฮ่องเต้ นั่นคือสถานที่ที่บรรดาชนชั้นสูงอยู่อาศัยกัน ทุกคนต่างบอกว่า ของที่มาจากที่นั่น ล้วนเป็ของที่ดีกว่าของที่มาจากบริเวณโดยรอบแถวนี้
หลิวเต้าเซียงเอะใจเล็กน้อย จึงยิ้มแล้วเอ่ย “ผ้าไหมหูโจวน่ะสวยก็จริง แต่ข้าได้ยินมาว่า ผ้าไหมหูโจวยับง่าย การจะนั่งก็ต้องคอยระมัดระวัง แล้วยังต้องตัวตั้งหลังตรงตลอดเวลา เพราะกลัวว่าจะทำให้มันยับจนหมดสภาพ”
หลิวชิวเซียงคิดในใจ เห็นทีผ้าฝ้ายละเอียดนั้นน่าจะใช้งานสวมใส่สะดวกกว่า
“ท่านพี่ ดูสิ สีเลืองหงส์นี้คุณภาพไม่เลว เราสองคนสามารถตัดชุดได้คนละหนึ่งตัว ยิ่งกว่านั้น ผ้าไหมหูโจวนั้นตัดเย็บชุดยืดหดได้ไม่เท่าผ้าฝ้ายเช่นนี้เลย” หลิวเต้าเซียงไม่ได้ใส่ใจว่าทางหลิวต้าฟู่ได้สิ่งใด
นางรู้สึกว่าซูจื่อเยี่ยต้องมีเหตุผลของเขาในการทำเช่นนั้น ยิ่งกว่านั้น ของกำนัลที่สร้างความอิจฉาตาร้อนเ่าั้ แม้จะยกให้แก่ครอบครัวของนาง เกรงว่าก็คงไม่มีทางรักษาไว้ได้ สู้มอบของเหล่านี้จะเหมาะสมมากกว่า
“ดีจริงด้วย” หลิวชิวเซียงเห็นว่าหลิวเต้าเซียงไม่ได้หงุดหงิดเพราะหลิวเสี่ยวหลันได้ผ้าไหม ในใจจึงไม่ครุ่นคิดกับเื่นี้อีกต่อไป จากนั้นก็ปรึกษากับหลิวเต้าเซียงว่าจะทำอย่างไรกับผ้าเหล่านี้ดี
“พี่ใหญ่ กลางคืนให้ท่านแม่เย็บเป็เสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หลิวเต้าเซียงเองไม่ค่อยวางใจ ดวงตาของหลิวฉีซื่อนั้นดุจดั่งอสรพิษ แม้นว่าจะมีคำพูดของซูจื่อเยี่ยที่พูดดักทางไว้ แต่เกิดนางคิดได้จะทำอย่างไร? หากนางเอ่ยปากขอกับหลิวซานกุ้ยว่า จะให้หรือไม่ให้ล่ะ?
“อืม ลงมือก่อนได้เปรียบ” หลิวชิวเซียงนั้นได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้ง จึงรีบพยักหน้ารับ แล้วออกตัวรับผิดชอบเื่นี้
หลังจากหลิวเต้าเซียงดูเนื้อผ้าเสร็จก็เหลือบไปมองอีกหนึ่งถาดที่อยู่ด้านข้าง บนนั้นมีตำราตั้งกองอยู่ จึงยิ้มแล้วเอ่ย “หืม มอบตำราให้ด้วยเช่นนั้นหรือ?”
หลิวชิวเซียงพยักหน้า “ข้าเองก็ได้ยินจากท่านแม่ตอนที่กลับมา ทว่าท่านพ่อบอกหลังจากที่ได้รับของกำนัลและส่งลาคุณชายท่านนั้น ว่าจะไปจับปลาที่แม่น้ำ ส่วนท่านแม่ก็วางของเหล่านี้แล้วไปดูแลแปลงผักแล้ว ท่านแม่บอกเพียงว่ามันคือตำราการเกษตร”
-----
