เฉินต้าจ้วงเอ่ยทั้งรอยยิ้ม จากนั้นพาต้วนเหลยถิงและเคอโยวหรานเข้าไปในจวน
กลางลานเรือนของจวนสกุลเฉินมีโต๊ะแปดเซียนตั้งเอาไว้ บนโต๊ะจัดวางกระดาษ พู่กัน น้ำหมึก และจานฝนหมึก ผู้ใหญ่บ้านเฉินกำลังพลิกอ่านสมุดบันทึกประจำหมู่บ้าน ส่วนคนสกุลเฉินล้วนต่อแถวกันอย่างเป็ระเบียบยิ่งนัก
ต้วนเหลยถิงเอ่ยด้วยความสงสัย “ทุกคนกำลังทำอันใดกันอยู่หรือขอรับ? เหตุใดวันนี้จึงครึกครื้นถึงเพียงนี้?”
“โอ้ ซานหลางมาแล้วหรือ?” ครั้นได้ยินเสียง ผู้ใหญ่บ้านเฉินพลันเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นก็เห็นเคอโยวหรานเข้าพอดี “หืม? โยวหรานก็มาด้วยหรือ? ช่างงามขึ้นในชั่วข้ามคืนอย่างแท้จริง!”
เคอโยวหรานเอ่ยพลางยกยิ้ม “ท่านผู้าุโกำลังทำอันใดอยู่หรือ? เกิดเื่ใดขึ้นในหมู่บ้านหรือเ้าคะ?”
ผู้ใหญ่บ้านเฉินหัวเราะก่อนตอบ “จะเกิดเื่อันใดได้เล่า? เพราะทุกคนล้วนแต่มีเงินทองเหลือเก็บจากเมื่อวาน ยามนี้ใกล้จะเริ่มไถหน้าดินฤดูใบไม้ผลิแล้ว ทุกคนจึงอยากซื้อที่ดินจำนวนหนึ่ง ดูทีว่าคงมาต่อแถวรอเลือกที่ดินกันั้แ่เช้าแล้วกระมัง”
ขณะเอ่ยก็ล้วงหยิบโฉนดออกมาสองใบแล้วพูดต่อ “โฉนดเปล่าของพวกเ้าจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว จะลองคิดดูอีกคราหรือไม่ อย่างไรเสียก็เป็เงินทองมากมายถึงเพียงนี้ มิอาจเห็นเป็เื่ล้อเล่นโดยเด็ดขาด!”
ต้วนเหลยถิงเอ่ยอย่างหนักแน่น “ไม่เปลี่ยนใจ ลงนามเป็พอขอรับ”
กล่าวจบพลันวางเงินลงบนโต๊ะแปดเซียนพลางเอ่ยว่า “ขอท่านผู้ใหญ่บ้านเฉินนับดูสักหน่อย”
ผู้ใหญ่บ้านเฉินไม่เกลี้ยกล่อมอีก หลังจากนับเงินเสร็จสิ้น เคอโยวหรานก็เขียนชื่อของตนเองและประทับลายนิ้วมือลงไป หนึ่งสำเนาแบ่งออกเป็สองชุด ต่างฝ่ายล้วนเก็บเอาไว้เป็อย่างดี
ยามเห็นเงินบนโต๊ะ ผู้ใหญ่บ้านเฉินพลันขมวดคิ้วเอ่ยว่า “นอกจากภาษีสองส่วนที่ต้องมอบให้ทางการ ยังเหลือเงินอีกหนึ่งพันหกร้อยยี่สิบห้าตำลึง จู่ๆ ภายในหมู่บ้านก็มีเงินทองเพิ่มขึ้นมากมายเช่นนี้ ไม่รู้ว่าหากอยากให้ชาวบ้านมีรายได้ยามว่างเว้นจากการทำนา ควรนำเงินจำนวนนี้ไปทำอันใดจึงจะดี?”
เคอโยวหรานกำลังจะเอ่ยถึงเื่ให้ชาวบ้านทำเต้าหู้ ทว่าภายในลานเรือนกลับมีคนสกุลเคอกลุ่มหนึ่งส่งเสียงดังโวยวายขึ้นเสียก่อน
ต้วนเหลยถิงเห็นพวกเขามาด้วยเจตนาร้ายจึงส่งลูกหมาป่าให้เคอโยวหราน จากนั้นสาวเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่งเพื่อกันนางไว้ด้านหลัง
ปู่รองสกุลเคอพลันปริปากเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เป็มิตร “ท่านอาเฉิน พวกท่านช่างใจแคบเสียจริง บนูเามีซากสัตว์ป่ามากมายถึงเพียงนั้น เหตุใดกลับไม่บอกคนสกุลเคอของพวกเราบ้างเล่า?”
“หึ!” ผู้ใหญ่บ้านเฉินเผชิญหน้ากับปู่รองสกุลเคอ เอ่ยเย้ยหยันว่า
“เมื่อวานก่อนขึ้นเขา ข้ามิได้บอกให้คนหนุ่มทั้งหมดไปรวมตัวกันที่ลานตากข้าวหรอกหรือ? สกุลเคอของพวกเ้าไม่ยินดีไปและยอมละทิ้งโอกาสเอง ยังจะโทษผู้ใดได้อีก?”
ปู่รองสกุลเคอถึงกับไร้คำจะเอ่ย ทว่าก็ยังฝืนดันทุรัง “พวกเราถูกท่านอาเฉินทำให้เข้าใจผิดแล้ว นึกว่าบนูเามีอันตรายจึงมิได้ขึ้นไปด้วย ในฐานะผู้ใหญ่บ้าน ท่านไม่ควรเกลี้ยกล่อมพวกเราสักหน่อยหรืออย่างไร?”
ผู้ใหญ่บ้านเฉินหัวเราะ “เ้ารองสกุลเคอ ตัวเ้าเองยังบอกว่าบนเขามีอันตราย หากข้าเกลี้ยกล่อมให้พวกเ้าขึ้นไปแล้วเกิดอุบัติเหตุหรือประสบภัย สกุลเคอก็คงมาหาเื่ข้าอยู่ดีใช่หรือไม่?”
“ย่อมต้องเป็เช่นนั้น” ปู่รองสกุลเคอโพล่งออกไปโดยไม่แม้แต่จะคิด
คนสกุลเฉินทนดูต่อไปไม่ไหว ต่างพากันออกปากปกป้องผู้ใหญ่บ้านเฉินว่า
“สกุลเคอช่างกล่าววาจาไร้เหตุผลยิ่งนัก เมื่อวานทุกคนล้วนลงนามในสัญญาแล้ว ผู้ที่ยินดีขึ้นเขา หากเกิดอันตรายใดก็จำต้องแบกรับผลที่ตามมาด้วยตนเอง ส่วนผู้ที่ไม่ยินดีขึ้นเขา หากผู้อื่นเก็บของดีอันใดได้ก็อย่าอิจฉาตาร้อน”
“ใช่แล้ว กระดาษขาวน้ำหมึกดำล้วนเขียนเอาไว้ชัดเจน จะมาตำหนิผู้นำสกุลของพวกเราได้อย่างไร?”
ยามนี้คนสกุลเคอไม่พอใจขึ้นมาแล้ว จึงเอ่ยด้วยความขุ่นเคืองว่า
“หลังพวกเ้าขึ้นเขาไปพบซากสัตว์ป่าจำนวนมาก เหตุใดถึงไม่กลับหมู่บ้านมาแจ้งพวกเราเล่า?”
“ใช่แล้ว ทั้งยังแอบนำไปขายและแบ่งเงินกันภายในคืนนั้นอีกด้วย ช่างใจคอคับแคบเป็อย่างยิ่ง”
“ูเาต้าชิงเป็ของคนทั้งหมู่บ้านเถาหยวน เมื่อพบซากสัตว์ป่าบนเขาก็ควรจะแบ่งเงินทั้งหมู่บ้าน มีสิทธิ์อันใดที่สกุลเฉินของพวกเ้าได้เงิน แต่สกุลเคอของพวกเรากลับมิได้สิ่งใดแม้เพียงนิดเล่า?”
คนสกุลเฉินนึกขบขันยิ่งนัก ล้วนพากันชี้หน้าคนสกุลเคอพลางเอ่ยว่า
“ก่อนขึ้นเขาพวกเราก็มิได้หลบซ่อน เป็พวกเ้าต่างหากที่ไม่ยินดีจะขึ้นไปเอง เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรา?”
“ถูกต้อง ตกลงกันก่อนขึ้นเขาแล้วแท้ๆ ว่าหากพบซากสัตว์ป่า ผู้ใดขึ้นเขาก็เป็ของผู้นั้น พวกเ้าล้วนแต่เห็นดีเห็นงาม ทั้งยังลงนามในสัญญาแล้วอีกด้วย ต่อให้ก่อเื่จนไปถึงจวนว่าการ พวกเราก็เป็ฝ่ายที่มีเหตุมีผล”
“พวกเ้า...”
คนสกุลเคอเป็ฝ่ายไร้เหตุผล อาศัยว่าภายในหมู่บ้านเถาหยวน คนสกุลเคอมีจำนวนมากกว่าคนสกุลเฉิน ก็ถลกแขนเสื้อหมายจะหาเื่ต่อยตีเสียแล้ว
ครั้นเห็นว่าจะเกิดการลงมือ สายตาของต้วนเหลยถิงพลันฉายแววดุดัน เขาร้องตะคอกเสียงดังว่า
“พอได้แล้ว! สัญญาที่ลงนามเมื่อวานเป็เพียงกระดาษไร้ความหมายหรืออย่างไร? หากกลายเป็เื่ใหญ่โตขึ้นมาก็มีแต่จะทำให้สกุลเคอขายหน้า ต้องให้เื่นี้ถึงขั้นดำเนินคดีเสียก่อน เหล่าผู้าุโของสกุลเคอถึงจะยอมรามือใช่หรือไม่?”
เมื่อคนสกุลเคอได้ยินว่าจะเป็เื่จนถึงจวนว่าการก็ต่างพากันหวาดหวั่นเสียแล้ว หากไปจวนว่าการ แม้จะเป็ฝ่ายมีหรือไม่มีเหตุผลก็ล้วนต้องถูกโบยยี่สิบไม้เป็อันดับแรก ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจทนรับได้ไหวกระมัง
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังเป็ฝ่ายไร้เหตุผล หากกลายเป็เื่ใหญ่ขึ้นมาก็ไม่เห็นจะเป็ผลดีต่อพวกเขาเลยสักนิด
ทันใดนั้นมีคนหนุ่มสกุลเคอผู้หนึ่งที่เืร้อนจนพุ่งขึ้นศีรษะ เขาหยิบท่อนฟืนขนาดหนาเท่าข้อมือมาจากกองฟืนแล้วปรี่เข้าไปหาต้วนเหลยถิงพลางร้องตะคอกด้วยความขุ่นเคืองว่า
“เ้าคนต่างแซ่ มีสิทธิ์อันใดมาชี้ไม้ชี้มือในหมู่บ้านเถาหยวนของข้า บิดาผู้นี้จะตีเ้าให้ตาย!”
ไม่รอให้เขาเข้าใกล้ ต้วนเหลยถิงพลันเคลื่อนพลังลมปราณจากจุดตันเถียนมารวบรวมไว้บนฝ่ามือและฟาดออกไปกลางอากาศ
คนหนุ่มผู้นั้นถูกพลังลมปราณกระแทกจนกระเด็นออกไปเจ็ดถึงแปดก้าวก่อนจะล้มลงบนพื้นอย่างแรง มิอาจหยัดกายลุกขึ้นภายในเวลาอันสั้น
ต้วนเหลยถิงนึกไม่ถึงว่าการฝึกพลังภายในเมื่อคืนจะเกิดประโยชน์มากขนาดนี้ เพิ่งจะเริ่มเรียนขั้นพื้นฐานและใช้พลังไปเพียงสองส่วนก็เก่งกาจถึงเพียงนี้เสียแล้ว
ให้ตายเถิด หากเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาทั้งชุด เมื่อนั้นจะเก่งกาจได้เท่าใดกัน?
ครั้นคิดถึงเื่นี้ มุมปากของต้วนเหลยถิงก็ลอบยกยิ้มโดยมิอาจสังเกตเห็น ชายหนุ่มกอบกุมมือเล็กของเคอโยวหรานอย่างอารมณ์ดีเหลือแสน
คนสกุลเคอกับคนสกุลเฉินล้วนมีใบหน้าซีดเผือด นึกไม่ถึงว่าคนต่างแซ่จะเก่งกาจถึงเพียงนี้ ยังจะมีผู้ใดกล้ายั่วยุได้อีกเล่า?
คนสกุลเคอถึงกับถอยหลังไปหลายก้าวภายใต้การจับจ้องด้วยสายตาเ็าของต้วนเหลยถิง
เหล่าผู้าุโของสกุลเคอล้วนกลืนน้ำลายและหันมองหน้ากัน ด้วยรู้ว่าสกุลตนเป็ฝ่ายไร้เหตุผล ทั้งยังมีคนต่างแซ่อยู่ด้วย หากก่อเหตุวิวาทขึ้นมาพวกตนก็มิใช่ฝ่ายที่จะได้เปรียบแต่อย่างใด
ขณะกำลังลังเลใจ ทันใดนั้นพลันเหลือบไปเห็นกองเงินบนโต๊ะแปดเซียน ดวงตาของเหล่าผู้าุโสกุลเคอถึงกับแข็งค้างไปชั่วขณะ
พวกเขาอยู่กันมาค่อนชีวิตแล้ว ทว่าจะเคยได้เห็นเงินทองมากมายถึงเพียงนี้เสียเมื่อใด?
คนทั้งกลุ่มเดินไปข้างหน้าหลายก้าวด้วยฝีเท้าหนักอึ้งอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นเมื่อมองเห็นต้วนเหลยถิงจึงค่อยดึงสติที่มีอยู่น้อยนิดให้กลับคืนมาได้และชะงักฝีเท้าลง
ปู่รองสกุลเคอกระแอมไอก่อนเอ่ย “ท่านอาเฉิน เหตุใดบนโต๊ะของท่านจึงมีเงินมากมายถึงเพียงนี้เล่า?”
ผู้ใหญ่บ้านเฉินเองก็มิได้คิดจะปิดบัง ประจวบเหมาะกับจะได้ใช้โอกาสนี้ประกาศเื่สกุลต้วนซื้อูเาต้าชิงและที่ดินฝั่งตะวันออกของแม่น้ำให้ทุกคนรับรู้
ต้วนเหลยถิงจึงฉวยโอกาสนี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “นับั้แ่วันนี้เป็ต้นไป เขาต้าชิงก็คือที่ดินสกุลต้วนของข้า ยามทุกท่านล่าสัตว์ตัดฟืนโปรดย้ายไปทางเขาเสี่ยวชิงทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ หากข้าพบว่าผู้ใดล่วงล้ำ ก็อย่าได้หาว่าข้าต้วนเหลยถิงไม่เกรงใจ
ยังมีอีกหนึ่งเื่ นับแต่วันนี้เป็ต้นไป สกุลต้วนของข้าจะทำหลุมพรางดักสัตว์ไว้บนเขาต้าชิง หากผู้ใดล่วงล้ำแล้วตกลงไปหรือได้รับาเ็ต้องรับผิดชอบผลที่ตามมาด้วยตนเอง อย่าได้โทษว่าข้ามิได้บอกกล่าวทุกท่านล่วงหน้า”
เมื่อครู่ทุกคนล้วนประจักษ์แจ้งในความเก่งกาจของต้วนเหลยถิงแล้ว ยังจะมีผู้ใดกล้าบุ่มบ่ามได้อีก
ดวงตาที่โค้งเป็รูปสระอิของปู่รองสกุลเคอกลิ้งกลอก เขาชี้ไปทางกองเงินพลางเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็เงินที่ได้จากการขายที่ดินส่วนรวม เช่นนั้นก็ควรจะแบ่งให้ทุกคนในหมู่บ้าน หากพวกข้าไม่มาคงมิได้รู้เื่นี้ ท่านอาเฉินคิดจะเก็บเงินนี้ไว้เพียงผู้เดียวกระมัง?”
ผู้ใหญ่บ้านเฉินโมโหจนเครากระดก “ข้ารับเงินต่อหน้าชาวบ้านในหมู่บ้านตั้งมากมายถึงเพียงนี้ มีหรือจะกล้าเก็บเอาไว้เพียงผู้เดียว?
ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้ก็เพิ่งออกโฉนดเปล่า ภาษียังไม่ทันได้ชำระเลยด้วยซ้ำ แล้วจะแบ่งเงินให้ชาวบ้านได้อย่างไร?”
ปู่รองสกุลเคอยกยิ้มเอ่ย “เช่นนั้นก็ดี มิอาจมัวรีรอ พวกเราตามท่านอาเฉินไปจ่ายภาษีที่จวนว่าการในตัวเมืองอำเภอด้วยกัน ส่วนที่เหลือก็แบ่งให้ชาวบ้านเท่าๆ กันเสียเป็ดี”
“ใช่ๆๆ!...” กลุ่มคนสกุลเคอเอ่ยเสริมเป็เสียงเดียวกัน ราวกับกลัวว่าหากช้าไปหนึ่งก้าวจะไม่ได้รับส่วนแบ่งก็มิปาน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้