“ฮือๆ พี่หนิวเซิ่ง พวกท่านหายไปไหนมา ฮือๆ เ้าคนชั่วนั่นทุบตีพวกเรา”
“ข้ากลัว เขาบอกว่าจะตีขาข้า”
แม่นางน้อยทั้งสองร้องไห้อย่างหนัก กอดคอหนิวเซิ่งไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
ชัดเจนว่ายามปกติหนิวเซิ่งดีกับแม่นางทั้งสองไม่น้อย ถึงได้รับความไว้วางใจเช่นนี้
ในที่สุดเสี่ยวหมี่ก็ทนไม่ไหว นางหรี่ตามองเฝิงเจี่ยนไปทีหนึ่ง เห็นว่าเขาไม่มีท่าทีคัดค้านแต่อย่างใด จึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “หยุดร้องก่อนเถอะ กินข้าวก่อน แล้วก็อาบน้ำนอนเสีย พรุ่งนี้ตื่นมาทุกอย่างก็จะดีขึ้นแล้ว”
แม่นางน้อยทั้งสองหลบอยู่หลังหนิวเซิ่งอย่างหวาดกลัว มองทุกคนรอบๆ ด้วยท่าทีระแวดระวัง
หนิวเซิ่งก้มหน้าไปพูดอะไรเสียงเบากับพวกนาง พวกนางถึงได้ค่อยๆ ขยับไปนั่งบนเก้าอี้ให้เรียบร้อย
ท่านป้าหลิวมีลูกชายสองคน ลูกสะใภ้กุ้ยจือเอ๋อร์ก็มีหลานชายให้นางอีกสองคน นางจึงชอบเด็กผู้หญิงมาก ยามนี้เห็นแม่นางน้อยสองคน ถึงแม้สภาพจะมอมแมมไปบ้าง แต่ตาโตปากนิดจมูกหน่อย ท่าทางขี้กลัวนั้นทำให้คนรู้สึกเอ็นดู จึงวุ่นวายตักของกินให้พวกนาง จากนั้นจึงให้ลูกสะใภ้กลับบ้านไปเอาชุดสะอาดๆ มา
รอจนพวกเด็กๆ กินอิ่ม แม่นางน้อยสองคนเช็ดหน้าเช็ดตาเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็พากันเดินกลับขึ้นเขาเหลือพี่ใหญ่ลู่เอาไว้ ให้เขาพาพวกเด็กๆ เข้านอนที่บ้านรับรองหน้าประตูทางเข้าหลังนี้
เดิมทีท่านป้าหลิวคิดจะพาแม่นางน้อยทั้งสองกลับบ้านไปด้วย แต่น่าเสียดาย เป็ตายอย่างไรพวกนางก็ไม่ยอมแยกกับพวกพี่ชาย นางจึงทำอะไรไม่ได้
อย่างไรเสียพวกนางก็ยังเล็กมาก ชาวบ้านต่างไม่คิดอะไรมากและไม่มีกฎระเบียบเคร่งครัดอะไรให้ต้องยึดถือ
ค่ำคืนนั้น เสี่ยวหมี่ถูกเฝิงเจี่ยนจับจูงมือเดินรั้งอยู่ท้ายแถว ในที่สุดนางก็อดถามไม่ได้ว่า “พี่ใหญ่เฝิง คือว่า เ้าห้าหลิวคนนั้น...”
“เ้าไม่ต้องไปสนใจ เชือดไก่ให้ลิงดูเท่านั้น”
เสี่ยวหมี่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าตอนนี้เ้าห้าหลิวคนนั้นคงจะอยู่ในสภาพน่าอนาถมาก ไม่เช่นนั้นคงจะข่มขู่พวกพ้องที่เหลือของเขาไม่ได้
ทุกคนกลับเข้าบ้านไปแล้วหลับใหลด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้านกลับไม่ทิ้งคนไว้เฝ้าแค่สองคนเหมือนเดิมแล้ว
หลิวเสี่ยวเตานำพรานหนุ่มเจ็ดแปดคนมาก่อกองไฟเฝ้าโรงทำแป้งและคลังเก็บของของพวกเขา
เขารอคอยวันที่จะได้เข้าไปเปิดร้านขายของในเมืองอยู่ หากว่าของในคลังถูกคนขโมยไปก่อนก็แย่นะสิ
เดิมทีพวกหนิวเซิ่งยังรู้สึกระแวงจนหลับไม่ลง เด็กๆ เจ็ดแปดคนล้อมเด็กหญิงทั้งสองไว้ตรงกลาง เบิกตากว้างไม่ยอมหลับ แต่เตียงเตาช่างแสนอบอุ่น เสื้อผ้าที่สวมอยู่ก็นุ่มสบาย ในท้องยังอิ่มเอมอีกต่างหาก...
สุดท้ายก็ฝืนทนไม่ไหวพากันหลับใหลไป
พี่ใหญ่ลู่เห็นเช่นนั้นก็ลุกขึ้นจัดผ้าห่มให้พวกเด็กๆ ส่วนตัวเองกลับนอนไม่หลับ
เขาเอาแต่คาดเดาอยู่ในใจว่าน้องหญิงจะรับเด็กพวกนี้เอาไว้หรือไม่ เขาเป็บุตรชายคนโตสกุลลู่ ั้แ่เล็กมาเขาใกล้ชิดกับมารดาและอยู่กับนางมานานที่สุด ถึงแม้ในความทรงจำมารดาของเขาจะไม่เหมือนมารดาผู้อื่นที่เก่งกาจการทำอาหาร เย็บปักเสื้อผ้า แต่นางกอดเขาไว้ในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยนเสมอ ท่านแม่มักจะบอกให้เขาดีกับน้องๆ ต้องปกป้องพวกเขา ต้องรู้จักเสียสละ...
ดังนั้นเขาจึงเติบโตมาเป็คนอ่อนโยนติดจะอ่อนแอ และไม่เคยรังแกพวกน้องๆ แม้แต่ครั้งเดียว แม้แต่คนที่เป็คนนอกเขาก็ยินดียื่นมือเข้าช่วยเหลือ และยิ่งั้แ่ท่านแม่จากไป เขาก็ยิ่งทนเห็นเด็กๆ ที่กำพร้ามารดาไม่ได้ อาจเป็เพราะรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
ก่อนหน้านี้เขาก็เคยยื่นมือช่วยเหลือเด็กๆ เหล่านี้มาก่อน ผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดฟ้าก็ลิขิตให้กลับมาเจอกันอีกที่หมู่บ้านเขาหมี จึงไม่อยากจะไล่พวกเขาไปอีก
หากว่าน้องหญิงไม่ยอมรับพวกเขาเอาไว้ ถึงตอนนั้นเขาก็รับพวกเด็กๆ เข้ามาอยู่ในบ้านแทนก็แล้วกัน คิดว่าน้องหญิงคงไม่คัดค้าน แน่นอนว่าเื่นี้ต้องบอกให้เยว่เซียนรับรู้ แต่ภรรยาของเขา คาดว่าก็คงใจอ่อนเหมือนกันกับเขากระมัง...
คิดได้ดังนี้ก็เหมือนจะรู้สึกสบายใจขึ้นแล้ว พี่ใหญ่ลู่จึงหลับตามพวกเด็กๆ ไป
พระอาทิตย์มาเยือนหมู่บ้านเขาหมีอย่างรวดเร็ว
เหล่าชาวบ้านต่างขยันขันแข็ง ตื่นกันั้แ่ฟ้ายังไม่ทันสาง
พี่ใหญ่ลู่พาเด็กๆ ไปฝากไว้กับท่านป้าหลิวที่ลงเขามาเตรียมอาหาร จากนั้นก็กลับบ้านไป
เมื่อคืนเสี่ยวหมี่หลับไม่สนิทจึงมีรอยคล้ำวงใหญ่ที่ใต้ตา นางช่วยท่านป้าเจียงนวดแป้งหั่นเนื้อไปพลางลอบหาวไปพลาง จนท่านป้าเจียงต้องหันมายิ้มน้อยๆ กับท่าทีง่วงงุนของนาง
เกรงว่าหิมะคงใกล้ตกแล้วกระมัง อากาศเย็นขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ง่วงนอนง่ายกว่าฤดูอื่น หิมะใกล้จะตกเต็มทีแล้วแต่เรือนกระจกบ้านท่านป้าเจียงยังสร้างไม่เสร็จ เกรงว่าคงจะเป็กังวลกับเื่นี้ไม่น้อย
เสี่ยวหมี่เอ่ยปลอบ “ทุกคนขยันขันแข็งกันมาก จะอย่างไรก็คงสร้างเรือนกระจกได้เสร็จหมดก่อนที่หิมะจะมาถึง”
พูดจบนางก็หันศีรษะไปเห็นว่าพี่ใหญ่ลู่กำลังยืนอยู่หน้าประตู ท่าทางเหมือนอยากจะเข้ามาแต่ก็ไม่กล้า นางจึงยิ้มน้อยๆ เดินเข้าไปหาเขาเอ่ยว่า “พี่ใหญ่ ท่านกลับมาเร็วจริง พอดีข้าเองก็มีเื่จะคุยกับท่าน”
พี่ใหญ่ลู่สีหน้าแข็งค้างไปทันที ดูลำบากใจ แต่สุดท้ายก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน “น้องพี่ ข้าก็มีเื่อยากจะพูดกับเ้า เด็กๆ ที่ตีนเขาพวกนั้น ข้าอยากจะรับพวกเขาเอาไว้ หากเ้าคิดว่าไม่ได้จริงๆ ก็แบ่งอาหารส่วนของข้าไปแบ่งให้พวกเขาก็ได้ พวกเขาน่าสงสารเหลือเกิน”
เสี่ยวหมี่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก รีบตอบรับว่า “พี่ใหญ่ท่านพูดอะไรเช่นนั้น เลี้ยงเด็กเพิ่มอีกแค่ไม่กี่คนสำหรับบ้านเราแล้วจะยากอะไรกันเล่าเ้าคะ? เหตุใดจะต้องตัดแบ่งเสบียงอาหารของท่านไปด้วย? เดิมทีข้าก็คิดว่าพี่เยว่เซียนมีสาวใช้และเด็กรับใช้คอยดูแลยามอยู่บ้านเดิม เมื่อแต่งมาอยู่บ้านเราแล้วอาจจะไม่คุ้นเคย ไม่สู้เพิ่มคนดูแลให้เรือนพวกท่านสักหน่อย พอดีเด็กเหล่านี้ก็ไม่อยากจากไป เช่นนั้นก็ให้อยู่ที่นี่เถอะ วันหน้าก็ให้พวกหนิวเซิ่งคอยรับใช้เป็เด็กส่งสารทำงานจิปาถะให้ท่าน เด็กผู้หญิงก็ให้เป็สาวใช้ แต่ว่าบ้านเราเองก็มีเื่ราวมากมายที่ไม่อาจแพร่งพรายให้คนอื่นรู้ได้ ให้ดีก็ให้พวกเขาลงนามในสัญญาขายตัวแบบขายขาดเสีย หากว่าไม่ยินยอมลงนาม เช่นนั้นก็ไม่ต้องรับไว้”
พี่ใหญ่ลู่ได้ยินน้องหญิงพูดอย่างมีเหตุมีผล ทั้งยังคิดมาแล้วอย่างรอบคอบ ก็หน้าแดงน้อยๆ เขาก็แค่ใจอ่อน ไม่อยากเห็นเด็กพวกนี้ต้องเร่ร่อนอีกต่อไป แต่กลับไม่ได้คิดว่าจะนำปัญหามาให้ที่บ้านหรือไม่ ช่างแย่เสียจริง...
“น้องหญิง พี่...”
เสี่ยวหมี่พอเดาได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ นางย่อมไม่อยากเห็นพี่ชายผู้ใจดีแสนซื่อสัตย์ของนางต้องรู้สึกไม่ดี จึงเข้าไปตบบ่าเขาเบาๆ เอ่ยหยอกล้อว่า “แต่เรือนท่านวันหน้าคำพูดของพี่เยว่เซียนคือประกาศิต เื่ใหญ่อย่างเช่นการเลี้ยงคนไว้ในเรือนเช่นนี้ ท่านควรจะบอกนางก่อนหรือไม่เล่า? ไม่แน่ว่าพี่เยว่เซียนอาจจะเตรียมการอย่างอื่นไว้แล้ว”
หากเป็บุรุษคนอื่นคงจะยืดอกแสดงความเป็ใหญ่โดยเลือกตัดสินใจเื่นี้ด้วยตัวเอง แต่พี่ใหญ่ลู่คนนี้กลับไม่เป็เช่นนั้น เขารีบตอบรับว่า “อา วันนี้เ้าจะเข้าเมืองอยู่แล้วไม่ใช่หรือ เช่นนั้นข้าไปด้วย สบโอกาสผ่านทางเข้าไปถาม...เอ่อ ถามดูว่าสกุลเฉินคิดจะจัดการอย่างไร”
เสี่ยวหมี่ยิ้มกว้าง “ได้ เอาตามที่พี่ใหญ่ว่า”
พี่ใหญ่ลู่ไม่ทันสังเกตสีหน้าหยอกล้อของน้องหญิง เขาตื่นเต้นอย่างยิ่ง รีบไปกินข้าวเช้าแล้วจะได้รีบเข้าเมือง
เหลือเสี่ยวหมี่ให้ถอนใจยาว จากนั้นหันไปมองเฝิงเจี่ยนที่เดินเข้ามาพอดี เอ่ยอย่างพอใจระคนปลงตกว่า “พี่ใหญ่ข้าน่ะ วันหน้าเมื่อแต่งงานแล้วคงจะถูกภรรยาคุมเข้มแน่ๆ”
“ภรรยาคุมเข้มหมายความว่าอย่างไร?”
เฝิงเจี่ยนได้ฟังก็แปลกใจ เขาเลิกคิ้วถาม
เสี่ยวหมี่หัวเราะขำ “ก็แปลว่าเขาจะกลัวภรรยาอย่างไรเล่า”
“ฮ่าๆ หมายความเช่นนี้เองหรือ”
เฝิงเจี่ยนหัวเราะเสียงดัง จากนั้นก็เอ่ยว่า “ข้าเองก็อยากมีภรรยาคุมเข้ม”
เสี่ยวหมี่หน้าแดงจัด นางะโหายเข้าไปในห้องครัวราวกับกระต่ายน้อย ทำให้เฝิงเจี่ยนหัวเราะเสียงดังยิ่งกว่าเดิม
ผู้เฒ่าหยางเปิดหน้าต่างเรือนพักฝั่งตะวันออก เขาประหลาดใจนักว่าเหตุใดเ้านายถึงได้อารมณ์ดีเช่นนี้ ทั้งๆ ที่อีกไม่กี่วันจะต้องออกเดินทางกลับเมืองหลวงแล้ว ่เวลาก่อนจากลาไม่ใช่ว่าต้องจมอยู่กับความทุกข์ใจหรอกหรือ
กลับกันเกาเหรินที่กำลังล้างหน้าล้างตาอยู่ข้างบ่อน้ำได้ยินหมดทุกอย่าง จึงอดกลอกตาขึ้นฟ้าไม่ได้ จากนั้นก็สาดน้ำในกระบวยส่งๆ ไปอย่างหงุดหงิด
บะหมี่เนื้อพะโล้หอมฉุยกินคู่กับผักดองอีกสองสามจาน เมื่อคนสกุลลู่กินมื้อเช้ากันจนอิ่มหนำแล้ว วันที่แสนยุ่งก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็ทางการ
เสี่ยวหมี่สังเกตเห็นว่าเฝิงเจี่ยนเข้าไปผลัดอาภรณ์ออกมาก็เดาได้ว่าเขาคงจะเข้าเมืองไปกับนางด้วย จึงดีใจอย่างยิ่ง
คิดไม่ถึงเมื่อผ่านประตูเมืองเข้าไป เฝิงเจี่ยนกลับะโลงจากรถม้าลงเดิน ทำให้เสี่ยวหมี่อดยู่ปากขึ้นน้อยๆ ไม่ได้
ถึงแม้ยามปกติเฝิงเจี่ยนจะไม่พูดอะไรมาก แต่ก็รู้ว่าเขาก็คงมีเื่ยุ่งเช่นกัน นางจึงพยายามเก็บงำความน้อยใจไว้ มุ่งหน้าไปยังสกุลเฉินพร้อมกับพี่ใหญ่ลู่
ถนนเมืองอันโจวยามนี้ อาจเป็เพราะขบวนพ่อค้าหนังสัตว์กำลังจะกลับลงใต้แล้ว จึงพลุกพล่านเป็พิเศษ มีคนแบกหามข้าวของเดินสวนออกไปมากมาย โรงเตี๊ยมก็มีคนนั่งอยู่เต็มทุกโต๊ะ
พี่ใหญ่ลู่ขับรถม้ามุ่งหน้าไปยังตรอกที่บ้านสกุลเฉินตั้งอยู่
เมื่อว่าที่ลูกเขยมาถึงบ้าน คนสกุลเฉินย่อมต้อนรับด้วยความยินดี
พอดียามนี้เฉินเยว่เซียนก็อยู่ที่เรือนหน้า เห็นว่าสองพี่น้องสกุลลู่มาที่บ้าน นางก็หน้าแดงเตรียมจะถอยกลับไป
เสี่ยวหมี่กลับเรียกนางเอาไว้ ยิ้มเอ่ยว่า “พี่เยว่เซียนอย่าเพิ่งไปเ้าค่ะ วันนี้ที่พวกเรามาเพราะมีเื่จะปรึกษากับท่าน”
เฉินเยว่เซียนแปลกใจ สุดท้ายก็หันไปมองบิดามารดาด้วยใบหน้าแดงก่ำ
เถ้าแก่เฉินไปมาหาสู่กับคนสกุลลู่โดยเฉพาะเสี่ยวหมี่มานาน ทำให้เขารู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อยที่เลี้ยงบุตรสาวไว้ในห้องหอ ปกป้องนางราวกับไข่ในหิน หากเลี้ยงดูฝึกฝนให้นางทำการค้าบ้าง บางทีนางอาจจะเฉลียวฉลาดพอๆ กับเสี่ยวหมี่เลยก็เป็ได้
อีกอย่าง วันหน้าบุตรสาวยังต้องแต่งเข้าสกุลลู่ไปเป็สะใภ้ใหญ่ จึงควรฝึกฝนให้เผชิญหน้ากับเื่ต่างๆ เอาไว้
คิดได้เช่นนี้เขาจึงเอ่ยปากว่า “เยว่เซียนนั่งลงเถอะ ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเป็คนครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องสนใจคำครหาอะไรแล้ว”
ฮูหยินเฉินตอนแรกคิดจะปฏิเสธ แต่ไม่ทันเสียแล้ว
เฉินเยว่เซียนเห็นเช่นนี้จึงนั่งลง ไม่รู้เพราะความบังเอิญหรืออย่างไรกลายเป็ว่าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนางก็คือพี่ใหญ่ลู่
เมื่อคนทั้งสองเผลอสบตากันก็อดหน้าแดงไปตามๆ กันไม่ได้
เถ้าแก่เฉินลูบเคราพลางหัวเราะออกมา แล้วจึงถามเสี่ยวหมี่ว่า “ต่อให้วันนี้พวกเ้าไม่มา ข้าก็คิดจะไปหาที่บ้านอยู่พอดี ในเมื่อการค้าเฟิ่นเถียวไปได้ดีเช่นนี้ ไม่สู้เปิดร้านค้าขึ้นมาในเมืองเถอะ หนึ่งจะได้ค้าขายสะดวก สองเพื่อลดความยุ่งยากในอนาคต”
เสี่ยวหมี่ยิ้มรับเอ่ยว่า “ข้าก็คิดเช่นนี้พอดี ถ้าอย่างไรสองวันนี้ท่านลุงก็ช่วยหาร้านดีๆ ให้ข้าหน่อยเถอะเ้าค่ะ ให้ดีก็หาที่ค่าเช่าถูกๆ กว้างพอจะให้คนอยู่ได้ วางของได้ ถึงตอนนั้นจะให้พี่เสี่ยวเตาจากสกุลหลิวมาเป็ผู้ดูแล นอกจากขายเฟิ่นเถียวและแป้งทอดกรอบแล้ว ก็เปิดไว้สำหรับขายพวกหนังสัตว์และของป่าที่คนในหมู่บ้านหามาได้ด้วย”