บทที่ 1:อาจารย์สาวตระกูลหยาง
ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!
เสียงเคาะประตูถี่กระชั้นดังทะลุเข้ามาในห้วงฝัน... ฝันที่เขากำลังยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งสมุนไพรโบราณ กลิ่นดินและกลิ่นว่านยาอบอวลไปทั่ว“พี่กงเฉินจื่อ! ตื่นได้แล้ว!” เสียงแหลมใสของเหยียนชิงชิง น้องสาวตัวแสบ กระชากสติของเขาให้กลับสู่โลกปัจจุบัน
“พี่หลันฮวามารอจนรากงอกแล้วนะ!”
“อืม... ตื่นแล้วน่า” กงเฉินจื่อขานรับเสียงแหบพร่า เขาพยุงร่างที่หนักอึ้งราวกับมีใครมาถ่วงไว้ ลุกจากเตียงแล้วเดินโซซัดโซเซเข้าห้องน้ำ แสงไฟนีออนสว่างจ้าจนต้องหยีตา...ทว่าวินาทีที่เขาเงยหน้าขึ้นสบกระจกเงา อาการง่วงงุนทั้งหมดก็สลายไปในพริบตา เหลือเพียงความเย็นเฉียบที่แล่นปราดจากต้นคอลงไปถึงปลายเท้า
ภาพในกระจกไม่ใช่เขา...!
ร่างสะท้อนนั้นเป็ของชายหนุ่มแปลกหน้าผู้หนึ่ง สวมอาภรณ์โบราณสีซีดจาง เนื้อผ้าหยาบกร้านเต็มไปด้วยรอยปะชุนบ่งบอกถึงความยากไร้ ร่างกายผอมเกร็งจนเห็นโครงกระดูก แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจของกงเฉินจื่อกระตุกวูบ คือดวงตาคู่นั้น... มันช่างว่างเปล่า สิ้นหวัง และเหนื่อยล้า ราวกับแบกรับชะตากรรมของโลกทั้งใบไว้
“ฝันบ้าอะไรวะเนี่ย!”
เขาสบถเสียงหลง ยกมือขยี้ตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ภาพชายคนนั้นยังคงจ้องตอบกลับมาอย่างไม่ไหวติง ด้วยความใสุดขีด เขาลองตบหน้าตัวเองฉาดใหญ่ ความเจ็บแปลบแล่นไปทั่วแก้ม และเมื่อลืมตาโพลงอีกครั้ง... ทุกอย่างก็กลับเป็ปกติ ใบหน้าของนักศึกษาแพทย์อนาคตไกลจ้องมองกลับมาด้วยแววตาสับสน
“สงสัยจะเบลอไปเอง” เขาพึมพำกับตัวเอง พลางสาดน้ำเย็นๆ ใสหน้า “เพราะวิชาประวัติศาสตร์การแพทย์แผนโบราณแท้ๆ เลย”
เขายืนนิ่ง ปล่อยให้น้ำหยดจากปลายคาง สูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อรวบรวมสติ แต่ภาพใบหน้าของอาจารย์สาวผู้บรรยายวิชานั้นกลับซ้อนทับขึ้นมาในความคิด... หรือรอยยิ้มและแววตาเปี่ยมความรู้ของเธอ จะตราตรึงในใจเขามากเกินไป จนทำให้สมองสร้างภาพประหลาดเหล่านี้ขึ้นมา?
หลังจากแต่งตัวเสร็จ กงเฉินจื่อก็ลงมายังชั้นล่าง พบหลันฮวา เพื่อนสาวคนสนิท ยืนกอดอกพิงผนังด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ
“อรุณสวัสดิ์... ขอโทษทีนะที่ให้รอ”
หลันฮวาถอนหายใจเฮือกใหญ่ “นายนี่มันเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ นะ กงเฉินจื่อ ถ้าการขี้เซาเป็กีฬาโอลิมปิก นายคงได้เหรียญทองไปแล้ว ไปกันได้แล้ว! สายมากแล้ว” แม้จะบ่นอุบ แต่เธอก็ยื่นกล่องแซนด์วิชให้เขาอยู่ดี
รอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนใบหน้าของกงเฉินจื่อ เขารับมาแล้วรีบสวมรองเท้า
“แม่ครับ ไปแล้วนะ!” “ชิงชิง พี่ไปล่ะ!” “ไปนะคะคุณน้า!” เสียงของทั้งคู่ประสานกันก่อนจะก้าวออกจากบ้านไป
ผู้เป็แม่มองตามแผ่นหลังของทั้งสองด้วยแววตาเอ็นดู “ถ้าสองคนนี้ลงเอยกันก็คงจะดีนะ” เธอหันไปพูดกับลูกสาวที่ง่วนอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์
“อย่าหวังเลยค่ะแม่” เหยียนชิงชิงตอบโดยไม่เงยหน้า “พี่หลันฮวาทั้งเก่งทั้งขยัน มีเหรอจะเอาคนขี้เซาแถมยังเ้าชู้เงียบอย่างพี่ชายหนู”
“แหม... แต่พี่ชายลูกก็เป็ถึงคุณหมออัจฉริยะนะ ใครๆ ก็ต้องอยากได้เป็แฟน” ผู้เป็แม่แก้ต่างให้ลูกชายอย่างภาคภูมิใจ
และนั่นไม่ใช่คำกล่าวเกินจริง... กงเฉินจื่อ คือตำนานที่ยังมีชีวิตของมหาวิทยาลัยแพทย์เซี่ยงไฮ้ ด้วยวัยเพียง 23 ปี เขากลายเป็ที่ปรึกษาในการผ่าตัดเคสยากๆ ที่แม้แต่ศัลยแพทย์าุโยังต้องกุมขมับ ทว่าขณะที่ใครต่อใครต่างมองว่าอนาคตของเขานั้นคงปูด้วยกลีบกุหลาบในโรงพยาบาลชั้นนำ แต่สำหรับกงเฉินจื่อกลับรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจในสถานที่แบบนั้น
เขาเลือกที่จะหนีจากชื่อเสียงและความคาดหวังเ่าั้ ไปเป็แพทย์ฝึกหัดในโรงพยาบาลชนบทอันห่างไกล ที่นั่นเองที่เขาได้ค้นพบความสุขที่แท้จริง... ความสุขจากการช่วยเหลือ ไม่ใช่จากการแข่งขัน และมันก็เป็ที่นั่น ที่ทำให้เขาหันมาสนใจศาสตร์การแพทย์แผนจีนโบราณอย่างลึกซึ้ง ศาสตร์ที่เปี่ยมไปด้วยจิติญญาและเข้าถึงแก่นแท้ของชีวิต
และอาจารย์ หยางหลิงฟาง คือภาพแทนของศาสตร์แขนงนั้นสำหรับเขา... อาจารย์หญิงสาววัย 19 ปี ทายาทตระกูลหมอเทวดาผู้องค์ความรู้ที่สืบทอดมานับร้อยปี เธอคือปริศนาที่เขายากจะละสายตา
“เฉินจื่อ คลาสบ่ายนี้ฉันโดดนะ” หลันฮวาบอกระหว่างที่ทั้งคู่กำลังกินข้าวมื้อกลางวันในโรงอาหาร
“อ้าว ไหนว่าชอบไม่ใช่เหรอ ศาตร์การแพทย์โบราณ”
“ชอบก็ส่วนชอบสิ แต่อาจารย์หวังอวี้เรียกพบด่วนเื่เคสวิจัยิัน่ะ” เธอบอกปัด “คงไม่ได้ไปนั่งฟังเป็เพื่อนนายแล้ว”
“ไม่เป็ไรน่า เดี๋ยวอัดเสียงไว้ให้” เขาตอบ พลางรู้สึกเสียดายอย่างที่หลันฮวาไม่ได้ไปด้วย บ่ายวันนั้นห้องบรรยายพิเศษอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมลึกลับของสมุนไพร กลิ่นของโสม ขิง และว่านยาต่างๆ ผสมผสานกันจนเกิดเป็บรรยากาศที่พาให้จิตใจสงบและตื่นตัวในเวลาเดียวกัน กงเฉินจื่อเลือกที่นั่งตรงกลาง แถวที่สามารถมองเห็นผู้บรรยายได้อย่างชัดเจนที่สุด
ขณะที่หยางหลิงฟางก็ก้าวเข้ามาในชุดกี่เพ้าประยุกต์สีขาวนวลที่ขับเน้นผิวผ่องของเธอให้โดดเด่นยิ่งขึ้น เธอบรรยายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่กังวาน ทุกถ้อยคำล้วนกลั่นกรองมาจากความเข้าใจอย่างถ่องแท้ แต่แล้วทั้งห้องก็เงียบกริบราวกับต้องมนตร์ เมื่อเธอหยิบเข็มทองเล่มยาวขึ้นมา พลางอธิบาย ปลายนิ้วเรียวของเธอจรดปลายเข็มลงบนแผนภาพร่างกายมนุษย์ ไล้ไปตามเส้นลมปราณแต่ละเส้นอย่างนุ่มนวลและแม่นยำ
ในสายตาของศัลยแพทย์อย่างกงเฉินจื่อ ทุกการเคลื่อนไหวของเธอนั้นสมบูรณ์แบบ... มันคือความแม่นยำในอีกรูปแบบหนึ่ง... ความแม่นยำที่ไม่ได้ใช้มีดผ่าตัด แต่ใช้พลังและศาตร์แห่งธรรมชาติล้วนๆ
เมื่อการบรรยายสิ้นสุดลง เขายังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ปล่อยให้นักศึกษาคนอื่นๆ ทยอยเดินออกจากห้องไปจนหมด สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างบางซึ่งกำลังเก็บตำราและอุปกรณ์ด้วยท่าทีสงบนิ่ง
เขาลุกขึ้น สูดหายใจลึกๆ แล้วเดินตรงเข้าไปหาเธอ
“ศาสตร์ของอาจารย์... มันชั่งน่าทึ่งมากครับ”หยางหลิงฟางเงยหน้าขึ้น ดวงตาใสกระจ่างของเธอสบเข้ากับเขา ก่อนที่รอยยิ้มงดงามจะค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก“คงไม่น่าทึ่งเท่าฝีมือมีดของคุณหมอกงเฉินจื่อ... อัจฉริยะแห่งวงการศัลยแพทย์หรอกค่ะ”
เขาชะงักไปเล็กน้อย “อาจารย์... รู้จักผมด้วยหรือครับ?”
“ในมหาวิทยาลัยนี้ มีใครบ้างไม่รู้จักคุณ” เธอกล่าวกลั้วหัวเราะ “เป็เกียรติอย่างยิ่งที่วิชาแพทย์แผนโบราณของฉันได้รับความสนใจจากศัลยแพทย์อนาคตไกลอย่างคุณ”คำชื่นชมของเธอทำให้เขารู้สึกร้อนที่ใบหน้าอย่างบอกไม่ถูก “ผมมีเื่อยากจะรบกวนถามอาจารย์หน่อยครับ” เขาตัดสินใจเข้าประเด็น ก่อนที่ความกล้าจะหายไป
“ด้วยความยินดีค่ะ ถ้าเป็เื่สมุนไพรหรือตำราโบราณ ฉันน่าจะพอให้ความกระจ่างได้”กงเฉินจื่อสบตาเธอตรงๆ รวบรวมความสงสัยทั้งหมดที่เกิดขึ้นั้แ่เช้าตรู่ ก่อนจะเอ่ยถามคำถามที่ทำให้บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปทันที
“มันมีสมุนไพร... หรือตำรับยาโบราณชนิดไหน ที่สามารถทำให้คนเรา... มองเห็นภาพของใครบางคนในอดีตได้บ้างไหมครับ.!”