ซูอิ่งถูกส่งตัวเข้าวังหลวงั้แ่อายุสิบขวบ จากสาวใช้ระดับต่ำในเรือนซักล้างจนเป็สาวใช้ในตำหนักเยถิง จนกระทั่งได้มาอยู่ในตำหนักเฟิ่งชัยและกลายเป็นางกำนัลส่วนตัวของเหยียนอู๋อวี้
หลายปีที่ผ่านมานางไม่เคยคิดจะสู้รบตบมือกับผู้ใดก่อน ทว่าสองมือแห่งโชคชะตาที่มองไม่เห็นได้ผลักให้นางก้าวมาถึงจุดนี้ทีละก้าว หากเปรียบเปรยสามารถเอ่ยออกมาได้เพียงไม่กี่ประโยค กระนั้นการสู้รบตบมือทั้งทางตรงและทางอ้อมที่นางประสบมาใน่เวลาที่ผ่านมานั้น หนักหนาเกินคำบรรยาย
ซูอิ่งยังจำครั้งแรกที่เห็นพี่สาวนางตายต่อหน้าต่อตา ความหวาดกลัวครอบงำนางตลอดหนึ่งเดือนเต็ม ต่อมาพี่สาวน้องสาวที่อยู่รอบๆ ตัวนางต่างทำทุกวิถีทางเพื่อเหยียบย่ำนางขึ้นไปสู่ตำแหน่งที่สูงกว่าที่เป็อยู่ ท้ายที่สุดยังเป็เพราะผิดพลาดเล็กน้อย บ้างก็ถูกโบยจนตาย บ้างก็จมน้ำตาย บ้างก็หายสาบสูญ
ชีวิตในวังหลวงขนาดสี่เหลี่ยมแห่งนี้ก็เปรียบเสมือนดั่งมดปลวก มดตัวเก่าหายไป มดตัวใหม่ก็เข้ามาแทนที่ เ้านายเบื้องบนไม่มีทางเห็น และยิ่งไม่เคยคิดจะทะนุถนอมเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม ชีวิตของตนเองย่อมต้องหวงแหนเป็ธรรมดา
วันนี้นางยืนหยัดเพื่อปกป้องนายหญิงของตนเอง ส่วนใหญ่เป็เพราะนาง้าปกป้องอนาคตของนางเองเท่านั้น หากเหยียนอู๋อวี้ถูกทุบตีจนตายจริงๆ ทุกคนในตำหนักเฟิ่งชัยมิอาจรอดพ้นจากความตายอย่างแน่นอน
นางเชื่อว่าเหยียนอู๋อวี้ถูกใส่ร้าย ถึงเป็เช่นนั้นก็ทำอันใดไม่ได้ ฝ่ายตรงข้ามมีตำแหน่งสูงกว่าและมีอำนาจมากกว่านายหญิงของนาง นางออกตัวมาช่วยเหลือครั้งนี้ เพียงเพราะความโปรดปรานจากซ่งอี้เฉินที่มีต่อเหยียนอู๋อวี้ นางเป็เพียงคนรับใช้ิัหยาบกร้าน ถูกทุบตีก็อาจอดทนเพื่อถ่วงเวลาได้บ้าง ทว่าเหยียนอู๋อวี้ต่างออกไป หากถูกไม้พลองทุบตีนางอาจจะตายจริงๆ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ แม้ว่านางจะไม่ได้รับความไว้วางใจจากเหยียนอู๋อวี้ ทว่าในสายตาของผู้อื่น นางถือว่าเป็คนสนิทของเหยียนอู๋อวี้
นางเคยเกิดความลังเลอยู่บ้าง ทว่าท้ายที่สุดยังคงเลือกที่จะออกมายืนหยัดเพื่อนายหญิงของตนเอง
นางเชื่อมั่นว่าเหยียนอู๋อวี้มองใจนางออก นางจึงไม่กล้าปิดบัง
เหยียนอู๋อวี้ถือฝาถ้วยชาไว้ระหว่างนิ้ว พลางค่อยๆ ปาดใบชาที่ลอยอยู่้า ก่อนจะเอ่ยถามไปโดยมิได้คิดอันใด “เหตุใดจึงเลือกข้า? เ้ามาจากตำหนักเยถิง เ้ายังมีเต๋อเฟยอีกคนหนึ่ง”
“ซูอิ่งเคยเป็เพียงสาวใช้ต่ำต้อยในตำหนักเยถิง หากไม่มาตำหนักเฟิ่งชัย เกรงว่าคงไม่มีใครรู้จักบ่าวเป็แน่เ้าค่ะ” ซูอิ่งเอ่ยพลางคุกเข่าลงอีกครั้ง “นายหญิงปฏิบัติต่อบ่าวอย่างดีมีเมตตา ดีกว่านายหญิงท่านอื่น บ่าวเชื่อว่านายหญิงเป็นายหญิงที่ดีเ้าค่ะ”
“ข้าเป็เพียงเป่าหลินขั้นหก แม้ว่ามีอำนาจดูแลตำหนักเป็ของตนเอง ทว่าเ้าก็คงมองออกว่ามีคนจำนวนมากคอยจับจ้องที่จะกลืนกินข้า สิ่งที่ข้าคอยพึ่งพาได้ก็มีเพียงความโปรดปรานจากฝ่าาเท่านั้น และความโปรดปรานนี้จะอยู่อีกนานเพียงใดไม่มีผู้ใดรู้”
ซูอิ่งคุกเขาก้มหน้าอยู่บนพื้น เล็บของนางจิกเข้าไปในร่องอิฐ นางรู้ดีว่าเหยียนอู๋อวี้กำลังรอให้นางแสดงท่าทีจึงรีบเอ่ยโดยไม่ลังเล “นายหญิง เื่อื่นบ่าวไม่สามารถรับประกันอันใดได้ ทว่าบ่าวยินดีมอบชีวิตนี้ให้กับนายหญิงเ้าค่ะ”
“ซูอิ่ง ข้าซาบซึ้งใจมากที่เ้าออกมาเพื่อปกป้องข้าในวันนี้ คิดไปเ้าก็ควรรู้เช่นกันว่าแม้ข้าจะรู้สึกซาบซึ้งมากเพียงใด ทว่าจะให้เชื่อใจเพราะเื่นี้นั้นยังไม่ได้” เหยียนอู๋อวี้ปิดฝาถ้วยชาพลางเงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “เ้าคงเข้าใจความหมายของข้า”
“บ่าวเข้าใจเ้าค่ะ ที่นายหญิง้าในยามนี้คือคนที่มีประโยชน์” ซูอิ่งค่อยๆ สูดหายใจเข้าลึกหลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ “บ่าวจะทำให้นายหญิงได้เห็นความภักดีของบ่าวเ้าค่ะ”
ซูอิ่งไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง ไม่ต้องเอ่ยถึงแววตาที่สั่นไหวเล็กน้อยของตนเองที่เป็เงาสะท้อนในดวงตาของเหยียนอู๋อวี้ ในอดีตนางถูกคนอื่นผลักไส ครั้งนี้เป็ครั้งแรกในชีวิตของนางที่ได้เลือกเอง
ป้าโฉ่วก้าวไปประคองร่างนาง ซูอิ่งยืนขึ้นพลางก้มศีรษะเอ่ยว่า “ไข่มุกของนายหญิงเข้าไปอยู่ในตำหนักรับรองขององค์หญิงใหญ่โดยไม่มีสาเหตุ ต้องมีสายแอบเข้ามาในตำหนักเฟิ่งชัยอย่างแน่นอนเ้าค่ะ ซูอิ่งคิดว่ามีบางอย่างต้องรีบแก้ไข คงจะดีหากหาตัวสายลับที่แฝงอยู่ในตำหนักเฟิ่งชัยได้เ้าค่ะ”
เมื่อเหยียนอู๋อวี้เห็นท่าทีของนาง แววตาพลันเผยรอยยิ้มที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ทว่าด้วยคำเตือนนี้ ซูอิ่งมองเื่นี้ออก ซึ่งนั่นหมายความว่าว่านางเป็คนฉลาด
ทว่าก็ใช่ สามารถมายืนอยู่เบื้องหน้านางได้ท่ามกลางตัวเลือกมากมาย ย่อมต้องไม่ใช่คนโง่เขลาเป็แน่ พฤติกรรมที่ผ่านมาก็เพียงแค่ถ่อมตัวโดยใช้ความงุ่มง่ามปกปิดความเฉลียวฉลาด
นางไม่รู้ว่าซูอิ่งมีความสามารถมากเพียงใด ทว่าในเมื่อนางได้แสดงความภักดีออกมาแล้ว การทดสอบนางอีกสักครั้งคงไม่มากเกินไป เมื่อเหยียนอู๋อวี้คิดถึงเื่นี้จึงกล่าวว่า “ตำหนักเฟิ่งชัยควรได้รับการจัดระเบียบใหม่มานานแล้ว ทุกที่ล้วนมีสายของผู้อื่นแฝงตัวเข้ามาเหมือนแหอวน ป้าโฉ่วเองก็เข้าวังหลวงมาได้ไม่นาน เื่นี้คิดว่าเ้าสามารถทำแทนได้”
ซูอิ่งรีบพยักหน้าทันทีและกล่าวว่า “บ่าวทำได้เ้าค่ะ ภายในครึ่งเดือน บ่าวจะขุดคนพวกนี้ออกมาให้ได้เ้าค่ะ”
เหยียนอู๋อวี้ยกถ้วยขึ้นจิบชาพลางเอ่ยว่า “ตรวจสอบเงียบๆ อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น”
ซูอิ่งเหลือบมองด้วยความสงสัย หลังลังเลครู่หนึ่งจึงเอ่ยถามว่า “หากไม่ลากตัวออกมา เกิดอันใดขึ้นกับนายหญิงจะทำอย่างไร......”
“ลากตัวออกมา พวกเขาก็ส่งคนใหม่เข้ามา เช่นนั้นก็ต้องสืบหากันอีก ยุ่งยาก” เหยียนอู๋อวี้เอ่ยมาถึงตรงนี้ นางจึงมองใบหน้าของซูอิ่งอีกครั้ง “หลังจากเ้าสืบจนรู้ว่าเป็ผู้ใดแล้ว ก็ให้จับตาดูการเคลื่อนไหวของพวกเขา”
ซูอิ่งเข้าใจทันทีและพยักหน้าเห็นด้วย
ซูอิ่งได้รับคำสั่งให้ไปจัดสำรับพระกระยาหารให้กับซ่งอี้เฉินคืนนี้ เหลือเพียงนายหญิงกับป้าโฉ่วอยู่ในห้องเพียงสองคน ป้าโฉ่วกระซิบเสียงเบา “คุณหนู ท่านให้ซูอิ่งทำเื่สำคัญเช่นนี้ เผื่อว่านางจะ......”
เหยียนอู๋อวี้เอ่ยเสียงราบเรียบ “เผื่อว่านางจะเป็สายที่ผู้อื่นส่งเข้ามาแฝงตัวด้วย พวกเราก็จะตกหลุมพรางใช่หรือไม่?”
ป้าโฉ่วเอ่ยตอบเห็นด้วยเสียงต่ำ เหยียนอู๋อวี้กล่าวเสริม “ในเมื่อซูอิ่ง้าอยู่ข้างพวกเรา นางจึงต้องแสดงความสามารถที่แท้จริงของนางเพื่อให้ข้ามั่นใจที่จะให้นางมาอยู่ฝ่ายเรา ทำนองเดียวกัน หากมีคนคอยชักใยอยู่เื้ันางจริง เพื่อที่จะทำให้ข้าเชื่อใจ ต้องแสดงรายชื่อพวกนี้เช่นเดียวกัน พวกเขาไม่รู้ว่าข้าสืบพบมากเพียงใด หากพวกเขา้าให้ข้าเชื่อใจ พวกเขาก็ต้องบอกความจริงเท่านั้น”
ทันใดนั้นป้าโฉ่วพลันเข้าใจทันที “ที่แท้ก็เป็เช่นนี้ บ่าวโง่เขลาเองเ้าค่ะ”
เหยียนอู๋อวี้แย้มยิ้มพลางเอ่ยว่า “เ้าอยู่หุบเขาหลิงอีเป็เวลานาน มองเื่เหล่านี้ไม่ออกย่อมเป็เื่ปกติ”
ป้าโฉ่วถอนหายใจพลางเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “นอกจากเื่พวกนี้ บ่าวยังช่วยเื่อื่นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย บ่าวช่างไร้ประโยชน์เสียจริงเ้าค่ะ”
เมื่อเหยียนอู๋อวี้ได้ยินคำพูดนี้ นางพลันหุบยิ้มทันทีพลางจับมือป้าโฉ่วแน่นพร้อมเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เ้าเป็คนเดียวที่ข้าไว้วางใจที่สุดในวังหลวงแห่งนี้ และเพราะเ้าข้าจึงมีชีวิตอยู่ต่อโดยไม่ยากลำบากมากนัก”
ป้าโฉ่วรู้สึกประทับใจอย่างยิ่ง “คุณหนู......”
เหยียนอู๋อวี้วางมือแล้วกล่าวเสริมอีกว่า “ต่อไปป้าโฉ่วอย่าได้เอ่ยคำพูดเช่นนั้นอีก ข้าไม่อยากได้ยิน”
ป้าโฉ่วตอบรับเสียงต่ำ ภายในใจนางไม่อาจสงบลงได้อยู่เป็เวลานาน
ครู่หนึ่ง เหยียนอู๋อวี้จึงเอ่ยถามอีกครั้ง “วันนี้เ้ากลับมาที่ตำหนักเพื่อเอาไข่มุก พบสิ่งใดผิดสังเกตบ้างหรือไม่?”
ป้าโฉ่วคิดอย่างละเอียดแล้วจึงตอบว่า “บ่าวตรวจสอบตู้ทุกวัน เมื่อคืนก่อนเข้านอนก็ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ วันนี้ขณะที่กลับมาเอาไข่มุกพบว่าแม่กุญแจไม่ได้หันไปในทิศทางที่ควรจะเป็เ้าค่ะ”
เหยียนอู๋อวี้ยกยิ้มเ็าพลางกล่าวว่า “ั้แ่เมื่อคืนจนถึงเที่ยงวันนี้ ฮวารั่วซีมีเวลามากพอที่จะหาเื่ใส่ร้ายข้า สายของนางทำงานว่องไวดียิ่งนัก”
แม้ว่าป้าโฉ่วจะสงสัยฮวารั่วซี ทว่านางไม่มีหลักฐาน เมื่อเห็นเหยียนอู๋อวี้มั่นใจถึงเพียงนี้จึงเอ่ยถามว่า “คุณหนูรู้ได้อย่างไร?”
“ข้าแสดงให้เ้าดูก็จะรู้เอง” เหยียนอู๋อวี้คิดถึงสร้อยข้อมือแล้วพลันแย้มยิ้ม “เพื่อให้ผู้คนเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้นว่าสิ่งของนั้นเป็ของแทนใจ จึงพยายามเสียเวลาสร้างมันขึ้นมา ทว่านางกลับลืมไปเื่หนึ่ง นางกลับใช้รูปแบบที่มีเฉพาะของชาวเป่ยอู”
ยามนั้นแม่นมซูกับไทเฮามองออกแล้ว ทว่าพวกเขาไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อกล่าวใส่ร้ายนาง เื่จริงเช่นนี้ปกปิดได้มิดชิดนัก คงคิดไปว่าผู้อื่นมองไม่เห็นกระมัง
ป้าโฉ่วเอ่ยอย่างมีความสุข “โชคดีที่องค์หญิงใหญ่มีนิสัยชอบสิ่งของของผู้อื่น และโปรดปรานทูตซวี่หรงยิ่งนัก องครักษ์จึงได้ค้นเจอสมบัติของนางสนมหลายต่อหลายชิ้น ไม่เช่นนั้นเราจะผ่านเคราะห์ครั้งนี้มาได้อย่างไร?”
เมื่อเหยียนอู๋อวี้ได้ยินคำพูดนี้ นางพลันเผยรอยยิ้มบนใบหน้าพลางเอ่ยกระซิบว่า “เ้าคิดหรือว่าองค์หญิงใหญ่สนใจสิ่งของเหล่านี้จริง?”
ป้าโฉ่วใและถามกลับด้วยความสงสัย “หรือว่ามีความลับอื่นอีก?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้