บทที่ 45 อันดับที่หนึ่ง
“นี่ไม่ใช่ดาวหายนะของตระกูลฉู่หรอกหรือ? ไม่คิดว่าเขาจะตามมาทันในวินาทีสุดท้าย”
“เมื่อครู่ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่? เขากำลังอุ้มคนไว้ในอ้อมแขนนะ เหตุใดความเร็วจึงคล้ายเสือเลี่ยเป้า[1] มาถึงเวทีประลองในพริบตาได้?”
“ทำแบบนี้ได้อย่างไร! ดาวหายนะกำลังกอดเทพธิดาของข้าอยู่จริงๆ หรือ? และทั้งคู่ก็อยู่ในสภาพเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งเช่นนั้น หรือว่า...เขาลบหลู่มู่หรงซินไปแล้ว!?”
ใน่หนึ่ง มีเสียงพูดคุยมากมายดังจ้อกแจ้กในลานประลองขนาดใหญ่ และบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ของการรอคอยก็จบลง
ในเวลานี้ใบหน้าของปรมาจารย์ทุกคนไม่น่าดูเล็กน้อย
ประการแรก การกลับมาของมู่หรงซินจะทำให้การแข่งขันในรอบที่สองของการประลองเข้มข้นขึ้น
ประการที่สอง การปรากฏตัวอย่างแข็งแกร่งของฉู่อวิ๋นบนลานประลอง ทำให้พวกเขาต้องเคร่งเครียดและครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
เพราะระหว่างทางเข้าลานและเวทีประลองห่างกันอย่างน้อยหนึ่งร้อยหมี่ แต่แม้ว่าเขาจะอุ้มคนไว้ในอ้อมแขน ฉู่อวิ๋นก็ยังสามารถมาถึงได้ภายในไม่กี่วินาที ด้วยสายตาของผู้นำตระกูล พวกเขาจึงเห็นว่าสิ่งนี้ไม่ธรรมดา
นักรบิญญาเศษเดนจะมีความคล่องตัวขนาดนี้ได้อย่างไร?
แน่นอนว่าหลังจากที่ทุกคนตกตะลึง ต่างก็ตกอยู่ในความสับสน อยากรู้อยากเห็น และแม้กระทั่งอิจฉากับการเปลือยเปล่าของทั้งคู่
หลังจากที่ลานประลองมีเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าของมู่หรงเจี๋ยก็ค่อนข้างมืดมน เขาจ้องมองฉู่อวิ๋นแล้วกลับมามองมู่หรงซินอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีดเซียวเล็กน้อย เขาก็โกรธขึ้นมาทันที
“เ้าคนสารเลว! เ้า...เ้าคนนี้ เ้าทำอะไรกับลูกสาวข้า!” มู่หรงเจี๋ยเคลื่อนพลังปราณทันที และตะคอกด้วยเสียงทุ้มลึก รังสีของชายที่แข็งแกร่งในขั้นมหาสมุทรหลั่งไหลออกมาจนทุกคนต่างก็ตกตะลึงและเงียบไป
ทันใดนั้น สถานที่ก็เงียบลงอีกครั้ง และทุกคนก็เบนความสนใจไปที่เวทีลานประลอง
ฉู่อวิ๋นยืนอย่างภาคภูมิใจอยู่ตรงนั้น ร่างกายของเขาตั้งตรงโดยไม่เผยความกลัวบนใบหน้า และพูดอย่างสงบ "ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย ข้าแค่พบกับคุณหนูมู่หรงระหว่างการล่าสัตว์ปีศาจและกลับมาพร้อมนางพอดี"
“ไร้สาระ! เช่นนั้นก็อธิบายมาเสีย เหตุใดซินเอ๋อร์ถึงอยู่ในชุดที่ขาดรุ่งริ่งและยุ่งเหยิงเช่นนั้น?” จู่ๆ มู่หรงเจี๋ยก็ลุกขึ้นยืนและก้าวไปข้างหน้าด้วยเสียงอันดังที่ดึงดูดผู้คน
เมื่อมู่หรงซินเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี จึงผละตัวออกจากอ้อมแขนของฉู่อวิ๋น และรีบพูดอย่างลนลาน "ท่านพ่อ ซินเอ๋อร์ไม่ได้รับาเ็อันใด เ้าตัว...อะแฮ่ม คุณชายฉู่พูดความจริงเ้าค่ะ แต่เื่มันยาว เรามาจัดการเื่การนับแต้มกันก่อนดีกว่าเ้าค่ะ”
“จริงหรือ? ซินเอ๋อร์ เ้า…” ใบหน้าของมู่หรงเจี๋ยเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม แต่เมื่อเห็นว่ามู่หรงซินดูเหมือนจะไม่ได้โกหก เขาจึงครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วพูดว่า "ก็ได้ ในเมื่อซินเอ๋อร์เอ่ยปากเช่นนี้แล้ว พ่อก็ไม่ไต่ถามต่อ เตรียมตัวประลองต่อเถอะ!”
ต่อมา ผู้ตัดสินนำแต้มศิลาทั้งหมดของผู้เข้าประลองในตอนนี้ไปตัดสินคะแนน
ใน่เวลานี้ มู่หรงเจี๋ยสั่งให้คนรีบไปในเมืองเพื่อซื้อเสื้อผ้าใหม่สองชุดให้ฉู่อวิ๋นและมู่หรงซินใส่
อย่างไรแล้ว ที่ลานประลองก็มีคนอยู่มาก เขาไม่้าให้ใครเห็นองค์เอวเรียวเล็กของบุตรี และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการวิพากษ์วิจารณ์
แต่เมื่อฉู่อวิ๋นเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับสู่ฐานะของผู้เข้าร่วมการประลอง สายตาที่เ็า อิจฉาและเกลียดชังนับไม่ถ้วนก็มองมาที่เขาจากสี่ทิศแปดทาง[2]
หนึ่งในนั้นคือหลินหู่ ผู้าุโหก และกลุ่มนักรบหนุ่มที่ชื่นชอบมู่หรงซิน
“ดูเหมือนว่ารูปลักษณ์เมื่อสักครู่นี้จะดูสะดุดตาเกินไป ถ้ารู้เร็วกว่านี้ ข้าคงไม่ะโลงไปกลางเวทีประลองหรอก” ฉู่อวิ๋นคิดและยิ้มอย่างสงบเสงี่ยม แต่เขาก็ไม่แปลกใจอันใด ก่อนจะหลับตาและรอให้การประลองดำเนินต่อไป
ครู่ต่อมา ด้วยเสียงกลองที่ดังสนั่น ผู้เฒ่าที่น่าเคารพก็ค่อยๆ เดินมายืนอยู่กลางลานประลอง เตรียมอ่านผลการประลองรอบแรก
ในเวลานี้ ลานประลองเงียบมาก นักรบทุกคนต่างมุ่งความสนใจไปที่กระดาษในมือของท่านผู้เฒ่า ด้วยความอยากรู้อันดับของตนเอง
ชายชรามองไปรอบๆ ผู้ชม กระแอมในลำคอ แล้วประกาศด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม "การประลองยุทธ์เซี่ยหยางในรอบแรก มีผู้เข้าร่วมทั้งหมดสองร้อยห้าสิบคน โดยมียี่สิบสี่คนไม่ได้กลับมา และหนึ่งร้อยสามสิบคนถอนตัวในการล่าสัตว์ปีศาจ และมีนักรบทั้งหมดเก้าสิบหกคนที่ประสบความสำเร็จในการล่าแต้มศิลาหยก"
“จากนี้ จะประกาศรายชื่อนักรบที่สามารถผ่านเข้าสู่รอบที่สองได้…”
เมื่อได้ยินดังนั้น นักรบที่ค่อนข้างมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนก็เริ่มมีสมาธิมากขึ้น
ผู้นำตระกูลก็ตั้งใจฟังด้วยเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของตระกูล
“อันดับที่สามสิบสอง จวนเ้าเมือง มู่หรงเหิง หนึ่งร้อยสิบสองแต้ม”
“สามสิบเอ็ด ตระกูลไป๋ ไป๋ถัง หนึ่งร้อยห้าสิบห้าแต้ม”
ทันทีที่มีการประกาศรายชื่อผู้เข้ารอบ ฉู่อวิ๋นก็สะดุ้งเล็กน้อยและคิดในใจ "หือ? ไม่คิดว่ามู่หรงเหิงจะผ่านเข้ารอบด้วย ผู้คุ้มกันสองคนนั้นน่าจะพบเขาในวินาทีสุดท้ายแล้วไปแย่งชิงแต้มศิลาของคนอื่นมาให้แทน”
ขณะที่คิด ฉู่อวิ๋นก็เหลือบมองอย่างสบายๆ และมองเห็นมู่หรงเหิงโดยไม่ได้ตั้งใจ มู่หรงเหิงเองก็บังเอิญสบตาเขา ในทันใดนั้น มู่หรงเหิงก็สั่นไปทั้งตัวและก้มหน้าลงทันทีด้วยความกลัว
“เ้าหนุ่มนั่นใกลัวจะแย่แล้ว” ฉู่อวิ๋นเบือนสายตากลับมาและฟังชายชราอ่านผลต่อ
“อันดับที่สิบสาม จวนเ้าเมือง มู่หรงซิน หนึ่งพันหนึ่งร้อยห้าแต้ม…” เมื่อมาถึงจุดนี้ ชายชราก็หยุดชั่วคราวและมองไปทางมู่หรงเจี๋ย
ในเวลาเดียวกัน ทุกคนก็ค่อนข้างประหลาดใจ และเกิดความโกลาหลขึ้น
ในการประลองเซี่ยหยางครั้งที่แล้ว มู่หรงซินอาศัยทักษะการยิงธนูอันประณีตของนางเข้าสามอันดับแรกในรอบแรก ตอนนี้การฝึกฝนของนางได้ก้าวหน้าไปแล้ว แต่อันดับกลับลดลง ไม่สามารถเข้าสู่สิบอันดับแรกได้ด้วยซ้ำ นั่นทำให้ทุกคนรู้สึกเหลือจะเชื่อเล็กน้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมู่หรงเจี๋ย ใบหน้าของเขาดูซีดเซียวไปในทันที คิ้วขมวดมุ่น ไม่กล้าสบตากับสายตาเหยียดหยามเ่าั้
แม้แต่มู่หรงซินเองก็พยักหน้าเล็กน้อย ใบหน้าของนางร้อนผ่าว รู้สึกละอายใจเป็อย่างมาก
แน่นอนว่ามีเพียงฉู่อวิ๋นเท่านั้นที่รู้ว่าทำไมคะแนนของนางถึงผิดปกติ
“ถ้าข้าสามารถช่วยนางได้…” ฉู่อวิ๋นเหลือบมองแผ่นหลังที่สวยงามของมู่หรงซิน ความคิดบางอย่างแล่นอยู่ในใจ
หลังจากนั้นไม่นาน ชายชราก็เริ่มประกาศการจัดอันดับสิบอันดับแรก
“อันดับที่สิบ ตระกูลฉู่ ฉู่หรงเย่า หนึ่งพันสองร้อยสามสิบสามแต้ม”
“อันดับที่ห้า ตระกูลหลี่ หลี่เจ๋อ สองพันสามร้อยแปดสิบเอ็ดแต้ม”
“อันดับที่สี่ ตระกูลหวัง หวังอวี่ สองพันแปดร้อยเก้าสิบแต้ม”
ในที่สุดชายชราก็กำลังจะประกาศสามอันดับแรก เขาหายใจเข้า แล้วปรับสุ้มเสียงให้หนักขึ้น
“อันดับสาม ตระกูลซือหม่า ซือหม่าเค่อ สามพันเจ็ดร้อยห้าสิบหกแต้ม!”
ทันทีที่พูดจบก็มีเสียงโห่ร้องดังมาจากที่ไหนสักแห่งของลานประลอง นั่นคือค่ายของตระกูลซือหม่า เมื่อได้ยินว่าลูกชายของตัวเองเข้าสามอันดับแรกก็ทำให้พวกเขามีหน้ามีตามากขึ้น
และซือหม่าเค่อที่อยู่ในกลุ่มผู้ชมก็ยิ้มอย่างพอใจ ยืดหน้าอกตั้งตรง และมองดูมู่หรงซินด้วยความชื่นชมเล็กน้อย
หลังจากที่สถานที่เงียบลง ชายชรายังคงประกาศต่อไป "อันดับที่สอง..."
ลานทั้งลานเงียบสงัด
แต่ในเวลานี้ คำพูดของชายชราหยุดลง เขาหรี่ตา เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย และสีหน้าของเขาก็แปลกไป ทำให้หัวใจของทุกคนเต้นระรัวขึ้นอีกครั้ง
จากนั้น เขาหายใจเข้าลึกๆ และประกาศเสียงดังฟังชัด "อันดับที่สอง! ตระกูลฉู่ ฉู่เฟย หกพันหนึ่งร้อยแต้ม!"
"ตูม!"
ราวกับมีะเิถูกปล่อยลงกลางลาน ศีรษะของทุกคนคล้ายถูกกระแทกอย่างแรงจนรู้สึกวิงเวียน
“ว้าว! ฉู่เฟยได้หกพันหนึ่งร้อยแต้มจริงหรือ? นี่สูงกว่าอันดับที่สามมากเลยนะ!”
“ความสามารถนี้ก็สมควรที่จะเป็หนึ่งในสองคู่งามของไป๋หยาง นางคืออนาคตของตระกูลฉู่!”
“์ หกพันหนึ่งร้อยแต้ม สูงกว่าแต้มสูงสุดครั้งก่อนเสียอีก เหลือเชื่อจริงๆ”
ทุกคนต่างตกตะลึงและตื่นเต้นมาก ต้องใช้เวลานานกว่าจะสงบสติอารมณ์ได้
ทว่าพวกเขาก็ค่อยๆ ค้นพบความจริง
ไม่ผิด แต้มของฉู่เฟยนั้นสูงมาก ทำลายสถิติที่เคยมีในประวัติศาสตร์
แต่นางไม่ใช่อันดับหนึ่ง
ในขณะนี้ ทุกคนตกตะลึงและหันความสนใจไปที่ฉู่เฟย
ใบหน้าของนางยามนี้ดูไร้ซึ่งความรู้สึก แต่ดวงตากลับฉายแววเ็าเกินหยั่ง ร่างกายอันบอบบางสั่นเล็กน้อย มืออันละเอียดอ่อนจับมีดโค้งที่เอวไว้แน่น นิ้วเรียวหยกกำแน่นจนซีด
ใครๆ เห็นต่างก็รู้ว่าฉู่เฟยในตอนนี้เต็มไปด้วยความโกรธ
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สามารถควบคุมได้เล็กน้อย ชายชราก็ะโเสียงดังและประกาศอย่างสุดเสียง "อันดับหนึ่ง!"
หลังจากได้ยินสามคำนี้ ทุกคนก็กลับมามีสติ แต่พวกเขาทนนั่งนิ่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้อีกต่อไป มีเพียงผู้าุโตระกูลและผู้นำตระกูลบางคนเท่านั้นที่ยังคงสงบสติอารมณ์ได้ แต่สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นด้วยท่าทางที่คาดหวัง
เสียงของชายชราดังขึ้นราวกับฟ้าร้องในวสันตฤดู
“อันดับที่หนึ่ง! ตระกูลฉู่ ฉู่อวิ๋น คะแนน...หนึ่งหมื่นหนึ่งพันห้าร้อยแปดสิบหกแต้ม!”
หนึ่งหมื่นหนึ่งพันห้าร้อยแปดสิบหกแต้ม——
เสียงนี้ดังก้อง สะท้อนอยู่ในลานใหญ่เป็เวลานาน
ผู้คนนับไม่ถ้วนเบิกตากว้างจ้องมองไป อ้าปากค้าง ตกตะลึง ใบหน้าเต็มไปด้วยความใ
ยามนี้ ไม่มีใครส่งเสียง ราวกับว่าพวกเขาไม่เชื่อเื่นี้
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ทุกคนจะทันโต้ตอบ ชายชราก็หายใจเข้าลึกๆ อีกครั้งและประกาศเสียงดังต่อไป "นอกจากนี้ ฉู่อวิ๋นยังสามารถสังหารงูหลามคราม าาสัตว์ปีศาจระดับแปดของการประลองเซี่ยหยางในครั้งนี้ได้ ได้รับมาทั้งหมดหนึ่งหมื่นแต้ม ดังนั้น เขาจะได้รับรางวัลพิเศษด้วย!”
“วิ้ง——”
เมื่อได้ยินคำประกาศนี้ ทุกคนก็หายใจเข้าลึกๆ และในที่สุดก็กลับมามีสติอีกครั้ง
“อะไรนะ!? ข้าได้ยินผิดไปหรือเปล่า? ดาวหายนะนั่นเกิดมาพร้อมกับิญญายุทธ์พิการไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดเขาถึงได้ที่หนึ่ง?!”
“มากกว่าหนึ่งหมื่นแต้ม...นี่แสดงว่าเขาทำลายสถิติแล้วหรือ?”
“าาสัตว์ปีศาจ…ฉู่อวิ๋นได้ล่าาาสัตว์ปีศาจระดับแปดไปแล้วจริง ๆ! เขาอายุแค่สิบหกปี เขายังเป็มนุษย์อยู่หรือเปล่าน่ะ?”
“ฉู่เฟย...คงจะตามหลังเ้าดาวหายนะนั่น คาดไม่ถึงจริงๆ”
ทั่วทั้งลานประลองเกิดความปั่นป่วนอีกครั้ง เสียงดังสนั่น บทสนทนาไม่มีทีท่าจะสิ้นสุด
“เฮ้อ...พวกเรา...พวกเราทำผิดไปจริงๆ หรือ?” ผู้าุโบางคนในค่ายตระกูลฉู่แอบเสียใจ หากพวกเขาไม่ใส่ร้ายฉู่อวิ๋นว่าสังหารสมาชิกของตระกูลย่อย พวกเขาคงได้รับเกียรติยศในวันนี้
แต่บนโลกนี้ ไม่มียาแก้อาการเสียใจภายหลัง
แล้วฉู่อวิ๋นจะให้อภัยพวกเขาได้อย่างไร?
ยามนี้ ดวงตาใคร่รู้ อิจฉา และใ หลากหลายคู่นับไม่ถ้วนจ้องมองไปที่ฉู่อวิ๋นที่อยู่ล่างเวที ทำให้เขาเขินอายอยู่บ้าง
ส่วนมู่หรงซินซึ่งอยู่ไม่ไกลก็มองมาที่เขาแล้วแลบลิ้นออกมา มีความหมายว่า "เ้าอันธพาลตัวเหม็น ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเ้าไป แต่ครั้งหน้าไม่มีทางละเว้นเ้าแน่ ~"
แน่นอนว่า ภายในลานยังมีอีกหลายคนที่แสดงความโกรธเคืองและสายตาที่ดุร้ายออกมา เช่น ผู้าุโหก ฉู่เจิ้นหยวน และผู้นำตระกูลหลิน หลินหู่
ฉู่เฟยก็เช่นกัน
“แก...ไอ้ตัวบัดซบ!” ฉู่เฟยตะคอกด้วยความโกรธ สีหน้าเ็าอย่างยิ่ง จากนั้นนางก็ะโไปตรงหน้าฉู่อวิ๋น ดึงมีดยาวออกมาแล้วชี้ไปที่เขาทันที แสงสีครามพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า มองดูแล้วรับรู้ได้ถึงความอันตราย
ขณะเดียวกัน ฉู่อวิ๋นเองก็ไม่คิดถอย ดวงตาของเขาครึ้มลง รีบชักกระบี่ชื่อยวนออกมาแล้วชี้ไปที่ฉู่เฟย และพูดเสียงเรียบ "อะไร? ไม่ยอมหรือ??"
ทันใดนั้น กระบี่และมีดก็ชี้เข้าหากัน ทั้งคู่ประจันหน้าเข้าหากันอย่างไม่มีใครยอมใคร ทั้งยังมีกลิ่นอายสังหารอันแข็งแกร่งที่อบอวลไปทั่วพื้นที่
ทั่วทั้งลานประลองเกิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง
--------------------
[1] เสือเลี่ยเปา หมายถึง เสือชีตาร์
[2] สี่ทิศแปดทาง หมายถึง ทุกทิศทาง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้