บรรยากาศหน้าประตูเมืองมักจะมีอะไรพิเศษอยู่เสมอ
ไม่ว่าคนประเภทใดก็ล้วนมีให้ได้เห็นที่นี่
ดังนั้นเหล่าทหารเฝ้าประตูเมืองจึงรู้สึกจืดชืดไปเสียแล้ว
ทว่าเหล่าทหารหนุ่มก็ค่อนข้างภูมิใจกับตำแหน่งของตนอยู่ดี
เพราะพวกเขาคือหน้าตาของแคว้นเชิน
ชายหนุ่มหน้าตาหมดจด ประวัติครอบครัวที่ดีเยี่ยม การศึกษาก็ไม่เลว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็จุดขายของเหล่าทหารหนุ่ม
จึงมักจะมีเหล่าแม่นางน้อยออกไปเดินเล่นชมบรรยากาศนอกเมืองอยู่บ่อยๆ
ความจริงแล้วแม้นอกเมืองจะบรรยากาศไม่เลว แต่ก็ไม่มีทางจะดีไปกว่าในตัวเมือง เช่นนั้นจึงไม่จำเป็ต้องออกไปชมบรรยากาศนอกเมืองแต่อย่างใด
หรือจะเป็เหล่าแม่นางน้อยอีกจำนวนไม่น้อยที่ใช้เื่การถามไถ่ว่าควรจุดธูปที่วัดใดมาเป็ข้ออ้างในการสนทนากับเหล่าทหารหนุ่ม
ทว่าจะมีวัดใดที่ขึ้นชื่อเื่การจุดธูปขอพรไปกว่าวัดเทียนเหรินในเมืองหลวงอีกเล่า เกรงว่าแม่นางเ่าั้คงจะเพียงหาข้ออ้างจริงๆ
สายตาของเหล่าแม่นางน้อยก็เอาแต่มองเหล่าทหารหนุ่ม
ก็เพราะไม่แน่ว่าหนึ่งในบุรุษเหล่านี้อาจจะเป็สามีของพวกนางในอนาคตก็เป็ได้
ทั้งบางทีพวกนางก็อาจจะไปต้องตาพวกเขาสักคนก็เป็ได้เช่นกัน
เื่นี้ไม่ใช่เื่ที่เป็ไปไม่ได้ ทั้งยังเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ใครๆ ต่างก็ร่ำลือ
ทว่ายามที่นายทหารหนุ่มแหวกม่านรถม้าออก ก็แทบไม่คาดฝันว่าจะได้เห็นภาพเช่นนี้
ในตัวรถม้าอับแสงกว่าด้านนอกสักหน่อย
แต่ก็ยังเห็นว่าสตรีในรถเผยอยิ้มจางๆ อยู่ ใบหน้าอมชมพูงดงามดูมีเสน่ห์เย้ายวน
ยังมีเด็กชายน้อยนั่งอยู่ข้างกาย รองลงมาก็เป็สาวใช้ที่แต่งกายเรียบร้อยนั่งอยู่ใกล้กัน
สีหน้าของนางดูเอ้อระเหยลอยชาย
ทว่ากลับงดงามเสียจนน่าใจนมิอาจสรรหาคำไหนมาบรรยายได้ ความงามของนางราวกับสามารถเปล่งประกายออกมา
ชาวแคว้นเชินเทิดทูนความงาม เชื่อกันว่าคนที่รูปงาม คุณธรรมก็ย่อมงามพร้อมไม่ต่างกัน
กระทั่งบุรุษก็ยังทัดดอกไม้ หรือแต่งหน้าแต่งตัวเป็
เหล่าขุนนางที่ต้องเข้าประชุมยามเช้าในท้องพระโรง มีคนใดบ้างเล่าที่ไม่ได้ตื่นั้แ่เช้าตรู่เพื่อแต่งกายให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทาง
ทว่าแม่นางตรงหน้าคนนี้สามารถทำให้เหล่าทหารผู้มีรสนิยมสูง และอนาคตไกลเหล่านี้ล้วนแต่นิ่งใบ้ไร้คำพูดได้
ปกติแล้วพวกเขาก็ล้วนเห็นว่าสตรีงาม งามมาก หรืองามสุดๆ เพียงเท่านั้น
ทว่าสตรีเ่าั้เมื่อมาเทียบกับสตรีบนรถม้าคันนี้ กลับกลายเป็ดูดาษดื่นไปเสียหมด
ขณะนี้พวกเขาราวกับว่ากระทั่งใบหน้าของสตรีคนอื่นก็ล้วนลืมไปหมดสิ้นแล้ว ในสมองมีเพียงใบหน้างามที่กำลังยิ้มบางๆ ของแม่นางตรงหน้า
รอยยิ้มช่างเบาบางเหลือเกิน
ทว่าท่ามกลางเหล่าทหาร คนที่ตื่นใที่สุดเห็นจะเป็หลัวเซี่ยง
ถ้านับตามลำดับาุโแล้ว เขาคือลูกชายของท่านอาเล็กของหลัวอู๋เลี่ยง เท่ากับว่าเขากับนางมีความสัมพันธ์ฉันเครือญาติ
เขารู้ว่าเมื่อก่อนเขายังเคยมีลูกพี่ลูกน้องอีกคนหนึ่ง ทว่าต่อมาญาติผู้พี่คนนั้นก็หายตัวไป ว่ากันว่านางป่วยตายเสียแล้ว
ท่านแม่ของเขารังเกียจมารดาของพระสนมหรงเหลือเกิน ยามอยู่กันส่วนก็แอบสาปแช่งนาง มักจะพูดถึงเื่นี้ บางคราเขาเองก็ยังเคยได้ยิน ทว่ากลับไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าใด เข้าใจเพียงว่าญาติผู้นั้นของเขาป่วยตายไปแล้ว ว่ากันว่าการตายของนางเกี่ยวข้องกับการคัดเลือกนางในของพระสนมหรง
ทว่าแม่นางตรงหน้าคนนี้
ทำเอาเขาแทบจะไม่อยากเชื่อ
ทว่าในใจของเขาก็มีความรู้สึกว่าสตรีตรงหน้าเขาคนนี้น่าจะเป็ญาติผู้พี่ของเขาที่ล่วงลับไป เพราะยามที่ท่านแม่ของเขาต่อว่ามารดาของพระสนมหรง ก็มักจะเหยียดหยามพระสนมหรงว่าหากญาติผู้พี่ของเขายังอยู่ ไหนเลยจะได้มีพระสนมหรงเช่นในวันนี้
ญาติผู้พี่ของเขาชื่อเสียงเลื่องลือ ใครๆ ก็เรียกนางว่าหลัวชิงเฉิงผู้งามล่มเมือง
มีครอบครัวใดบ้างเล่า ที่ตั้งชื่อบุตรสาวของตนให้มีความหมายว่างามล่มเมือง
ทว่าเื่ที่ทำให้เขาทั้งใ และสงสัยกลับไม่ใช่คำพูดของท่านแม่ ทว่ากลับเป็ภาพวาดของนาง
ในห้องหนังสือของท่านอารองมีภาพวาดของญาติผู้พี่แขวนอยู่ หญิงสาวในภาพงดงามอย่างน่าอัศจรรย์
เขาเคยคิดว่าคงเป็เพราะความคิดถึง ท่านอารองจึงได้ให้คนวาดภาพนางให้ออกมางดงามถึงเพียงนั้น บนโลกนี้จะมีสตรีนางใดสะคราญโฉมได้ถึงเพียงนั้น ถึงขั้นที่กระทั่งฮองเฮาจ้าวที่เขาว่ากันว่างามล่มเมืองก็ยังไม่อาจสู้สตรีที่อยู่ในภาพได้
ทว่าบัดนี้สตรีตรงหน้าเขายังงามกว่าในภาพวาดที่เขาเคยเห็นเสียอีก กลับดูแล้วไม่ค่อยจะถูกต้องนัก ในภาพวาดญาติผู้พี่ย่อมจะต้องอยู่ในวัยแรกแย้มของสตรี ทว่าแม่นางตรงหน้าเขาก็ยังดูเหมือนจะยังเป็แม่นางน้อยอยู่เช่นกัน
หลัวเซี่ยงเพราะใจนเกิดเหตุ จึงได้แต่นิ่งอึ้งอยู่นานสองนาน
อารมณ์ของเหล่าทหารหนุ่มพลันซับซ้อน ทว่าการกระทำของพวกเขาก็ไม่ได้ทำให้ล่าช้าเท่าใด
ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็ทหารของแคว้นใหญ่ จึงจำต้องรักษาหน้าเอาไว้บ้าง
การตรวจค้นยังคงเป็ดังเดิม เพียงแต่ยามตรวจคนอื่นๆ ต่อ จิตใจของนายทหารเหล่านี้ก็ไม่ค่อยจะอยู่กับเนื้อกับตัวนัก
เมื่อมองขบวนของสตรีคนเมื่อครู่ค่อยๆ เคลื่อนเข้าเมืองไป ในใจของเหล่าชายหนุ่มก็พลันรู้สึกแปลกประหลาด
……
ไผ่เขียวขึ้นเรียงกันแน่นขนัดจนกลายเป็ป่าไผ่
เสียงอ่านตำราดังแว่วมา บรรยากาศช่างงดงามเกินบรรยาย
ต้นไผ่เป็ชั้นๆ มีทั้งสีแดง สีเหลือง และสีเขียว
เมื่อมีูเาอยู่ด้วยก็ดูราวกับภาพวาดภาพหนึ่ง
เมฆคล้อยลอยเป็เกลียวคลื่น
เพียงแต่บัดนี้เหล่าอาจารย์ต่างก็มีความคิดเป็ของตน จึงได้มารวมตัวเพื่อโต้เถียงกัน
ผู้ดูแลบัณฑิตเฉินเพิ่งจะได้รับจดหมาย จึงได้รู้ว่าเด็กๆ ตระกูลลู่ในที่สุดก็มาถึงกันแล้ว เมื่อรู้เช่นนี้ชายชราก็เบิกบานใจเหลือเกิน
นับว่า์มีตาแล้วที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ เด็กๆ ตระกูลลู่ยังมีชีวิตอยู่
เมื่อชายชราทราบเื่จึงได้รีบมาจัดการเื่การเข้าเรียนของเด็กๆ ให้เป็รูปธรรมทันที
ในตอนแรกที่เขามาเข้ารับตำแหน่ง เขาก็ยื่นเจตจำนงเช่นนี้ไว้ั้แ่แรก ตอนนั้นสำนักเชินยังเออออตกลงกับเขาด้วยความยินดี
ทว่ายามนี้เมื่อเขาจะมาดำเนินการจริง กลับปัดความรับผิดชอบไปต่างๆ นานา
“ใต้เท้าเฉิน มิใช่ว่าข้าไม่รักษาหน้าท่าน เพียงแต่สำนักเชินคือรากฐานของแคว้นเชิน เป็สำนักอันดับหนึ่งของแคว้นเชิน เด็กๆ ที่ท่านว่าก็ล้วนแต่มาจากทุ่งหญ้ารกร้างห่างไกล พื้นที่รกร้างเช่นนั้นทั้งล้าหลังทั้งอยู่แสนไกล หากให้เขาเข้าเรียนจริงๆ ย่อมไม่ยุติธรรมต่อบัณฑิตคนอื่นๆ”
ใต้เท้าเฉินได้ยินเช่นนั้นก็โกรธเสียจนหน้าเขียว คร้านจะต่อปากต่อคำกับคนเหล่านี้ต่อ
ยามเขาบอกว่าการศึกษาของเด็กๆ เหล่านี้ล้วนแต่เป็เลิศ พวกเขาก็ไม่ยอมเชื่อ แถมยังอ้างเื่คุณธรรมกับเื่ความอยุติธรรมได้เต็มปากเต็มคำ ทั้งยังกล่าวว่าไม่ใช่อยากจะไม่รักษาหน้าตาของเขา ทำอย่างกับว่าสำนักเชินแห่งนี้มีเด็กที่เข้าเรียนด้วยความสัมพันธ์ส่วนตัวน้อยเสียเมื่อไร
“ข้าไม่สน อย่างไรข้าก็จะเอารายชื่อสี่ชื่อนี้ พวกเด็กๆ จะต้องได้เข้าเรียนที่นี่ สำนักเชินแห่งนี้กลายเป็สถานที่ที่ไม่รักษาคำมั่นสัญญาั้แ่เมื่อใดกัน เช่นนี้สำนักเชินจะต่างอันใดกับสำนักด้านล่างูเาที่สอนขับรถม้า สอนทำครัวเล่า”
เมื่อเห็นว่าผู้ดูแลบัณฑิตเฉินที่นั่งอยู่ตรงหน้า ถึงกลับกล้าเอาสำนักเชินไปเปรียบเทียบกับสำนักธรรมดา
ไม่กี่ปีมานี้ก็ไม่รู้ว่าผู้ใดมันเป็คนออกความคิดเช่นนี้ เพราะค่าเล่าเรียนในแคว้นเชินนับวันมีแต่จะยิ่งสูงขึ้น ชาวบ้านธรรมดาไม่อาจเข้าเรียนได้ เหล่าพ่อค้าที่มีดีแค่เงินจึงได้เริ่มเปิดห้องเรียนเป็ของตัวเอง โดยมีทั้งการสอนขับรถม้าหรือสอนปรุงอาหารโดยเฉพาะ ห้องเรียนเหล่านี้ยังเป็ที่นิยมในหมู่คนทั่วไปด้วย
ยิ่งกว่านั้นยังมีคนไม่น้อยที่ส่งบุตรหลานของตนไปเข้าเรียน ด้วยหวังว่าบุตรหลานไปเล่าเรียนวิชาเหล่านี้แล้ว ก็จะสามารถใช้วิชาที่ได้มาหาเลี้ยงครอบครัวได้
มองคนที่ยิ่งโต้เถียงก็ยิ่งออกทะเล ท่านอาจารย์ใหญ่ของสำนักเชินก็เริ่มจะนั่งไม่ติด ต้องออกปากเพื่อยุติการโต้เถียงนี้
“ไม่ต้องรีบร้อน พวกท่านลองตรองดูว่าเอาเช่นนี้ดีหรือไม่ ทุกวันนี้คนที่เข้ามาเรียนในสำนักเชินนับวันก็ยิ่งมากขึ้น ฮ่องเต้ก็เพิ่งจะตอบรับเหล่าแคว้นเล็กๆ ให้มีรายชื่อได้ห้าคนเช่นกัน แหล่งที่มาของบัณฑิตก็ช่างหลากหลายนัก เช่นนี้ข้าจึงขอเสนอให้พวกเราสร้างชั้นเรียนเตรียมความพร้อมสักชั้นหนึ่ง ให้พวกเขาเรียนก่อนหนึ่งปี หากสามารถสอบเข้าสำนักเชินได้จึงจะค่อยส่งไปเรียนตามชั้นเรียนปกติ”
ใต้เท้าเฉินเมื่อได้ยินท่านอาจารย์ใหญ่ออกปาก ก็คิดตามเื่การสอบว่าอย่างไรเฉินโย่วและคนอื่นๆ ก็ย่อมต้องสอบเข้าได้อย่างแน่นอน เช่นนั้นจึงได้พยักหน้าตกลง
ใต้เท้าที่นั่งอยู่ด้านข้างจึงกล่าวเสริมขึ้น “ท่านอาจารย์ใหญ่อวี๋เป็ท่านอาจารย์ใหญ่ของสำนักเชิน ความคิดของท่านช่างเข้าท่ายิ่ง เพียงแต่หากตั้งชื่อว่าชั้นเรียนเตรียมความพร้อม เกรงว่าเหล่าบัณฑิตที่สามารถเข้าเรียนโดยละเว้นการสอบคงจะไม่สบายใจเท่าใดนัก ไม่สู้พวกเรารับพวกเขาให้เข้าเรียนในชั้นเรียนปกติ แล้วจึงค่อยจัดรายชื่อบัณฑิตในสำนักมาร่วมเรียนด้วย เช่นนี้จะเป็การปิดปากพวกเขาได้ด้วยเช่นกัน สำนักเชินมีแต่จะต้องพัฒนาไปข้างหน้า ไม่อาจสอนไปสอนมาแล้วมีแต่ถอยหลังลงคลองได้”
เช่นนี้เหล่าบัณฑิตที่จะจัดให้เข้าเรียนในชั้นเรียนเตรียมความพร้อม จึงได้เปลี่ยนมาเป็เข้าเรียนในชั้นเรียนปกติ
ประจวบเหมาะกับเหล่านักเรียนที่เื้ัครอบครัวธรรมดาช่างขวางหูขวางตานัก หรือจะเป็เหล่าบัณฑิตที่ไม่รู้จักเอาอกเอาใจอาจารย์ก็ขัดหูขัดตาเช่นกัน เมื่อเป็เช่นนี้ก็จับเด็กเหล่านี้มาโยนไว้ในชั้นเรียนนี้ จะได้เลิกฉุดรั้งตำแหน่งของบัณฑิตคนอื่นๆ เสียที
ใต้เท้าเฉินก็คร้านจะใส่ใจกับเื่คดๆ งอๆ เช่นนี้ เมื่อเป้าหมายของเขาสำเร็จแล้วก็สะบัดชายเสื้อจากไปทันที
รอให้เ้าพวกเด็กตระกูลลู่มาถึงก่อนเถิด ไม่ว่าการสอบอันใดก็ไม่มีทางหยุดยั้งเด็กๆ เหล่านี้ได้แน่!!
