“‘กระบวนท่ากระดูกพยัคฆ์’ มีทั้งหมดแปดท่า เป็วิชาที่เหมาะกับการฝึกกระดูกมากที่สุดในบรรดากระบวนท่าทั้งแปด ฝึกกระดูกไม่เหมือนฝึกหนังหรือกล้ามเนื้อ ต้องมีใจที่มั่นคงแน่วแน่เท่านั้น เ้าจงดูให้ดี...”
ใต้แสงอาทิตย์ ร่างของอาจารย์เวินหว่านอุดมด้วยมัดกล้ามปูดโปนขึ้นมา แสดงท่วงท่าทีละอย่างๆ เสียงคำรามแห่งพยัคฆ์ดังออกมาบางเบา
นอกจากกระบวนยุทธ์ทั้งแปดแล้ว เขายังถ่ายทอดวิชาพิเศษแก่เ่ิูซึ่งเหมาะกับการฝึกฝนเป็อย่างยิ่ง ‘กระบวนท่ากระดูกพยัคฆ์’
สิ่งที่เรียกว่าปณิธานแน่วแน่นั้น เหมือนกันกับเ่ิูผู้ฝึกฝนวิชาหายใจไร้ชื่อมาแต่ก่อน ต้องใช้สมาธิควบคุมลมหายใจมาฝึกฝนเช่นเดียวกัน
“ที่แท้เช่นนี้ก็เรียกว่าปณิธานแรงกล้า...เป็อย่างนี้ไปแล้ว แสดงว่าวิชาฝึกลมหายใจที่ข้าทำมาก่อน เป็วิชาคุมใจเองหรือนี่?”
เด็กหนุ่มคะเนเงียบๆ ในใจ
ทว่าหากว่ากันตามสัตย์จริงแล้ว วิชาฝึกจิตก็ต้องใช้ท่าทางควบคู่กันไปด้วย สองสิ่งหลอมรวม ถึงจักสำแดงพลังอำนาจมหาศาลออกมาได้ ไฉนในวัยเยาว์บิดาถึงไม่ถ่ายทอดกระบวนท่าที่ต้องใช้ควบคู่กันให้เขาเล่า?
ความคิดเช่นนี้แล่นแวบขึ้นมาในหัว
ทว่าเ่ิูไม่ได้คิดมาก เขายังคงทุ่มเทใจกับการฝึกฝนเหมือนเดิม
กระบวนท่ากระดูกพยัคฆ์ ลึกซึ้งยิ่งกว่าอสรพิษและหมีโอบนัก เด็กหนุ่มฝึกอยู่วันหนึ่งเต็มๆ ถึงจู่โจมโดยมีเสียงแห่งพยัคฆ์คำรามเป็ระลอกประกอบได้
อย่างที่ล่วงรู้กัน เพียงเท่านี้ก็มากพอให้อาจารย์เวินตื่นตระหนกได้แล้ว
ทุกประสบการณ์ ทุกความทรงจำที่เขามีมา อัจฉริยะเก่งกล้าที่สุดในสำนักกวางขาวรุ่นผ่านๆ มา จะกระทำกระบวนท่านี้ได้ยังต้องใช้เวลาถึงครึ่งเดือนเต็ม
เวลาหมุนเวียนไปอย่างว่องไว โอบเอาบรรยากาศฉาบไล้ด้วยเหงื่อไคลหยาดหยด
พริบตาก็ล่วงเลยมาสี่วัน
เ่ิูสำเร็จกระบวนท่ากระดูกพยัคฆ์ถ่องแท้ถึงขั้นปรมาจารย์
ยามวาดกายทุกท่วงท่า พญาเสือกรรโชกประหนึ่งฟ้าฟาด นั่นคือเสียงของกระดูกสั่นะเืด้วยการฝึกอันหนักหน่วง ตอนนี้เองที่กระดูกของของเขาแกร่งกล้าเทียบได้กับเหล็กแท้เนื้องาม
กระทั่งเคล็ดวิชาฝึกใจที่อาจารย์เวินถ่ายทอดให้สุดท้ายแล้วยังถูกเขาทิ้งขว้าง
ด้วยเ่ิูค้นพบว่า หากนำวิชาลมหายใจไร้ชื่อที่เขาเคี่ยวเข็ญตัวเองให้ฝึกมาเปรียบเทียบกันแล้ว วิชาฝึกจิตของกระบวนท่ากระดูกพยัคฆ์นั้นง่ายดายและหยาบกว่ากันมาก ผลคือวิชาที่เหมาะควรกับการฝึกกระดูกไม่พ้นเป็วิชาไร้ชื่อ
ดังนั้นเขาจึงถือวิสาสะใช้วิชากำหนดลมปราณของตนมาคู่กับกระบวนท่านี้แทน ผลออกมาเลิศเลอยิ่ง
เวลาเหลือว่างจากการฝึกกระบวนท่ากระดูกพยัคฆ์ เ่ิูก็ไม่แคล้วแอบฝึกหมัดกรงเล็บสะกดิญญาทั้งเก้า
นี่เป็ศิลปะรบบุกตะลุยเดี่ยวที่เขาจับต้องได้ต่อหน้าต่อตา และเป็ใบเบิกทางต่ำสุดสู่การใช้จริงในสมรภูมิ ซึ่งศิษย์คนอื่นไม่รู้
ตามคำประเมินของเวินหว่าน ระดับความเชี่ยวชาญในหมัดกรงเล็บสะกดิญญาของเ่ิูนั้น ได้ข้ามหัวหลิวเล่ยไปแล้ว หากมีฤกษ์งามยามดีได้แสดงออกมาแล้วล่ะก็ อาจเกิดปรากฏการณ์ะเืทั้งปีหนึ่งก็เป็ได้
....
วันเวลาแห่งการตรากตรำฝึกเวียนไปไวเหมือนโกหก
ไม่เพียงแต่เ่ิูผู้เดียวเท่านั้น ศิษย์คนอื่นๆ ก็ฝึกกันจนหน้าดำหน้าแดง
คนมากมายรู้อยู่แก่ใจ ว่าเวลาสี่ปีในสำนักกวางขาว มีโอกาสตัดสินชะตาชีวิตของพวกเขาในอนาคตได้มากนัก เพราะเหตุนั้นจึงไม่อาจละเลยแม้เพียงเสี้ยววินาที ต่างก็แข่งกับเวลาไม่เป็อันหยุดอันหย่อน
ชีวิตของเ่ิู แปรเปลี่ยนเป็ง่ายดายนัก
วันๆ ก็วนอยู่แต่กับอาหารเช้า ฝึกยุทธ์ อาหารกลางวัน ฝึกยุทธ์ อาหารเย็น...หลังจากนั้นก็ฝึกต่ออีกเรื่อยไป
เหตุเพราะวิชาทำสมาธิลมปราณสามารถฟื้นฟูพลังงาน และขับไล่ต้นเหตุความเหนื่อยล้าจนหมดสิ้น เขาถึงไม่ต้องหลับต้องนอน ฝึกเรื่อยไปทุกเวลาที่นึกออก
แน่นอน มีบางเวลาที่แม่ตัวเล็กมาหาเ่ิูและชวนเขาคุย เล่าถึงความกดดันในการฝึกและเื่ราวประจำวันไม่ได้สลักสำคัญอะไร
นางเชื่อมั่นในเ่ิู พร้อมใจกัชื่นชม และเคารพศรัทธาเขาไม่ลืมหูลืมตา ทุกครั้งที่เอ่ยปาก จะเกิดการโพนทะนาเื่ราวของอัจฉริยะทั้งสิบในรายชื่อนั่น และความคืบหน้าของพวกเขา
มีหลายครั้งนักที่เด็กสาวตัวกะจ้อยจะนำเคล็ดวิชาที่หัวหน้าหมวดหวังสั่งสอนให้มาบอกแก่เ่ิูชนิดละเอียดทุกเม็ด แถมด้วยบอกของใช้ฝึกวิชาของนางขณะนั้น อย่างอัญมณีหรือยาเทวดา ต่างก็ล้วนถูกเด็กหนุ่มหัวเราะใส่มาแล้วปฏิเสธ
เื่หลิวเล่ยาเ็สาหัสเองก็กลายเป็ข่าวครึกโครมภายในชั้นปีหนึ่ง คนมากมายเริ่มนิยามพลังแท้จริงและอันตรายคุกคามจากเ่ิูใหม่เสียแล้ว
ทว่ากลุ่มหลิวคนเดียวโดดๆ ไร้การเคลื่อนไหวต่อจากนั้น สุดท้ายเื่ราวนี้ก็ลาลับไปตามกระแสลม
เ่ิูเองก็แปลกใจนัก หลิวเล่ยไม่ได้คิดแก้แค้นเยี่ยงที่เขาคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าเลย
เผลอไผลไม่สู้นาน สำนักกวางขาวก็เปิดเรียนล่วงเข้ายี่สิบวันแล้ว
และในวันที่ยี่สิบเอ็ดนั้นเอง หัวหน้าหมวดหวังได้เปิดประชุมครั้งใหญ่ ประกาศเื่ที่ดลศิษย์ปีหนึ่งทุกผู้ทุกนามให้ตื่นเต้น
การต่อสู้แห่งป่าเปล่าเปลี่ยวของศิษย์ใหม่จะเริ่มขึ้นแล้ว!
ตามประเพณีโบราณมา เมื่อให้นักเรียนใหม่เตรียมตัวเล็กน้อยเสร็จแล้ว จะถูกแบ่งแยกเป็กลุ่มเล็กๆ คละกันไป ส่งไปยังแดนเถื่อนต่างระดับและประมือกับสัตว์ป่าดุร้าย เพื่อรับการทดสอบป่าเปล่าเปลี่ยวห้าราตรีเต็ม
นี่คือโอกาสทองสู่การ่ชิงคะแนนจากชัยชนะ
สำนักกวางขาวเป็สำนักที่แบ่งตามคะแนน เงินทองมิได้เป็เพียงยศถาบรรดาศักดิ์เดียว
ความจริงแล้ว คุณสมบัติในการยุทธ์และเคล็ดวิชาลับ มิอาจหาซื้อได้ด้วยเงินตรา แต่หากท่านมีคะแนนมากพอ ก็สามารถนำมาแลกกับข้อมูลที่ขาดหายและวาดหวังไว้ได้
จึงอาจกล่าวได้ว่า มหาเศรษฐีแท้จริง คือศิษย์แข็งแกร่งผู้คะแนนสูงลิบลิ่ว
สำหรับเหล่านักเรียนใหม่แล้ว หลังพวกเขาผ่านประสบการณ์ค่อนข้างน่าเบื่อตลอดยี่สิบวัน ที่สุดก็มีโอกาสปลุกเร้าใจ หนำซ้ำยังมีสิทธิ์ชิงคะแนนจากชัยชนะ ต่างคนต่างก็คึกคะนองไม่แพ้กัน
ยามก่อนออกเดินทาง ศิษย์ใหม่เกือบทั้งหมดใช้เวลาไปกับการเตรียมตัวกับการทดสอบครานี้
ตามกฎการอนุญาตของสำนักกวางขาว เหล่าลูกศิษย์สามารถเตรียมอาวุธและเครื่องป้องกันตัว รวมถึงของประเภทอื่น เพื่อดำเนินการชิงคะแนนให้สำเร็จอย่างงดงามได้
ภายในสำนักกวางขาวนั้นมีเขตการค้าอยู่ด้วย ส่วนมากเป็ร้านอาวุธค่อนข้างขึ้นชื่อ ต่างก็เก่าแก่มีประวัติยาวนาน ของขายทุกอย่างที่มีอักขระจารึกอยู่ทั้งบนศาสตราวุธและเครื่องป้องกันภัย
กระบวนยุทธ์พลังเหล่านี้สามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติ ร่ำเรียนพลังปราณใต้หล้า แม้กระทั่งนักยุทธ์อาณาพิภพที่ยังมิได้ไต่เต้าถึงอาณาเนื้อฟ้า ก็ยังสามารถระดมศาสตราเหล่านี้สู้รบได้อย่างเหนือชั้น
สำหรับเ่ิูแล้ว ศาสตราวุธเช่นนี้ไกลเกินเอื้อมถึง
ข้อแรกคือเขายากจนนัก ไม่มีปัญญาหาซื้อจำพวกอาวุธลับสูงค่ามาไว้ในกำมือได้
ข้อสองคือ เขามีความเชื่อมั่นในพลังของตัวเอง และเขาก็ศรัทธาเสมอมา ว่าผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงต้องได้มาด้วยหยาดเหงื่อเืเนื้อ แรงหมัดและแรงขาก้าวหน้าไปทีละขั้น พึ่งพาเพียงพลังแรงของตนเอง หากหยิบยืมของอื่นเข้าช่วยแต่แรก ให้ตายก็ไร้ทางได้มาซึ่งผลประโยชน์ของการทดสอบ
แน่นอน การไม่มีอาวุธก็ทำไม่ได้เช่นกัน
บนโลกใบนี้ กระบวนรบมากมายจำต้องมีศาสตราอาวุธควบคู่
สำนักกวางขาวนี้ช่างอัธยาศัยไมตรีดีต่อเด็กนัก ถึงขั้นให้อาวุธส่วนหนึ่งแก่เด็กยากจน
ยามเย็นของวันนี้
เ่ิูสิ้นสุดการฝึกฝนประจำวัน เขาสวาปามอาหารในโรงอาหารจนอิ่มหนำ แล้วค่อยเดินเข้าศาลาศาสตราสาธารณะไร้ราคา ไปไตร่ตรองและเลือกอาวุธประจำกาย
ด้วยเวลาเย็นย่ำมากแล้ว ศิษย์อัตคัดส่วนมากล้วนเลือกอาวุธจากไปกันหมด ที่หลงเหลือและยังเลือกอยู่จึงมีอยู่ไม่กี่คน
เ่ิูเมียงมองโดยละเอียด
“ศาสตราไร้ราคาพวกนี้ ถึงแม้จะไม่ใช่อาวุธวิเศษเลิศเลอ เป็แค่อาวุธธรรมดา แต่ก็ทำมาอย่างดี เหล็กแท้ตีมา คุณภาพสูงกว่าท้องตลาดทั่วไป...”
สายตาของเขาไปตกตรงที่มีดปังตอนั่นเอง
ร่องรองโลหิตกว้างและด้ามมีดอันทรงอำนาจ รังให้มีดนั้นดูดุร้ายไม่น้อย รูปแบบหยาบกระด้างตรงไปตรงมานี้ ช่างเหมาะเหม็งกับบุคลิกของเ่ิูนัก ใจเขาเต้นระทึกคราหนึ่งเมื่อตัดสินใจเอื้อมหยิบมีดนั้นขึ้นมา
“เอ๋? ไม่ไหว...เบาเกินไปแล้ว!”
มีดอีโต้หนักหกสิบจินไม่ขาดไม่เกิน พออยู่ในมือเ่ิูกลับเบาหวิวเหมือนยอดหญ้า เขาลองกวัดแกว่งมันตามอารมณ์ ปรากฏว่าเหมือนหยิบหญ้าต้นหนึ่งไว้ก็ไม่ปาน
เขาวางมีดกลับที่เดิม เด็กหนุ่มเร่งเลือกต่อไป
ตามเดิมแล้ว เื่ที่ตนเหมาะสมกับอาวุธชนิดใดนั้น เขามิได้คาคคิดชัดเจนไว้เลย แต่ในเมื่อลองไปแล้วเมื่อครู่ ใจก็เริ่มวางแผนการ เขาจำต้องตามหา...ศาสตราวุธที่เข้าขากับพลังลึกลับในกายเขา ถึงจะสามารถสำแดงฤทธิ์เดชที่เขามีทั้งหมดออกมาต่อสู้ได้เต็มคราบ
แต่ข้อแม้ในศาสตราของเขานั้น เหลือเพียงคำเดียว...
น้ำหนัก!
ผ่านไปครู่หนึ่ง สายตาเ่ิูก็ต้องตากับกระบองเหล็กทองแดงฉีเหมย หนักหนึ่งร้อยจิน หนาเท่าไข่เป็ด บรรยากาศอวลด้วยความยโส
ทว่าพอหยิบไว้ในมือ เขย่าทีหนึ่ง ดึงทีหนึ่ง กระบองยาวก็ราวกับเส้นก๋วยเตี๋ยว เ่ิูส่ายหน้าผิดหวัง เขาเก็บมันกลับที่เดิม
ก็ยังหนักไม่พออยู่ดี!
เวลาหมุนวนพอให้ดื่มชาได้ถ้วยหนึ่งผ่านไป เขาก็ลองหมดทั้งขวานผ่าผา กระบองสามฤดู หอกภาพจตุรฟ้า มีดั์ศึกพาชี ค้อนั์หกขอบ ศาสตราวุธทั้งหมดที่มองดูหนักนักในศาลาแห่งนี้ เขาลองมาหมดสิ้น
แต่ก็ยังหนักไม่พออยู่ดี!
อาวุธที่ศิษย์คนอื่นยกแทบตายกว่าจะขึ้น สำหรับเ่ิูแล้วมันยังหนักไม่พอ!
“พอที ไม่ได้การแล้ว ยังไงก็หยิบเ้าค้อนหกขอบนี่ไปแทนแล้วกัน!”
เ่ิูผิดหวังไม่น้อย
ค้อนั์ที่รวมน้ำหนักครบแล้วได้สามร้อยยี่สิบจิน ถูกเขาถือไว้ได้อย่างมิเปลืองแรง ทำเอาเพื่อนศิษย์ต้องเหลียวหลังมอง กำลังขนาดนี้น่ากลัวเหลือเกิน เกินขอบเขตของนักยุทธ์อาณาพิภพธรรมดาไปไม่รู้กี่ขุม
ประจวบเหมาะกับที่ถอดใจจะเดินกลับนั่นเอง ร่างของคนที่คุ้นเคยก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้า
“ทำไมเล่า? หน้าตาเหมือนปวดหนักเช่นนี้ ไม่เจอศาสตราที่ถูกใจหรือ?” อาจารย์ร่างกำยำหัวเราะฮี่ๆ อยู่หน้าประตูใหญ่
“ท่านเวิน อย่าเย้าแหย่ข้าเลย ข้าอารมณ์ไม่ค่อยดี” เ่ิูกัดฟันตอบ
เวินหว่านหัวเราะร่า เขากวักมือเรียก “ฮ่าๆๆ ข้ารู้ว่าเพราะอะไรน่า มาเถอะ ตามข้ามา”
เอ่ยจบก็หันหลังเดินตรงไปสนามหญ้าข้างศาลาศาสตราวุธ
เ่ิูชะงักแวบหนึ่งก็เดินตามไปทันที
สองบุรุษเดินมาถึงด้านหลังของสำนัก
ด้านหลังของสำนักพื้นที่ไม่กว้างขวาง ขนาดไม่ถึงสามหมู่ดี ลานแสดงยุทธ์ขนาดย่อม มีคนหนุ่มเปลือยท่อนบนฝึกวรยุทธ์กันอยู่ ดูแล้วไม่เหมือนศิษย์สำนักกวางขาว
กระทาชายฉกรรจ์ มีเคราดำลีบยาวยืนชี้แนะอยู่ข้างลาน
“ท่านเฉา เ้าของมาถึงแล้ว พาสุดที่รักของเ้าอันนั้นออกมาทีเถอะ” เวินหว่านเข้ามาได้ก็โพล่งใส่ชายกลางคนผู้นั้นทันที
บุรุษเคราดำยาวหันหลังมาตามเสียงทัก
ั์ตาของเขามองข้ามเวินหว่านไป ได้เห็นเ่ิูเป็ครั้งแรกก็ประเมินกะเกณฑ์ ราวกับวินิจฉัยอะไรบางอย่าง ท้ายสุดเมื่อเห็นเขาถือและควงค้อนั์ไว้ในมือ จึงพยักเพยิดน้อยๆ ชนิดมิอาจสังเกตเห็น
“มากับข้า”