หลังออกมาจากห้องทรงพระอักษร ลั่วหยิ่งย้อนกลับไปที่ตำหนักอีหลันอีกครั้งเพื่อจับตาดูความเคลื่อนไหวขององค์หญิงหลานซิน
เพิ่งจะเข้าไปใกล้ตำหนักบรรทมก็ได้ยินเสียงขององค์หญิงหลานซินที่ก่นด่าด้วยโทสะดังออกมาราวกับเสียงฟ้าผ่า พร้อมกับเสียงเครื่องกระเบื้องแตกเป็เสี่ยงๆ
“เ้าสิ่งของไร้ประโยชน์ ล้วนเป็สิ่งของไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น!”
“องค์หญิงทรงระงับโทสะด้วยเพคะ! ครั้งนี้เป็เพราะบ่าวประเมินฝีมือของฮองเฮาต่ำไป ครั้งหน้าจะต้องไม่พลาดแน่นอนเพคะ”
“ฝ่าาส่งคนไปเฝ้าตำหนักเย็นแล้ว คิดจะลงมืออีกครั้งเป็เื่ยาก เราพลาดโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้ว...”
“องค์หญิงวางพระทัย! บ่าวจะส่งคนไปจับตาดูตำหนักเย็นทุกเวลา พวกเราจะลงมือทันทีที่ฮองเฮาออกจากตำหนักเย็น ไม่กลัวว่าจะหาโอกาสไม่ได้เพคะ!”
“ก็คงทำได้เพียงเท่านี้...”
แววตาของลั่วหยิ่งแปรเปลี่ยนเป็คมกริบเมื่อได้ยินบทสนทนาข้างใน เขาแค่นหัวเราะเสียงเย็น มิน่าเล่าฝ่าาจึงได้อิดหนาระอาใจสตรี สตรีของตำหนักในแต่ละนางมิได้ทำให้คนรู้สึกเบาใจได้เลย!
เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันเฟิ่งเฉี่ยนหลับไปทันทีที่หัวถึงหมอน การเข้านอนครั้งนี้นางหลับรวดเดียวตื่นอีกครั้งเมื่อฟ้าสาง
เมื่อ ณ ขอบฟ้าปรากฏให้เห็นสีขาวราวกับท้องปลาเต็มท้องฟ้า เฟิ่งเฉี่ยนตื่นแล้วอีกทั้งรู้สึกท้องร้องจ๊อกๆ นางคิดถึงคำแนะนำจากตำราการทำข้าวผัดไข่ขึ้นมา มีเพียงการหาวัตถุดิบเทพให้ได้ จึงจะทำข้าวผัดไข่ได้สำเร็จ
แล้วจะไปหาวัตถุดิบเทพได้จากที่ไหน นางคิดถึงห้องทรงพระอักษร!
ทว่าตำหนักเย็นถูกปิดอย่างแ่า นางไปไหนไม่ได้ทั้งสิ้น...
แต่สำหรับจิ้งจอกเงินที่เป็มือสังหารแห่งยุค จะถูกกักขังไว้ในตำหนักเย็นได้อย่างไรกัน
ตามที่นางได้สังเกตการณ์ แม้ตำหนักเย็นจะมีเวรยามเฝ้าอยู่อย่างเข้มงวด แต่ไม่ใช่ว่าไร้ซึ่งช่องโหว่เสียทีเดียว
ด้านนอกกำแพงวังทางทิศตะวันตกเฉียงใต้มีทะเลสาบที่ใช้แรงงานคนขุดบ่อหนึ่ง ทะเลสาบนั้นกว้างราวๆ สิบกว่าเมตร หากมิใช่คนว่ายน้ำแข็งย่อมไม่อาจว่ายไปจนถึงอีกฝั่งหนึ่งของทะเลสาบได้ ดังนั้นการวางเวรยามในบริเวณนี้ขององครักษ์จึงค่อนข้างหละหลวม เป็ใครก็คาดไม่ถึงว่าจะมีคนเลือกใช้เส้นทางนี้ในการเข้าออกตำหนักเย็น
ทว่าเฟิ่งเฉี่ยนกลับเป็ข้อยกเว้น นางไม่เคยใช้เส้นทางปกติทั่วไป!
เฟิ่งเฉี่ยนพาร่างอันชุ่มโชกไปด้วยน้ำขึ้นฝั่งด้านตรงข้าม เพื่อหลบหลีกจากหูตาผู้คน นางจงใจผลัดไปสวมอาภรณ์ชุดนางกำนัลของจื่อซู และแต่งตัวเป็นางกำนัล เพื่อป้องกันไม่ให้คนจดจำได้นางจึงเอาขี้เถ้าทาตามใบหน้า
เพราะฟ้ายังไม่สางคนในวังบางส่วนยังไม่ออกมา นอกจากพบกับทหารลาดตระเวนสองกองนางก็หลบหลีกด้วยความว่องไวแล้วก็ไม่มีอุปสรรคอันใดอีก ใช้เวลาไม่นานนางก็มาถึงห้องทรงพระอักษร
ภายในห้องทรงพระอักษรเงียบสงบไม่มีคนอยู่ข้างในแม้แต่คนเดียว เฟิ่งเฉี่ยนพลิกตัวข้ามกำแพงลอบเข้าไป นางดึงปิ่นปักผมออกมาสะเดาะดานประตูด้วยความเชี่ยวชาญจากนั้นเดินเข้าไปด้านในด้วยท่าทีเป็ธรรมชาติ
ภายในห้องทรงพระอักษรมีลิ้นชักอยู่หลายตัว ลิ้นชักหนึ่งในนั้นมีข้าวสารซ่อนอยู่ นางสุ่มหยิบข้าวสารออกมาจากถุงกระสอบใบหนึ่ง เมื่อพิจารณาข้าวสารกลางฝ่ามือของตนอย่างละเอียด “ข้าวแต่ละเม็ดอยู่ในสภาพเม็ดโตอิ่มสมบูรณ์ เป็ข้าวสารชั้นยอดจริงๆ แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็วัตถุดิบธรรมดาหรือวัตถุดิบเทพเล่า?”
[เ้านาย ห้องนี้ไม่มีวัตถุดิบเทพที่เราตามหา ลองไปหาที่ห้องอื่นดูเถิด]
“ห้องอื่น?” เฟิ่งเฉี่ยนเดินออกจากห้องทรงพระอักษรแล้วมองซ้ายมองขวา พบว่าด้านข้างของห้องทรงพระอักษรยังมีห้องเก็บของท้องพระคลังอีกหลายห้อง ตรองดูแล้วน่าจะนำมาใช้เพื่อเก็บวัตถุดิบชนิดต่างๆ เป็แน่ นางค่อยเดินไปค้นหาทีละห้อง เมื่อเดินไปถึงห้องสุดท้าย พลันมีเสียงของฟ่านฟ่านดังขึ้นข้างหู
[เ้านาย เป็ห้องนี้! ข้าััได้ถึงกลิ่นอายของวัตถุดิบเทพแล้ว!]
เฟิ่งเฉี่ยนผลักประตูเข้าไปด้วยความดีใจ
นางเพิ่งจะก้าวเข้ามาในห้องเก็บวัตถุดิบก็รับรู้และััได้ถึงกลิ่นอายของวัตถุดิบเทพที่พวยพุ่งเข้ามา ภายในห้องเก็บเสบียงมีชั้นเก็บของทั้งหมดเก้าตัว สิ่งของที่วางอยู่บนชั้นเก็บของเ่าั้ล้วนเป็วัตถุดิบที่แตกต่างกันออกไป สองในเก้าชั้นนั้นเป็ที่เก็บข้าวสาร เฟิ่งเฉี่ยนคว้าข้าวสารมากำมือหนึ่ง ความรู้สึกบอกนางได้ทันทีว่าข้าวสารนี้ไม่ใช่ข้าวสารธรรมดาสามัญทั่วไป ข้าวสารทุกเมล็ดล้วนมีพลังสีฟ้าเคลื่อนไหวอยู่โดยรอบ ให้ความรู้สึกอุ่นๆ และดูโปร่งแสงเป็พิเศษ
“ที่แท้นี่ก็คือวัตถุดิบเทพ...” หลังจากความดีใจผ่านพ้นไป เฟิ่งเฉี่ยนกลับมารู้สึกหดหู่ใจอีกครั้ง “แต่น่าเสียดายที่ข้าหามันเจอเพราะการชี้แนะของเ้า เมื่อไหร่ข้าจึงจะสามารถแยกแยะวัตถุดิบเทพได้ด้วยตนเอง”
[เ้านายไม่ต้องเศร้าใจไป! เ้านายมีพร์ขั้นสูง รู้สึกและััถึงวัตถุดิบต่างๆ ได้เป็อย่างดี ต่อไปหากบำเพ็ญตนให้เก่งกาจขึ้น ย่อมแยกแยะได้แน่นอน ไม่เพียงแค่นี้ ฝีมือการทำอาหารของเ้านายก็จะพัฒนาก้าวะโขึ้นเช่นกัน ไม่จำเป็ต้องได้รับการช่วยเหลือจากระบบอีก]
เฟิ่งเฉี่ยนได้ยินเช่นนั้นในใจจึงเต็มไปด้วยความลิงโลด “เป็เช่นนี้จริงๆ หรือ เยี่ยมยอดจริงๆ!”
นางปรารถนาให้ตนเองเป็ที่พึ่งแห่งตน ใช้พลังความสามารถของตนพัฒนาตนเอง ไม่ใช่ต้องพึ่งพาอาศัยระบบตลอดเวลาเช่นนี้
“แต่เหตุใดพลังเทพบนข้าวสารจึงเป็สีฟ้าเล่า” นางพูดด้วยความประหลาดใจ
[วัตถุดิบเทพแต่ละชนิดนั้นแตกต่างกัน แบ่งได้เก้าประเภท วัตถุดิบแต่ละระดับย่อมแสดงพลังเทพออกมาเป็สีที่แตกต่างกันไป มีสีแดง ส้ม เหลือง ฟ้า เขียว ม่วง ทองอ่อน ทอง สีทองเป็วัตถุดิบขั้นสูงที่สุด...]
“นั่นหมายความว่า ข้าวสารเหล่านี้ที่ข้าเห็นล้วนเป็วัตถุดิบเทพ ระดับที่สี่หรือ”
[ถูกต้อง วัตถุดิบเทพที่อยู่ในระดับขั้นเดียวกันจะมีสีอ่อนเข้มใกล้เคียงกัน และมีความแตกต่างกันเล็กน้อย เหมือนเช่นข้าวสารที่เ้านายเห็นอยู่นี้พลังเทพของมันเป็สีฟ้าอ่อน แสดงให้เห็นว่าเป็วัตถุดิบเทพระดับสี่ที่ค่อนข้างสูง ศักยภาพของมันเกือบจะเทียบเท่าวัตถุดิบเทพระดับที่ห้าได้อยู่แล้ว!]
“เป็เช่นนี้เอง! ไม่เสียแรงที่เซวียนหยวนเช่อเป็ฮ่องเต้ของแผ่นดิน สิ่งของที่ซ่อนเอาไว้ล้วนเป็ของดีทั้งสิ้น!”
[เ้านายนำวัตถุดิบเทพเข้าไปเก็บในลิ้นชักได้ เตรียมไว้เผื่อถึงเวลาที่้าใช้]
เฟิ่งเฉี่ยนได้ยินข้อเสนอแนะของฟ่านฟ่าน นางจึงรวบรวมไข่ไก่ในห้องเก็บของ ข้าวสาร และวัตถุดิบต่างๆ ที่ใช้ควบคู่กันออกไปจนหมดเกลี้ยง วัตถุดิบเหล่านี้ทำให้นางทำข้าวผัดไข่ได้หนึ่งร้อยจาน!
เฟิ่งเฉี่ยนยิ้มด้วยความพอใจ หมุนตัวเตรียมจะจากไป ไม่รู้ว่าด้านหลังปรากฏเ้าก้อนแป้งน้อยที่โผล่มาเมื่อใด พุ่งชนใส่นางเข้าเต็มรัก