หลี่สือกินอิ่มไปเพียงครึ่งหนึ่ง แต่กลัวว่าหากกินมากเกินไปจะทำให้คนในครอบครัวตำหนิ ถึงตอนนั้นคนในหมู่บ้านคงบอกให้ครอบครัวไล่เขาออกไปอีก จึงได้แต่ก้มหน้ากล่าวเสียงแ่เบาว่า “อิ่มแล้ว”
“ท่านอารองเ้าคะ ก่อนท่านไปเมืองเยี่ยนท่านเคยบอกกับข้าว่าในมื้อหนึ่งท่านกินหมั่นโถวลูกใหญ่ได้ถึงสิบลูก วันนี้ท่านเพิ่งกินไปห้าลูก”
จ้าวซื่อจึงเอ่ยขึ้นว่า “หรูอี้ เ้าไปหยิบของกินมาให้ท่านอารองอีกเถิด”
หลี่หรูอี้หยิบชามไม้มาแล้วเดินไปยังห้องครัว เพื่อหยิบหมั่นโถวขนาดใหญ่เท่ากำปั้นเพิ่มอีกห้าลูก ทั้งยังคีบผักดองเพิ่มมาอีกหนึ่งถ้วยแล้วนำกลับมาวางบนโต๊ะแปดเซียน มองดูหลี่สือกินหมั่นโถวและผักดองคำใหญ่ด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม “ตอนนี้บ้านของพวกเรามีเสบียงมากแล้ว จะไม่ปล่อยให้ท่านต้องหิวแล้ว”
จ้าวซื่อจงใจปรายตามองไปทางหลี่ซานก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “น้องรอง หลายเดือนมานี้ครอบครัวของพวกเราทำการค้าหาเงินได้มาก มีอาหารให้เ้ากินจนอิ่มแล้ว”
เื่ฟ้าเื่ดินยังไม่สำคัญเท่ากับการกินให้อิ่ม นี่เป็ครั้งที่สองที่หลี่สือกินอิ่มหลังจากอาหารเย็นเมื่อคืน เขายิ้มจนหุบปากไม่ลง เอาแต่เดินตามก้นหลี่หรูอี้ไปทำงานต้อยๆ
“ท่านอารอง วันนี้ท่านพักผ่อนให้ดีเถิด พรุ่งนี้หากอากาศดีท่านก็ไปตัดฟืนทีู่เาดีหรือไม่”
หลายเดือนมานี้บ้านหลี่ขายอาหารทุกวันและกินข้าววันละสามมื้อย่อมใช้ฟืนไฟเป็จำนวนมาก ใช้ฟืนในห้องเก็บของจนเกือบหมดแล้ว
การตัดฟืนไม่ใช่งานที่ต้องใช้ทักษะสูง เป็หนึ่งในงานใช้แรงที่หลี่สือทำได้ดี
“ได้” หลี่สือตอบรับเต็มปากเต็มคำ
หลี่หรูอี้ถือโอกาสตอนที่หลี่ซานไปปลดทุกข์แอบย่องเข้าไปในห้องนอนของจ้าวซื่อ ดวงตาของนางเปล่งประกายกระตือรือร้น กล่าวกับมารดาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “ท่านแม่ วันนี้ท่านโน้มน้าวใจท่านพ่อได้แล้ว ข้ากับพวกพี่ๆ ดีใจจริงๆ เ้าค่ะ”
จ้าวซื่อนั่งอยู่ตรงขอบเตียง นางกุมมือบุตรีสุดที่รักก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงตำหนิ “เด็กโง่ พวกเ้าอย่าได้หัวเราะเยาะบิดาเ้าเชียว เขาถูกข้าที่เป็เพียงสตรีโน้มน้าวใจได้ก็รู้สึกเสียหน้ามากแล้ว”
“วางใจเถิด ข้าจะไปแล้ว ไม่รบกวนเวลานอนกลางวันของพวกท่านแล้ว” หลี่หรูอี้ได้ยินเสียงฝีเท้าอันคุ้นเคยจึงรีบหอมแก้มมารดาแล้วหมุนตัวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
แววตาของจ้าวซื่อทอประกายเมตตา คิดในใจว่าหรูอี้ของนางช่างเอาใจใส่ผู้อื่นเพียงนี้ ภายภาคหน้าหากเติบโตไปไม่รู้ว่าจะถูกเด็กหน้าเหม็นบ้านใดเอารัดเอาเปรียบหรือไม่
“เ้านอนไปเถิด ข้าเอนหลังครู่หนึ่งก็พอแล้ว” ก่อนหน้านี้หลี่ซานไม่ได้มีนิสัยนอนกลางวัน ยิ่งได้ไปทำงานสร้างกำแพงเมืองที่เมืองเยี่ยนก็ยิ่งไม่อาจนอนกลางวันได้
ทางการมอบเงินให้วันละยี่สิบห้าทองแดงทั้งยังดูแลอาหารการกินสองมื้อ งานที่รายได้และสวัสดิการดีเช่นนี้จะปล่อยให้แรงงานนอนพักกลางวันได้อย่างไร นี่ไม่ใช่การดูแลผู้าุโเสียหน่อย
จ้าวซื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ด้านนอกฝนตก ท่านอยากทำงานก็ทำไม่ได้ หลายเดือนมานี้ท่านเหนื่อยมามากแล้ว พักผ่อนให้สบายสักหลายวันเถิด”
หลี่ซานถอดเสื้อออกแล้วเดินขึ้นเตียง หลับตาแล้วแต่ยังนอนไม่หลับ
ฟืนไฟ อาหาร น้ำมัน และน้ำ ที่ครอบครัวต้องใช้มีจำนวนมาก วันหนึ่งยังต้องกินข้าวถึงสามมื้อ อีกไม่นานบุตรชายทั้งสี่ก็ต้องไปเรียนหนังสือ และไม่นานนักลูกชายทั้งสองในท้องของภรรยาก็จะคลอดแล้ว แต่ละเื่ล้วนต้องใช้เงินทั้งสิ้น จึงสร้างความกดดันเพิ่มขึ้นเป็เท่าทวี
ในที่สุดฝนก็หยุดตกใน่พลบค่ำ แต่ละบ้านแต่ละครอบครัวจุดกองไฟจนควันโขมง อาหารมื้อนี้ถือเป็มื้อที่สองของวันสำหรับคนในหมู่บ้าน แต่สำหรับบ้านหลี่นับเป็อาหารมื้อที่สาม
หลี่หรูอี้ทำบะหมี่ใส่มะเขือม่วง นางนำมะเขือม่วงลูกกลมมาหั่นออกเป็ลูกเต๋า แล้วนำไปผัดรวมกับกระเทียมและหอมแดง ก่อนที่จะเติมน้ำแกงลงไป จากนั้นจึงใส่เส้นบะหมี่แล้วต้มจนสุก
หากกินกันทั้งครอบครัวต้องใช้บะหมี่ม้วนราวเจ็ดถึงแปดชั่ง
เส้นบะหมี่ม้วนทำจากแป้งขาวและแป้งหยาบผสมกัน โดยมีหลี่สือเป็คนนวดแป้ง เส้นบะหมี่ก็เป็เขาอีกนั่นแหละที่ช่วยม้วน
หลี่สือมีแรงมาก การนวดแป้งนั้นก็ไม่จำเป็ต้องใช้ทักษะมากมาย หลี่หรูอี้สอนเพียงครู่เดียวเขาก็ทำเป็แล้ว เส้นที่นวดออกมาค่อนข้างแข็ง เมื่อม้วนออกมาเป็เส้นจะให้รสชาติที่ยอดเยี่ยม
หลี่หรูอี้กล่าวกับคนในครอบครัวว่า “วันนี้ท่านอารองทำบะหมี่ม้วนเป็ครั้งแรก แต่กลับม้วนเส้นออกมาได้ดีกว่าข้าเสียอีก”
เมื่อก่อนตอนที่จ้าวซื่อ หลี่ซาน หลี่เจี้ยนอัน และหลี่ฝูคังทำอาหาร ไม่มีใครกล้าให้หลี่สือนวดแป้ง เพราะกลัวว่าเขาจะนวดไม่ดีจนทำให้แป้งเสียเปล่า
จ้าวซื่อกินเส้นบะหมี่อย่างเอร็ดอร่อย เมื่อมองไปที่เส้นบะหมี่ในชาม พบว่าแต่ละเส้นมีความกว้างเท่าๆ กัน คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลี่สือทำบะหมี่ม้วนครั้งแรกก็ทำได้ดีเพียงนี้แล้ว จึงกล่าวชมเชยไปว่า “ที่แท้นี่ก็เป็บะหมี่ที่น้องรองทำนี่เอง”
หลี่หรูอี้กล่าวต่อไปว่า “มีดบ้านเราทื่อหมดแล้ว ข้านำมาใช้ก็ต้องออกแรงมาก แต่เมื่อไปอยู่ในมือของท่านอารองกลับหั่นได้ง่ายดายราวกับหั่นกระดาษ ท่านอารองหั่นเส้นบะหมี่ได้รวดเร็วจริงๆ เ้าค่ะ”
หลี่สือยิ้มกว้าง ดวงตาทอประกายสว่างไสวอย่างมีความสุข
หาก์ปิดประตูบานนี้ ก็ย่อมเปิดประตูอีกบานหนึ่งไว้ให้ หลี่สือมีพร์ทางด้านการทำครัวมากกว่าหลี่ซาน จ้าวซื่อ และเด็กชายทั้งสี่ของบ้านหลี่เสียอีก
หลี่สือมีชีวิตอยู่มายี่สิบปีแล้ว ทว่าพร์ในด้านการทำครัวเพิ่งจะถูกหลี่หรูอี้ค้นพบเข้าวันนี้เอง
หลี่ซานไม่ได้กินบะหมี่ม้วนทำมือมานานหลายเดือนแล้ว เมื่อกินเข้าไปก็กล่าวออกมาว่า หอมยิ่งนัก กินเส้นบะหมี่หมดแล้วยังยกน้ำแกงขึ้นซดดังอึกอักจนหมดเกลี้ยง สุดท้ายค่อยกล่าวขึ้นว่า “หลี่สือทำบะหมี่ม้วนได้ด้วย ไม่เลวเลยจริงๆ ”
หลี่หรูอี้ยิ้มจนตาหยี “หลายเดือนมานี้มีพวกพี่ชายคอยช่วยเหลือข้า แต่อีกไม่นานพวกพี่ชายก็ต้องไปเรียนหนังสือกันแล้ว ข้ากำลังคิดอยู่เลยว่าจะจ่ายเงินจ้างคนงาน แต่ตอนนี้มีท่านอารองคอยช่วยแล้ว”
หลี่เจี้ยนอันกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจว่า “ท่านอารอง พวกเราต้องไปเรียนหนังสือ ต่อไปลำบากท่านช่วยงานน้องห้าแล้วขอรับ”
“ไม่ลำบาก” หลี่สือคิดว่าการทำบะหมี่ม้วนเป็เื่ที่น่าสนใจและสนุกเป็อย่างมาก ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายกว่าการสร้างกำแพงเมืองเป็ร้อยเท่า ทั้งยังได้รับคำชมจากคนทั้งครอบครัวมาด้วยจึงยิ้มไม่หุบ สายตาที่มองไปทางหลี่หรูอี้ก็เจือไปด้วยความรู้สึกที่เชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเป็เท่าทวี
หลี่ซานกำลังจะไปบ้านหวังไห่ ทว่ากลับเห็นหวังไห่อยู่ไกลๆ อีกฝ่ายถือตะกร้าไผ่ใบใหญ่เอาไว้ใบหนึ่ง มีผ้าสีเทาปิดคลุมอยู่ เขากำลังเดินเหยียบดินโคลนบนถนนและมุ่งตรงเข้ามาหา
“น้องหลี่ เ้าอย่าเพิ่งไปไหน ข้าจะไปบ้านเ้า” เสียงของหวังไห่ดังกังวานมาแต่ไกล คนที่อยู่ใกล้ๆ ได้ยินชัดเจน
“พี่ใหญ่หวัง ข้ากำลังจะไปคุยกับท่านที่บ้านพอดี” หลี่ซานรีบเดินออกจากลานบ้านเพื่อมาต้อนรับอีกฝ่าย เมื่อเห็น หวังไห่มีใบหน้าแดงระเรื่อดูสุขภาพดี อีกทั้งแววตาที่มองมาทางเขาก็เจือไปด้วยความซาบซึ้งใจจึงรู้สึกสงสัย
หวังไห่เดินหัวเราะเข้ามาในลานบ้านก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “หรูอี้ ข้าหาของที่เ้า้าได้แล้ว รีบมาดูเร็วเข้า” กล่าวจบก็วางตะกร้าไผ่ไว้บนพื้นราบที่ดูสะอาดสะอ้าน
ผ้าสีเทาที่คลุมอยู่ในตะกร้าไผ่ขยับเขยื้อน หัวเล็กๆ ขนาดเท่าลูกแพร์ที่ปกคลุมไปด้วยขนสีดำทั้งสองโผล่ออกมาจากด้านใน พวกมันมีหูเล็กนุ่มนิม มีดวงตาสีน้ำตาลที่ดูซุกซน และจมูกสีดำ
ที่แท้ก็คือลูกสุนัขน่ารักสองตัว
หลี่สือตื่นตะลึงจนะโรวดเดียวไปไกลสามฉื่อ ร้องว่า “โอ้... ลูกสุนัข! หรูอี้ รีบออกมาดูเร็วเข้า”
หลี่หรูอี้เดินออกมาจากห้องเก็บของ เมื่อเห็นว่าเป็ลูกสุนัขสองตัวกำลังวิ่งไล่กันอยู่บนพื้นก็กล่าวอย่างยินดีว่า “ลูกหมาป่า!”
ในโลกก่อนที่กองทัพรักษาชายแดนก็มีสุนัขทหารอยู่ด้วย คนเลี้ยงสัตว์มีความสัมพันธ์อันดีกับผู้นำกองทัพจึงให้ยืมสุนัขพ่อพันธุ์มาทำพันธุ์ เมื่อได้ลูกสุนัขออกมาก็มอบให้กองทัพหนึ่งตัว นางยังจำลักษณะของลูกหมาป่าได้เป็อย่างดี เหมือนกับลูกสุนัขสองตัวนี้ทุกกระเบียดนิ้ว
เด็กชายทั้งสี่แห่งบ้านหลี่และจ้าวซื่อเดินยิ้มเข้ามาล้อมดูลูกสุนัขทั้งสอง
หวังไห่เห็นครอบครัวหลี่ล้วนดีอกดีใจจึงกล่าวขึ้นว่า “นี่เป็ลูกสุนัขที่เกิดจากสุนัขล่าเนื้อของตระกูลจางแห่งหมู่บ้านหลิว เพิ่งคลอดมาได้หนึ่งเดือน ข้าสนิทสนมกับหัวหน้าหมู่บ้านหลิว จ่ายเงินไปเล็กน้อยก็ซื้อมาให้พวกเ้าได้แล้ว”
ลูกสุนัขล่าเนื้อตัวหนึ่งขายได้ยี่สิบทองแดง ทว่าหวังไห่มีหัวหน้าหมู่บ้านหลิวเป็ผู้พาไปหาคนตระกูลจาง จ่ายเงินไปเพียงสามสิบทองแดงก็ซื้อมาได้สองตัวแล้ว
จ้าวซื่อกล่าวขึ้นว่า “จะปล่อยให้ท่านจ่ายเงินซื้อลูกสุนัขมาให้พวกเราได้อย่างไร”
หลี่ซานมองไปยังลูกสุนัขทั้งสอง ตอนนี้มีปากท้องเพิ่มมาอีกสองตัวแล้ว ในใจรู้สึกหม่นหมองยิ่งนัก ทว่าหวังไห่นำมามอบให้แล้วย่อมไม่อาจส่งคืนได้อีก “พี่ใหญ่หวัง ท่านจ่ายไปเท่าใด ประเดี๋ยวข้าจะจ่ายให้ท่าน”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้