เมื่อได้ยินเพียงเสียง ‘ปัง’
เฉิงอวี้ถูกเตะไปตรงกำแพงดินด้านข้างถ้ำ กระอักเืออกมาเต็มปากจนกระเซ็นออกมาภายนอก
หลังจากนั้น เฉิงอวี้ไถลลงไปตามกำแพง คลุกตัวไปกับทรายบนกำแพง...
“อึก...” หลังจากเฉิงอวี้ร่วงลงพื้น เืก็ไหลออกมาจากปากของนางไม่หยุด นางกระอักจนเืพุ่งออกมาจากมุมปาก ก่อนที่นางจะกลืนน้ำลายอย่างแรง หยุดเืลงด้วยความเ็ป
ในยามนี้ เฉิงอวี้นอนอยู่บนพื้นในสภาพน่าอนาถ ทั้งร่างปกคลุมไปด้วยทราย ดูเหมือนว่านอกจากหัวของนางแล้วจะไม่สามารถขยับส่วนใดได้อีก ความเ็ปมีมากจนนางไม่สามารถแม้แต่จะกลิ้งไปมาบนพื้น
ในเวลานี้ ปากของมู่จื่อหลิงอ้ากว้างเป็วงกลม นางตกตะลึงอีกครั้ง
แน่นอนว่านางรู้ว่าฝ่าเท้าของตนแข็งแกร่งเท่าใด แต่ยามนี้เล่า?
แต่ยามนี้กลับกลายเป็ว่าแข็งแกร่งกว่าทุกครั้ง!
ในครั้งของหลินเกาฮั่น จนถึงยามนี้นางยังคงคิดว่ามีกุ่ยเม่ยแอบจัดการหลินเกาฮั่น ทำร้ายหลินเกาฮั่นอยู่ในถ้ำคราวนั้น
แต่ยามนี้กุ่ยเม่ยไปแล้ว! ยามนี้นางเตะคนผู้นี้ด้วยเท้าของนางเอง
มู่จื่อหลิงมองเฉิงอวี้ที่ถูกนางเตะกระเด็นจนอาเจียนเป็เื จากนั้นจึงก้มหน้าลงมองเท้าของตน ในใจมีเพียงความรู้สึกแปลกประหลาด
‘วิชาเท้าไร้เงาฝอซาน’ ของนางทรงพลังเช่นนี้จริงหรือ?
เป็ไปได้อย่างไร? มู่จื่อหลิงรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง
ขณะที่มู่จื่อหลิงตกอยู่ในอาการงุนงง ใบหน้าของเฉิงอวี้น่าสยดสยองเป็อย่างมากเนื่องจากความเ็ป นางถามเน้นทีละคำว่า “มู่จื่อหลิง เ้า...เ้ามีวรยุทธ์หรือ?”
แม้เฉิงอวี้จะเอ่ยถาม แต่นางก็มั่นใจมาก
เพราะเมื่อครู่นี้ แม้จะเพียง่สั้นๆ ในยามที่เฉิงอวี้รับรู้ถึงลูกเตะของมู่จื่อหลิง ภายใต้การเคลื่อนไหวนั้นเหมือนจะมีพลังอันแข็งแกร่งซ่อนอยู่
แม้จะเป็เพียงชั่วพริบตา แต่นางก็รู้สึกได้จริงๆ
ไม่อย่างนั้น แม้ว่านางจะถูกวางยาพิษ หากไม่มีความแข็งแกร่งที่เสริมเข้ามา ย่อมเป็ไปไม่ได้ที่นางจะถูกคนที่ไม่มีแรงแม้แต่จะมัดไก่เตะจนตัวลอยเช่นนี้ได้
“อา! ถูกเ้าจับได้เสียแล้ว แต่น่าเสียดาย...” มู่จื่อหลิงยอมรับอย่าง ‘ใจกว้าง’ แสร้งทำเป็หมดหนทาง ยักไหล่อย่างไม่พอใจ ทั้งยังส่ายหัวไปมา “น่าเสียดายที่สายเกินไป!”
มีวรยุทธ์หรือ? นางอยากมีวรยุทธ์! แม้ในฝันก็ยังอยาก
มู่จื่อหลิงถอนหายใจอย่างอดไม่ได้
น่าเสียดายที่สำหรับการฝึกวรยุทธ์นางไม่ต่างจากสิ่งไร้ประโยชน์ ไม่สามารถเรียนรู้ได้
“เ้า!” เฉิงอวี้กัดฟันด้วยความโกรธกับท่าทางอึกอักของมู่จื่อหลิง “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าวรยุทธ์ของเ้าจะสามารถหลบเข็มพิษเงาของข้าได้ อีกทั้งเมื่อครู่เ้ายังเสแสร้ง จงใจนอนนิ่ง...”
ก่อนหน้านี้พวกนางเคยสืบสวนเื่ของหญิงสารเลวผู้นี้มาอย่างแน่ชัด
นอกจากทักษะทางการแพทย์ของนางแล้ว นางหญิงสารเลวผู้นี้ไม่ต่างจากหญิงสาวทั่วไป
แต่ให้ตายเถอะ! นางคำนวณผิด
ไม่นึกเลยว่าการสืบสวนของพวกนางจะผิดพลาด นางหญิงสารเลวแอบเก็บซ่อนความลับเอาไว้
มู่จื่อหลิงจะมีวรยุทธ์หรือไม่ไม่ใช่เื่สำคัญ แต่นางสามารถหลบได้แม้กระทั่งวิชาเข็มพิษเงาที่นางแสนภาคภูมิใจ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าวรยุทธ์ของนางไม่ได้อยู่ในระดับทั่วไป
หลบเข็มอะไร? ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณม้าเมฆา ไม่เช่นนั้นในยามนี้คงเป็นางที่นอนอยู่
มู่จื่อหลิงแอบกลอกตา
หญิงผู้นี้ เ้าจะคิดเลยเถิดอย่างไร้สมองก็ช่างเถอะ แต่เ้ากลับไม่มีแม้แต่ตาใช้มอง
แต่นี่ไม่ใช่ความผิดของนาง คนที่ดีใจจนลืมตัวล้วนเป็เช่นนี้ไม่ใช่หรือ?
“ข้าสงสัยว่าเ้าโง่หรือไม่ การทำเช่นนี้เรียกว่าศึกไม่หน่ายเล่ห์ [1]!” มู่จื่อหลิงมองนางอย่างว่างเปล่า ลากเสียงยาวพูดช้าๆ ว่า “แต่มีหลายอย่างที่เ้าคาดไม่ถึง ไม่ต้องกังวล พักสักครู่ ข้าจะบอกให้เ้ารู้ทีละอย่าง”
สิ่งที่เรียกว่าโชคที่กำลังหมุนเวียนคืออะไร? ยามนี้ไม่มีอีกแล้ว
เสียงมู่จื่อหลิงสงบ แต่เพียงได้ยินลางสังหรณ์ที่น่ากลัวร้องเตือนเฉิงอวี้เบาๆ อยู่ภายใน
“นางหญิงสารเลว เ้ามาให้เล่นสนุกเสียดีๆ!” ใบหน้าของเฉิงอวี้บิดเบี้ยว นางสาปแช่งอย่างแข็งกร้าว
มู่จื่อหลิงทำราวได้ยินเื่ตลกขบขัน นางมองเฉิงอวี้อย่างเฉยเมย สายตานั้นราวกับกำลังมองดูคนโง่เขลา
หลังจากทำร้ายม้าเมฆาของนางแล้ว ยังอยากสนุกอยู่หรือ? ฝันไปเถอะ!
มู่จื่อหลิงคร้านเกินกว่าจะบ่นจู้จี้ใส่เฉิงอวี้ นางเดินไปหาม้าเมฆา คุกเข่าลงป้อนยาหนิงเซียงที่มันโปรดปรานให้ไปสองสามเม็ด
เมื่อเห็นว่าหลังจากม้าเมฆากินลงไป มันทำท่าราวกับลืมความเ็ปไปในทันที มู่จื่อหลิงลูบหัวของมันด้วยความรักอย่างทุกข์ใจและเคลิบเคลิ้ม จากนั้นนางจึงช่วยถอนพิษและรักษาาแให้มันอย่างระมัดระวัง
เฉิงอวี้ที่ถูกทิ้งให้อยู่วงนอกด้วยความเ็ป คำรามอย่างโกรธเคือง “มู่จื่อหลิง เ้ามีความสามารถในการ...”
มู่จื่อหลิงขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ จ้องมองนางอย่างเ็า ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ข้าแนะนำให้เ้าเก็บเสียงไว้เห่าหอนจะดีที่สุด หากม้าของข้าถูกรบกวน ระวังปากสุนัขของเ้า...จะเน่าเฟะ!”
มู่จื่อหลิงพูดพร้อมกับดึงเข็มพิษทั้งสามเล่มที่จมอยู่ในร่างของม้าเมฆาออกมา
เฉิงอวี้ไม่ยอมแพ้ แต่เมื่อนางเห็นมู่จื่อหลิงดึงเข็มพิษสามเล่มออกจากตัวม้า นางจ้องมู่จื่อหลิงด้วยดวงตาเบิกกว้าง
เหมือนเฉิงอวี้จะคิดอะไรบางอย่างได้ นางรู้สึกสับสนอยู่พักหนึ่ง แต่ก็หวาดกลัวในเวลาเดียวกัน
หากมู่จื่อหลิงสามารถหลบเข็มพิษสามเข็มได้ด้วยตนเอง นางจะปล่อยให้ม้าถูกเข็มพิษได้อย่างไร?
อีกทั้งเมื่อครู่ร่างของมู่จื่อหลิงไม่ขยับเลย นางหลบเลี่ยงเข็มพิษได้อย่างไร?
หรือว่า...
เฉิงอวี้นึกถึง่เวลาที่ร่างของม้าเมฆาสั่นไหว ความเป็ไปได้ที่ไม่น่าเชื่อลอยเข้ามาในใจนาง
เข้าใจแล้ว เ้าม้าตัวนี้! สัตว์ร้ายตัวนี้ขวางเข็มพิษให้มู่จื่อหลิง
ใช่! ใช่อย่างแน่นอน!
เมื่อความคิดนี้ได้รับการยืนยัน เฉิงอวี้ก็โกรธจัดจนแทบบ้า หากนางรู้ก่อนหน้านี้ ยามนี้นางคงไม่เป็เช่นนี้
......
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด
มู่จื่อหลิงพันแผลด้วยความระมัดระวังและตั้งใจ
หลังจากปลอบม้าเมฆาอีกครั้ง มู่จื่อหลิงก็เดินมาข้างกายเฉิงอวี้โดยไม่เร่งรีบ ลดสายตาลงมองนางอย่างเ็า น้ำเสียงไม่มีร่องรอยของอารมณ์ “ผู้ที่ส่งเ้ามาสังหารข้า...คือใคร?”
ครั้งนี้มู่จื่อหลิงไม่ได้ถามว่า ‘ใครส่งเ้ามา’ เพราะนางคาดเดาได้แล้ว
แต่โชคไม่ดีนัก คนผู้นี้ ไม่เพียงแต่นางไม่รู้จักเท่านั้น ด้วยแม้แต่นางยังไม่รู้เลย
แม้คำถามของมู่จื่อหลิงจะแตกต่างกัน แต่ก็มีความหมายเดียวกัน ดังนั้นเฉิงอวี้จึงไม่รู้ตัว นางยังคงพูดประโยคเดิม “เ้าไม่มีสิทธิ์รู้”
ยามเฉิงอวี้เผชิญกับความตายที่ใกล้เข้ามา นางยังคงมีท่าทีหยิ่งยโส มู่จื่อหลิงเม้มปากยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ
นางย่อตัวลงช้าๆ มองเฉิงอวี้ด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม แสร้งทำเป็พูดคุยอย่างมีเมตตา “เ้าแค่อยากจะสนุกไม่ใช่หรือ? หากเ้าบอกมา ข้าจะเติมเต็มและมอบสิ่งดีๆ ให้เ้า เป็อย่างไร?”
อย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้ เฉิงอวี้กลับไม่รู้สึกถึงการคุกคามแม้แต่น้อย นางจ้องมองมู่จื่อหลิงด้วยความเกลียดชัง กัดฟัน พูดประโยคเ็า “เ้าอย่าแม้แต่จะคิดว่าข้าจะยอมพูดแม้เพียงครึ่งคำ อย่าหวัง!”
ในสายตาของนาง หญิงอัปลักษณ์ที่อยู่ตรงหน้า ไม่อาจเทียบได้แม้ปลายผมนายหญิงรอง เช่นนั้นยิ่งไม่จำเป็ต้องกล่าวถึงว่านางจะมีคุณสมบัติใดที่จะรู้จักนายหญิงรอง
“โธ่! มองไม่ออกเลย ว่าเ้าจะมีจิตใจที่หยิ่งในศักดิ์ศรีเช่นนี้” ปากของมู่จื่อหลิงค่อยๆ โค้งขึ้นเป็รอยยิ้ม นางหยิบมีดผ่าตัดคมกริบออกมาจากระบบซิงเฉิน โดยที่นางไม่รู้สึกอะไรกับท่าทีโอหังอวดดีของเฉิงอวี้เลย
นางโบกมีดผ่าตัดที่ส่องประกายอย่างช้าๆ ยังคงยิ้มดั่งอาบลมในฤดูใบไม้ผลิ [2] “ดูสิ มีดของข้าคมมาก ใช้สำหรับแล่เนืุ้์โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังสามารถสังหารได้ในการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว เ้าจะเลือกอย่างไร?”
สิ่งที่นางพูดล้วนไม่ผิด มีดผ่าตัดมีไว้สำหรับเฉือนเนืุ้์ไม่ใช่หรือ? แต่ความหมายค่อนข้างแตกต่างจากการแล่เนืุ้์ในยามนี้
เฉิงอวี้ปิดปากแน่น หันศีรษะออกไปอย่างแข็งทื่อ ยังคงไม่สนใจคำขู่ของมู่จื่อหลิง
เมื่อเห็นเช่นนี้ มู่จื่อหลิงก็อดไม่ได้ที่จะยกนิ้วชื่นชมนาง
“ดูเหมือนเ้าจะมีจิตใจที่หยิ่งในศักดิ์ศรีแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิดไว้” มู่จื่อหลิงพูดโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ นางตัดชุดตรงต้นขาทั้งสองข้างของเฉิงอวี้ออก
ทันใดนั้น ต้นขาขาวเนียนของเฉิงอวี้ก็ััเข้ากับอากาศภายนอกที่มีลมหนาวพัดผ่านมาประปราย
“เ้า เ้าจะทำอะไร?” ไม่รู้ว่าเพราะไม่มีสิ่งปกปิดบริเวณต้นขาจนเกิดการหนาวสั่น หรือเกิดความหวาดกลัว แต่ในขณะนี้ เสียงของเฉิงอวี้สั่นเล็กน้อย
“เมื่อครู่ข้าพูดไปไม่ใช่หรือว่าฟันต่อฟัน” มู่จื่อหลิงตอบอย่างไร้เดียงสา นางกลอกตาราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนพูดว่า “แต่ รออีกหน่อยนะ!”
ก่อนเฉิงอวี้จะทันได้ตอบสนองกับความหมายที่แท้จริงของคำว่า ‘ฟันต่อฟัน’ ของมู่จื่อหลิง
มู่จื่อหลิงก็ลุกขึ้นยืนทันที ใช้หินก้อนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล จงใจใช้มีดผ่าตัดอันคมกริบในมือฟันลงไป
จากนั้นมู่จื่อหลิงจึงเดินไปหาเฉิงอวี้อีกครั้ง แสดงผลงานชิ้นเอกให้นางดู ก่อนเลิกคิ้วให้ด้วยรอยยิ้ม “มีดหยัก...เช่นนี้ เป็อย่างไร?”
นางยิ้มอย่างสบายๆ อ่อนโยนดุจสายน้ำ แต่กลับมีประกายหนาวเย็นน่ากลัวในดวงตาสงบของนาง
ก่อนเฉิงอวี้จะส่งเสียง มู่จื่อหลิงก็หยิบถุงมือแพทย์ออกมาสวมใส่
ทุกอย่างทำด้วยความมีเหตุผล ทำอย่างประณีตพิถีพิถัน
หลังจากนั้น มู่จื่อหลิงยื่นมือออกมา ตบที่ต้นขาอ่อนนุ่มของเฉิงอวี้สองครั้ง
เฉิงอวี้มองไปที่สิ่งที่เรียกว่ามีดหยักในมือมู่จื่อหลิง ในขณะเดียวกันนางก็เริ่มรู้สึกหวาดกลัว แต่ก็ยังรู้สึกอับอายและหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น
แม้มู่จื่อหลิงจะเป็ผู้หญิง แต่เฉิงอวี้เป็หญิงโบราณ ยามนี้นางถูกมู่จื่อหลิงทำให้ ‘อับอาย’ นางจะสงบสติอารมณ์ได้อย่างไร?
“มู่จื่อหลิง หยุด หยุดนะ เ้าจงหยุด!” เฉิงอวี้คำราม
ใครจะรู้ มู่จื่อหลิงที่ตบต้นขานางสองครั้ง โดยมีเป้าหมายเป็การประเมิน “จุ๊ จุ๊ จุ๊ เสียงดังคมชัด แต่มองก็รู้ว่าเป็เนื้อนุ่มมีความยืดหยุ่น!”
เนื้อนุ่มมีความยืดหยุ่น? เลือกเนื้อหมูหรือ?
จากการกระทำและคำพูดที่บิดเบี้ยวของมู่จื่อหลิง เฉิงอวี้โกรธจนแทบกระอักเื
แต่ใครจะรู้ ยามนี้มู่จื่อหลิงไม่เปิดโอกาสให้เฉิงอวี้ได้เอะอะเลย
หลังจากนั้น รอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนใบหน้าของนาง แต่น้ำเสียงกลับเยือกเย็นราวน้ำแข็ง “เมื่อครู่เ้าทำร้ายขาของเมฆาใช่ไหม? เช่นนั้น...”
เพียงเสียงสิ้นสุดลง มู่จื่อหลิงก็หยิบมีดมาไว้ในมือ เฉือนเนื้อสีขาวชิ้นใหญ่บนต้นขาของเฉิงอวี้ออกมาชิ้นหนึ่งอย่างไร้ความปรานี
“อ๊า!!!” เสียงกรีดร้องเสียดแทงใจของเฉิงอวี้ดังก้องถึงชั้นฟ้าในทันที เจ็บจนแทบขาดใจตาย
หากนี่เป็เพียงมีดผ่าตัดทั่วไป เนื้อย่อมถูกตัดอย่างเรียบกริบ ถึงแม้ว่ามันจะเ็ปอย่างเหลือทน แต่ความเ็ปของเฉิงอวี้ในยามนี้กลับต้องทุกข์ทรมานมากยิ่งกว่านั้น
เนื่องจากมีดผ่าตัดของมู่จื่อหลิงถูกเพิ่มรอยหยักลงไป ความเ็ปนั้น ย่อมเ็ปมากยิ่งขึ้น ตายเสียยังดีกว่า
แม้จะสวมถุงมือ แต่มู่จื่อหลิงก็ยังคงหยิบชิ้นเนื้อเปื้อนเืขึ้นมาด้วยสองนิ้วอย่างรังเกียจ ค่อยๆ วางชิ้นเนื้อลงบนใบหน้าของเฉิงอวี้
แล้วก้มหน้าลงดำเนินการต่อ......
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ศึกไม่หน่ายเล่ห์ (兵不厌诈) เป็คำสอนที่ใช้ในการทหาร มีความหมายว่า การทำศึกาย่อมต้องใช้กลอุบายหลอกอีกฝ่ายหนึ่ง แม้ว่าจะเป็อุบายร้ายกาจก็ต้องทำ เพราะหากเราไม่หลอกเขา เขานั่นแหละจะหลอกเรา ฉะนั้นใครหลอกอีกฝ่ายหนึ่งได้ย่อมเป็ผู้ชนะ
[2] ดั่งอาบลมในฤดูใบไม้ผลิ (如沐春风) เป็สำนวน มีความหมายว่า สดชื่นรื่นอารมณ์สราญใจ เพลิดเพลินจำเริญใจ