ในค่ายทหารซีเป่ย ด้วยการมาถึงของฉุนหยางอ๋องส่งผลให้สถานการณ์ในค่ายทหารซีเป่ยในหลายวันมานี้ดีขึ้นมาก ต่อให้ตราอาญาสิทธิ์ของอวี๋เจิ้นซีหายไป แต่กู้จวิ้นเฉินมีพระราชโองการอยู่ในมือ เสมือนมีตราอาญาสิทธิ์ ไม่มีผู้ใดพูดว่าไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ เพราะไม่มีตราอาญาสิทธิ์อีกแล้ว
“เสด็จอา ท่านคิดว่าจุดประสงค์ในการโจมตีครั้งนี้ของแคว้นฝูชิวคืออะไร? โจมตี แต่ทว่ากลับเหมือนสร้างสถานการณ์ขู่ขวัญตบตา” กู้จวิ้นเฉินให้ความเกรงใจฉุนหยางอ๋องโดยเรียกเขาว่าท่านอา แม้ความจริงทั้งสองล้วนเป็ชินอ๋อง แต่ผู้หนึ่งนั้นต่างสกุล อีกผู้หนึ่งเป็พระญาติ แน่นอนว่ากู้จวิ้นเฉินนั้นศักดิ์สูงส่งกว่า
แต่หากว่ากันตามวัยแล้ว กู้จวิ้นเฉินเรียกเขาว่าอาก็ถือว่าสมควร
อีกทั้งต่อไปท่านหญิงฉุนเหอจะมีศักดิ์เป็พี่สะใภ้ของหลี่ลั่ว หากลำดับญาติตามความสัมพันธ์จากการดองกันแล้ว กู้จวิ้นเจินควรจะเรียกเขาว่าอา
ฉุนหยางอ๋องมิได้มีความยินดีปรีดากับการที่กู้จวิ้นเฉินเรียกเขาว่าอา เขาวิเคราะห์เหตุการณ์อย่างสงบนิ่ง “ก่อนหน้านี้ ท่านอ๋องถูกลอบสังหาร ดังนั้นการโจมตีแบบสร้างสถานการณ์ขู่ขวัญตบตากับการลอบสังหารเ้าย่อมมีความเกี่ยวพันกัน และมือสังหารที่ถูกชิงตัวไปภายใต้สถานการณ์การโจมตีของฝูชิวนั้น ชัดเจนยิ่งแล้วว่าหากว่ากันตามเหตุการณ์ที่เห็น การที่พวกเขาโจมตีอย่างกะทันหันจุดประสงค์ก็เพื่อชิงตัวมือสังหาร”
ความคิดนี้ กู้จวิ้นเฉินก็เคยคิดเช่นนี้มาก่อน แต่ว่า “ฝูชิวโจมตีกะทันหันเพื่อช่วยมือสังหารเพียงคนเดียวหรือ? ข้ามักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าความเชื่อมโยงในส่วนนี้ดูเหมือนขาดสิ่งใดไป และในเวลานั้นไม่เพียงมีคนชุดดำกว่าร้อยคนเข้ามาช่วยมือสังหาร ยังใช้อาวุธลับชนิดพิเศษนั้นด้วย หากจะบอกว่าฝูชิวและคนชุดดำกว่าร้อยคนนั้นมาเพื่อช่วยมือสังหาร เช่นนั้นมือสังหารผู้นั้นสำคัญเพียงนั้นเชียวหรือ?”
ฉุนหยางอ๋องครุ่นคิด “หากกล่าวเช่นนี้แล้วราวกับมีบางสิ่งยังไม่กระจ่างแจ้ง แต่รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง”
เป็เวลาหลายวันที่ตีปัญหานี้กันไม่แตก และไม่สามารถหาข้อสรุปเกี่ยวกับมือสังหารได้ หน่วยอาวุธลับและแคว้นฝูชิวมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร ด้วยเหตุที่ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ยังมีปัญหามากมายที่ขบคิดไม่แตก
“ไป ไปจวนแม่ทัพ” ซีเป่ยมีจวนแม่ทัพ กู้จวิ้นเฉินมาที่นี่เป็เวลาสี่เดือนแล้ว น้อยครั้งนักที่จะไปที่นั่น “หลี่จงิอยู่ที่นี่ เชิญเสด็จอา”
“เชิญฉีอ๋อง”
เขตชายแดนซีเป่ยมีชาวบ้านมาขายของตามริมทาง บางครั้งบรรยากาศก็คึกคักเช่นกัน ชาวบ้านนำสิ่งของมาค้าขายเป็เื่ที่ไม่ง่ายดายนัก กู้จวิ้นเฉินและฉุนหยางอ๋องเดินอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งๆ ที่มีบรรยกาศคึกคัก แต่ทว่ากลับรู้สึกปวดใจเล็กน้อย ด้วยไพร่ฟ้าประชาชนที่นี่อยู่กันอย่างยากลำบากเกินไป “เสด็จอาหลายวันมานี้เร่งเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย แล้วยังต้องมาอยู่ในค่ายทหารอีก หลายวันนี้ต้องพักผ่อนให้ดี”
“เร่งเดินทางไม่นับว่าลำบากอันใด หลังจากมาถึงแล้วได้ยินข่าวเื่ฉีอ๋องถูกลอบสังหารสิจึงตื่นตระหนก” ฉุนหยางอ๋องกล่าว เมื่อมาถึงค่ายทหารแล้วก็ยุ่งวุ่นวายจัดการกับสถานการณ์ภายในค่ายทหาร จึงได้แต่อยู่ในค่ายทหาร ยังไม่ได้พักผ่อนให้ดีจริงๆ
ภายในจวนแม่ทัพซีเป่ยกลายเป็สถานที่อ้างว้าง ั้แ่อวี๋เจิ้นซีหายตัวไป ที่นี่กลายเป็สถานที่ที่ไม่มีกลิ่นอายของมนุษย์ แต่ต่อให้อวี๋เจิ้นซีอยู่ที่นี่ เขาก็มักจะนอนอยู่ในค่ายทหารเสมอ
“ถวายบังคมท่านอ๋อง”
“ถวายบังคมท่านอ๋อง”
เมื่อข้ารับใช้ในจวนแม่ทัพเห็นกู้จวิ้นเฉินมาถึงจึงรีบคารวะ
“ท่านนี้คือฉุนหยางอ๋อง จะพักอยู่ในจวนแม่ทัพเป็การชั่วคราว รีบไปปัดกวาดห้องหับเสีย” กู้จวิ้นเฉินสั่งการ
“เพคะ”
เมื่อส่งฉุนหยางอ๋องเข้าที่พักแล้ว กู้จวิ้นเฉินจึงกลับไปยังเรือนของตน สีหน้าค่อยๆ เคร่งขรึมลง “เป็อย่างไรบ้าง?” เขาถามจวิ้นอี
“อยู่ในห้องลับพ่ะย่ะค่ะ” กู้จวิ้นเฉินรู้เื่ที่จวนแม่ทัพมีห้องลับ ต่อให้ก่อนหน้านี้กู้จวิ้นเฉินไม่เคยมาจวนแม่ทัพมาก่อน แต่รู้ในโครงสร้างการก่อสร้างของจวนแม่ทัพอย่างชัดเจน ก่อนเดินทางออกจากเมืองหลวงแม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋ได้พูดกับเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ทางซีเป่ย แน่นอนว่ารวมไปถึงเื่จวนแม่ทัพด้วย ทั้งยังมีหลี่จงิคอยแนะนำทุกอย่างเกี่ยวกับซีเป่ย กู้จวิ้นจึงคุ้นเคยกับพื้นที่และอาคารการก่อสร้างของจวนแม่ทัพเป็อย่างทะลุปรุโปร่ง
“พูดแล้วหรือไม่?” กู้จวิ้นเฉินถาม
“ไม่ยอมพูดพ่ะย่ะค่ะ” จวิ้นอีตอบ
“ฮึ เช่นนั้นก็ทำให้เขาร้องขอความตายดีกว่าอยู่” กู้จวิ้นเฉินแววตาเย็นเยียบ “ไป ไปดูเสียหน่อย”
คนในห้องลับมือและเท้าถูกล่ามไว้กับโซ่เหล็ก จวนแม่ทัพซีเป่ย มือของเขาข้างหนึ่งถูกตัดขาดไปแล้ว ขายังดูไม่เป็ไรอยู่แต่ทว่าไร้ซึ่งเรี่ยวแรง คนทั้งคนราวกับตายไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ตาย หากคนของค่ายทหารซีเป่ยยังอยู่ที่นี่ก็จะพบว่า นี่เป็มือสังหารที่ลอบสังหารกู้จวิ้นเฉิน
กู้จวิ้นเฉินเดินมาถึงเบื้องหน้าของอีกฝ่าย สายตาอันคมปลาบมองไปที่มือสังหารผู้นั้น “เ้าเป็หน่วยกล้าตายใช่หรือไม่?”
มือสังหารไม่เข้าใจว่ากู้จวิ้นเฉินถามคำถามนี้ด้วยจุดประสงค์อะไร ตนเองมาลอบสังหารเขา เขากลับถามคำถามไร้สาระนี้ขึ้นมา แต่ทว่า มือสังหารยังขบคิดไม่แตกถึงปัญหาหนึ่ง เขาคิดว่าตนเองได้ถูกคนช่วยแล้ว แต่กลับคาดไม่ถึงว่าสุดท้ายกู้จวิ้นเฉินจะใช้กลอุบายแอบยักยอกถ่ายเทสลับสับเปลี่ยน ฉีอ๋อง ช่างไม่ง่ายดายจริงๆ
“ในมือของข้าไม่มีหน่วยกล้าตาย” กู้จวิ้นเฉินเห็นเขาไม่ตอบ จึงไม่ได้ใส่ใจ “ข้าคิดว่าไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตาม ชีวิตของตนจึงจะสำคัญที่สุด ซื่อสัตย์จงรักภักดี ย่อมไม่เกิดขึ้นจากการบีบบังคับ”
“ฉีอ๋องไม่จำเป็ต้องพูดจาหลอกหล่อ อยากฆ่าก็ฆ่า” มือสังหารพูด
กู้จวิ้นเฉินมีสีหน้าเ็า “ข้าจะไม่สังหารเ้า”
หืม? มือสังหารคาดไม่ถึง
“แต่ ข้าจะให้เ้าอยู่ไม่สู้ตาย” คำพูดของกู้จวิ้นเฉินนี้ ทำให้มือสังหารเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน นี่เป็ความรู้สึกชนิดหนึ่งที่ร้ายแรงกว่าความตายที่กำลังจะมาถึง “ในเมื่อเ้าเตรียมจะมาสังหารข้า ก็ต้องเตรียมตัวที่จะเผชิญหน้ากับผลลัพธ์ทั้งหมด ไฉนเ้าจึงคิดว่าการตายนั้นง่ายดายนักเล่า?”
ั้แ่ถูกคนลอบสังหาร แคว้นฝูชิวซุ่มโจมตี คนปิดหน้าบุกค่ายทหาร กู้จวิ้นเฉินรู้สึกว่าเื่นี้ไม่ง่ายดาย ไม่ว่าจุดของประสงค์ของแคว้นฝูชิวที่แอบโจมตีนั้นจะเป็คนผู้นี้หรือไม่ แต่คนผู้นี้เป็กุญแจสำคัญในเื่นี้ ดังนั้นกู้จวิ้นเฉินจึงให้จวิ้นอีพาคนผู้นี้ออกมาท่ามกลางความวุ่นวาย จุดประสงค์นั้นมีอยู่สองประการ ประการแรก เพื่อให้หนอนบ่อนไส้ในค่ายทหารเห็น ประการที่สองคือ้าให้ผู้ที่อยู่เื้ัมือสังหารผู้นี้กระวนกระวายใจ
“เ้า...เ้า้าอย่างไรกันแน่?” มือสังหารถาม
กู้จวิ้นเฉินเงยหน้าขึ้น สั่งให้คนยกเก้าอี้มาตัวหนึ่ง จากนั้นนั่งลง “ตัดนิ้วของเขาทีละนิ้วๆ ให้เปิ่นหวาง เปิ่นหวางอยากจะดูว่า คนที่ร้องขอความตายนั้นกระดูกของเขาจะแข็งแค่ไหน?”
“พ่ะย่ะค่ะ” จวิ้นอีรับคำสั่ง ผู้ใต้บังคับบัญชารีบก้าวเข้ามา
สำหรับมือสังหารแล้วนั้น ฟันแค่เพียงดาบเดียวเขาไม่รู้สึกอันใด แต่เขามีมือเพียงข้างเดียว หากนิ้วทั้งห้าถูกตัดขาดทีละนิ้วๆ แล้วละก็ “อ๊ากกก...”
หลังจากเสียงดังก้องสะท้อนลากยาว ก็เป็เสียงร้องครางของมือสังหาร
“แรงไม่พอ เปิ่นหวางไม่ได้ยิน” กู้จวิ้นเฉินกล่าว
ต่อมา ทหารชั้นผู้น้อยก็ตัดนิ้วที่สองของอีกฝ่าย
สีหน้าของมือสังหารเดิมทีก็ซีดขาวอยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งเผือดขาวขึ้นไปอีก แม้แต่สีเืเพียงเล็กน้อยก็หามีไม่
“ได้ยินมาว่าบนตัวม้ามีแมลงชนิดหนึ่ง มันจะเจริญเติบโตอยู่บนเนื้อคนโดยเฉพาะ ไปหาไข่ของแมลงชนิดนั้นมาให้เปิ่นหวาง แล้วใส่ลงไปบนปากาแมือข้างที่ขาดของเขา” กู้จวิ้นเฉินกล่าวอีก
“พ่ะย่ะค่ะ” มีคนออกไปทันที
มือสังหารสั่นสะท้านไปทั้งตัว เด็กหนุ่มผู้นี้เพิ่งจะอายุสิบสี่ปี วิธีการของเขาช่างโเี้ทารุณ
“กลัวแล้วรึ? เคียดแค้นข้าหรือ? คิดว่าข้าแล้งน้ำใจ?” กู้จวิ้นเฉินพลันหัวเราะขึ้นมา “กับคนที่้าสังหารข้า เ้าคิดว่าข้าควรจะเมตตาตาเขาบ้างหรือ? ทำต่อไป ยังมีอีกสามนิ้ว นิ้วมือไม่พอก็นิ้วเท้า เปิ่นหวางชมชอบที่ได้ยินเสียงของเขาที่ร้องดังขึ้น เ็ปทรมานมากขึ้น”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ในห้องลับ เสียงร้องของมือสังหารดังขึ้นเรื่อยๆ แต่น้ำเสียงที่กู้จวิ้นเฉินใช้พูดจานั้นยังคงเรียบเรื่อยดุจสายลม “น่าแปลกนัก เหตุใดเปิ่นหวางจึงรู้สึกว่ายังไม่ดังพอ?”
“ท่านอ๋อง ไข่ของแมลงหาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ?” กู้จวิ้นเฉินลุกขึ้นยืน “ไปถามหมอเทวดาเมิ่งว่าไข่ของแมลงชนิดนี้ต้องใช้เวลากี่วันจึงจะฟักตัวกลายเป็หนอน และเมื่อหนอนกินเนื้อจากแขนข้างที่ขาดของเขาแล้วเข้าสู่ร่างกายของเขาต้องใช้เวลาอีกกี่วัน?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“พอแล้ว” มือสังหารร้อง “ข้ายอมแล้ว ข้าจะสารภาพยังไม่พออีกหรือ?”
“จวิ้นอี เตรียมกระดาษและพู่กัน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เป็องค์ชายใหญ่” มือสังหารกัดฟันพูด “เป็องค์ชายใหญ่และเสนาบดีฉินส่งข้ามาสังหารท่าน”
กู้จวิ้นเฉินหรี่ตาลง “เหตุผลเล่า?”
“ข้าเป็เพียงหน่วยกล้าตายคนหนึ่ง ข้าจะไปรู้เหตุผลได้อย่างไรเล่า?” มือสังหารย้อนถาม
“เช่นนั้นหรือ?” กู้จวิ้นเฉินยกมุมปากขึ้นสูง “จวิ้นอี บันทึกคำสารภาพของเขาเอาไว้ ให้ทำเครื่องหมายเขา เ้าและทหารรักษาพระองค์จำนวนยี่สิบคน นำคำสารภาพพร้อมด้วยมือสังหารผู้นี้กลับเมืองหลวง มอบให้เสด็จอาตัดสินพระทัย”
“แต่ความปลอดภัยของท่านอ๋อง...” จวิ้นอีวางใจไม่ลง
“ข้าจะให้หลี่จงิทำหน้าที่แทนเ้าชั่วคราว อีกทั้งยังมีเมิ่งเต๋อหลาง อั้นสุ่ย อั้นถู่ และอั้นหั่ว ล้วนอยู่ที่นี่ ไม่เป็ไร” กู้จวิ้นเฉินไม่แยแส แต่ผู้ที่จะคุ้มกันมือสังหารนั้น นอกจากจวิ้นอีแล้ว เขาไม่วางใจใครทั้งสิ้น
“พ่ะย่ะค่ะ”
วันรุ่งขึ้น
จวิ้นอีพร้อมทหารรักษาพระองค์ยี่สิบคนพร้อมกับมือสังหารออกเดินทาง
ณ ค่ายทหารซีเป่ย
กู้จวิ้นเฉินเห็นเหล่าทหารกำลังฝึกซ้อม ด้านหลังมีรองแม่ทัพทั้งห้า และรองแม่ทัพแนวหน้าขนาบข้าง “ระยะเวลาสี่เดือนกำลังจะผ่านไป ก่อนที่แม่ทัพน้อยอวี๋จะกลับมา ข้าเชื่อว่าค่ายทหารซีเป่ยต้องดีขึ้นเรื่อยๆ” เขากล่าว “จวิ้นอี...”
เนิ่นนานเมื่อไม่ได้ยินเสียงขานรับ กู้จวิ้นเฉินตะลึงไปอึดใจหนึ่ง
“ท่านอ๋อง องครักษ์จวิ้นอีวันนี้ไม่ได้มาพ่ะย่ะค่ะ” รองแม่ทัพจางกล่าว
“ใช่แล้ว ข้าก็ไม่เห็น” หลี่จงิกล่าว
“เป็ความเคยชินของเปิ่นหวางเอง” กู้จวิ้นเฉินโบกไม้โบกมือ “เขานำตัวมือสังหารที่ลอบโจมตีเปิ่นหวางคืนนั้นกลับเมืองหลวงไปแล้ว”
“ความหมายของท่านอ๋องคือ?” รองแม่ทัพเฉียนที่อาการาเ็ดีขึ้นแล้วสงสัย “เป็มือสังหารที่ถูกท่านอ๋องตัดแขนผู้นั้นหรือ? เขาไม่ใช่ถูกช่วยไปแล้วหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ใช่แล้ว ไม่ใช่คนชุดดำกลุ่มนั้นบุกเข้ามาช่วยอีกฝ่ายไปแล้วรึ?”
“นี่มันเกิดเื่อันใดขึ้น? หรือว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ว่าถูกคนช่วยไปแล้ว แต่อยู่ที่ท่านอ๋อง?” รองแม่ทัพไต้ถาม
กู้จวิ้นเฉินมองไปที่พวกเขา “มิผิด เป็เปิ่นหวางที่ฉวยโอกาสใน่เวลาชุลมุนนำตัวเขาออกมา การแอบโจมตีของแคว้นฝูชิวช่างบังเอิญนัก”
สายตาของกู้จวิ้นเฉินพาดผ่านไปที่ท่ามกลางพวกเขาทั้งหมด คนทั้งหมดไม่กระจ่างแจ้งถึงสีหน้าและสายตาของเขา แต่ทว่ากู้จวิ้นเฉินคือฉีอ๋องผู้สูงศักดิ์ พวกเขาย่อมไม่กล้ากำเริบเสิบสาน ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงได้ยินน้ำเสียงที่เรียบเรื่อยสงบนิ่งของเขา “ทำไมรึ หากว่าด้วยเื่ส่วนตัว ผู้ที่เขา้าสังหารคือเปิ่นหวาง ว่าด้วยเื่ส่วนรวม นี่ก็เป็เื่ส่วนตัวของเปิ่นหวาง เปิ่นหวางไม่รู้ว่ามีความเกี่ยวพันกับค่ายทหารซีเป่ยอย่างไร เปิ่นหวางจำเป็ต้องบอกกล่าวกับพวกท่านด้วยรึ”