คำพูดของท่านชายซูทำให้ลานที่เงียบอยู่แล้วจมอยู่ในความเงียบเข้าไปอีก
ไม่มีใครทราบว่าเขาจะพูดเสริมอีกหนึ่งประโยค “จำนวนสองที่ เปิ่นกงจื่อรับไว้ทั้งหมด! ”
นี่…
กูเฟยเยี่ยนรู้สึกโกรธแล้ว ดูจากคำพูดประณามของหมอนั่นที่กล่าวหาว่านางแย่งจำนวนที่เหลือเมื่อสักครู่นี้ เขาก็แค่้าหนึ่งที่เท่านั้น เมื่อสักครู่นี้เขาเจตนากล่าวหานาง ตอนนี้ตนเองจะเรียกว่าเจตนาไม่ใช่หรือ?
กูเฟยเยี่ยนกำลังจะเอ่ยออกมาแต่จวินจิ่วเฉินได้แย่งพูดก่อน ใบหน้าของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ น้ำเสียงเ็าประดุจน้ำแข็ง “มาก่อนได้ก่อน ไม่สามารถต่อรองได้ เื่ที่เ้าแตะต้องคนของข้า เื่นี้ไม่จบแน่! ”
ท่านชายซูกระทืบเท้าในลักษณะกระตุ้งกระติ้งดั่งผู้หญิงพลันเหยียบไปที่แผ่นจี้หยกที่อยู่บนพื้นด้วยเท้าข้างหนึ่ง จากนั้นจึงส่งสายตาตักเตือนไปให้จวินจิ่วเฉิน “เ้าดูให้ชัดเจน เปิ่นกงจื่อเห็นแก่หน้าคุณหนูตระกูลหาน ไม่ได้เห็นแก่หน้าเ้า! ”
จวินจิ่วเฉินไม่พูดจาไร้สาระ เขาเหยียบลงไปอย่างรุนแรง จากนั้นจี้หยกที่อยู่ใต้เท้าของท่านชายซูก็ลอยขึ้นมาห้อยโหนกลางอากาศต่อหน้าของท่านชายซูราวกับพร้อมที่จะกระแทกหน้าเขาได้ทุกวินาที
เห็นได้ชัดว่าท่านชายซูใมาก ในขณะเดียวกันคุณหนูสามตระกูลหานก็รีบวิ่งเข้ามาขัดขวางที่ด้านหน้าของท่านชายซู หญิงสาวโน้มน้าวด้วยความร้อนใจ “พวกท่านหยุดทะเลาะกันได้แล้ว ท่านชายเฉิน ที่นี่คือหุบเขาเสินหนง หากทะเลาะต่อไปพวกท่านจะถูกไล่ออกไปด้านนอก”
เห็นได้ชัดว่าจวินจิ่วเฉินไม่เห็นแก่หน้าคุณหนูสามตระกูลหาน เขาทั้งเ็าและดึงดัน “ขอโทษเดี๋ยวนี้! ”
เมื่อได้ยินคำพูดของคุณหนูสามตระกูลหาน ท่านชายซูก็คิดอะไรบางอย่างออก เขาผลักคุณหนูสามตระกูลหานออกไปแล้วจงใจแสดงท่าทียั่วยุออกมา “หากเปิ่นกงจื่อบอกว่าไม่ล่ะ? ”
จวินจิ่วเฉินเกิดโทสะแล้วจริงๆ ถึงขนาดที่กูเฟยเยี่ยนสามารถรับรู้ได้ถึงความโกรธของเขา หากเขาลงมืออีกครั้ง ไม่รับรองว่าอาจจะทำให้ท่านชายซูผู้นี้พิการ
“ท่านชาย ช่างเถอะ อย่าไปถือสาเขา เื่นั้นสำคัญกว่า! ”
กูเฟยเยี่ยนกลัวว่าตนเองจะโน้มน้าวไม่ไหว นางจึงได้ดึงแขนของจวินจิ่วเฉินมาแล้วเขย่งปลายเท้ากระซิบข้างใบหูเขา “เตี้ยนเซี่ย อย่าหลงกล เขาจงใจยั่วยุท่าน! หากว่าทำให้ผู้ดูแลหุบเขาเสินหนงโกรธ พรุ่งนี้พวกเราก็อาจจะเข้ามาที่นี่ไม่ได้แล้ว อีกทั้งหากทะเลาะต่อไปแล้วทำให้จิ้งจอกเฒ่าไหวตัวทันจะทำอย่างไรดี? ”
แม้ว่ากูเฟยเยี่ยนจะโน้มน้าวเช่นนี้ ทว่านางเองก็ยังคงไม่พอใจเช่นกัน นางกำลังจะปล่อยมือแต่ก็คว้าไว้แล้วกระซิบอีกว่า “เตี้ยนเซี่ย รอให้พวกเราจัดการเื่สำคัญเสร็จ พวกเราค่อยไปดักรอเขาที่หน้าประตูศิลา เมื่อออกจากหุบเขาเสินหนงแล้วพวกเราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีโอกาสจัดการกับเขา! ”
จวินจิ่วเฉินเห็นว่าใบหน้าเล็กของกูเฟยเยี่ยนมีท่าทีที่ค่อนข้างชั่วร้ายอำมหิต ความโกรธของเขาจึงลดน้อยลง ท้ายที่สุดเขาก็พยักหน้าให้นาง ใน่เวลาเช่นนี้ การมีเื่ทะเลาะเบาะแว้งที่หุบเขาเสินหนงไม่ใช่การกระทำที่ชาญฉลาดนัก
เดิมทีคุณหนูสามตระกูลหานมีความร้อนใจ แต่เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เป็เช่นนี้สีหน้าของนางก็เกิดความแข็งทื่อในทันที จิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยไม่เห็นแก่หน้านางก็ช่างแล้ว แต่นี่กลับเห็นแก่หน้าคนรับใช้ต่อหน้านางเนี่ยนะ? !
นางจำเป็ต้องพิจารณากูเฟยเยี่ยนใหม่อย่างละเอียดถี่ถ้วนเสียแล้ว ภายในใจของนางในตอนนี้คือทั้งโกรธ อับอาย และไม่พอใจ
อันที่จริงการพบกันโดยบังเอิญเมื่อสักครู่นี้ นางก็สังเกตได้ถึงการมีอยู่ของกูเฟยเยี่ยนแล้ว ชั่วพริบตาเดียวนางก็มั่นใจว่ากูเฟยเยี่ยนคือแพทย์หญิงกูที่่เวลาไม่กี่เดือนนี้มีข่าวลือมากมายกระจายในเมืองจิ้นหยาง
นางชื่นชอบจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยมาสามปีแล้ว และทราบดีว่าเขาเป็คนแบบไหน ไม่ว่าข่าวลือที่แพร่กระจายเ่าั้จะมีความจริงอยู่มากน้อยเพียงใดนางก็ไม่สนใจและไม่เชื่อแม้แต่ประโยคเดียว เดิมทีนางคิดว่าหลังจากที่มาที่นี่เป็เพื่อนท่านชายซูแล้ว นางจะฉวยโอกาสใช้เหตุผลในการส่งของไปเยี่ยมเยียนที่จิ้งหวางฝู่เพื่อสืบเสาะหาความจริง
ทว่าบัดนี้ภาพตรงหน้าก็คือความจริงที่นางอยากรู้ไม่ใช่หรือ?
สิ่งที่หญิงสาวชื่นชอบมากที่สุดก็คือการหลอกลวงตนเองและหลอกลวงผู้อื่น ในขณะเดียวกันสัญชาตญาณและการตัดสินใจของหญิงสาวก็แม่นยำจนไม่สามารถหลอกลวงตนเองได้
เมื่อดูจากการโยนจี้หยกออกไปด้วยความเร็วเมื่อสักครู่นี้ บวกกับท่าทางพยักหน้าของเขา มันก็เพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วว่าแพทย์หญิงกูผู้นี้เป็ผู้ที่ได้รับข้อยกเว้นจากจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยเช่นเดียวกับนาง แถมดูเหมือนว่าจะมากกว่านางเสียอีก!
บนโลกใบนี้มีสตรีมากมายที่เลื่อมใสศรัทธาจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ย แต่จิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยทรงไม่กีดกันนางและยินยอมพูดคุยกับนางที่เป็หญิงสาวเพียงคนเดียวเท่านั้น ในตอนนี้มีกูเฟยเยี่ยนเพิ่มเข้ามา นางก็ไม่อาจนับได้ว่าเป็เพียงคนเดียวอีกแล้ว!
นางคือหานอวี๋เอ๋อร์ คุณหนูสามที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดของตระกูลป้อมปราการหาน นางคือบุตรสาวบุญธรรมที่ฟูเหรินเ้าของป้อมปราการให้ความสำคัญมากที่สุด เป็อาจารย์แพทย์ที่จบมาจากหุบเขาเสินหนง ทว่ากูเฟยเยี่ยนเป็เพียงแค่แพทย์หญิงตัวน้อยที่โชคดีวินิจฉัยลิ่วตันซางลู่ออกมาได้ไม่ใช่หรือ? กูเฟยเยี่ยนมีสิทธิ์อะไรมาแย่งชิงกับนาง?
ความรู้สึกของนางในตอนนี้ราวกับถูกคนรับใช้ที่มีฐานะต่ำต้อยเหยียดหยามอย่างรุนแรง ทว่าการเหยียดหยามนางนั้นไม่สำคัญ การแย่งชิงจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยกับนาง นางไม่อนุญาตอย่างแน่นอน!
“เหอะ ที่แท้ก็ทำได้เพียงพูดจาโอ้อวดเนี่ยนะ! ”
น้ำเสียงเยาะเย้ยของท่านชายซูปลุกหานอวี๋เอ๋อร์ให้ตื่นจากการจมลึกอยู่ในความคิดของตนเอง นางซ่อนความไม่เต็มใจและความไม่ยินยอมไว้ในใจ จากนั้นจึงหันมาพูดกับท่านชายซูด้วยความจริงจัง “พวกเรามาทีหลังจริงๆ หากท่านจะก่อเื่ทะเลาะเบาะแว้งต่อไปก็เล่นไปคนเดียว ข้าไม่มีหน้าอยู่เป็เพื่อนท่าน! ”
หลังจากที่นางพูดจบก็เดินไปหาจวินจิ่วเฉิน เรียวคิ้วงดงามของนางผูกกันเป็ปม ทั้งโกรธ ทั้งจำใจ
นางพูดอย่างจริงจังว่า “ท่านชายเฉิน แม้ว่าพวกเราจะเป็สหายกันแต่ข้านั้นไม่ลำเอียงอย่างแน่นอน ข้าสามารถพิสูจน์ให้เด็กที่ดูแลยาได้ว่าท่านมาก่อนเขามาทีหลัง ข้าไม่กลัวว่าจะมีปัญหากับเขา ในส่วนที่เขาได้ลงไม้ลงมือกับหญิงรับใช้ของท่าน ท่านก็ได้ให้บทเรียนเขาแล้ว นับว่าเท่าเทียมกันแล้วละกัน”
แม้ว่านางจะชื่นชอบเขามาก แต่ต่อหน้าจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยนางไม่มีทางแสดงความต่ำต้อยและความหลงใหลออกมา นางทราบดีว่าเขาไม่โปรดปรานหญิงสาวแบบนั้น นางยังทราบอีกว่าเขาชื่นชอบดอกเหลียนเฉียว ชื่นชอบต้นคงชี่เฟิ่งหลี และชื่นชอบดวงดาวบนฟากฟ้าและพระจันทร์เต็มดวงในวันขึ้นสิบห้าค่ำ
จวินจิ่วเฉินไม่ได้สนใจเื่นี้ต่อ แต่เขายังคงสนใจหานอวี๋เอ๋อร์ “คุณหนูสามตระกูลหานก็มาตามหาสมุนไพรหรือ? ”
เมื่อเห็นว่าจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยทอดพระเนตรมาที่ตนเอง ใจของหานอวี๋เอ๋อร์ก็เต้นแรงขึ้น นางอดทนทำท่าทีเป็สงบนิ่ง ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มบางเบา “มาเป็เพื่อนท่านชายซู”
นางชำเลืองตามองกูเฟยเยี่ยนครู่หนึ่งพลางเอ่ยขึ้นว่า “ท่านชายเฉิน ผู้ที่มาตามหาสมุนไพรที่นี่ล้วนมีเหตุผลทั้งสิ้น หากไม่จำเป็ การที่มีจำนวนที่เพิ่มอีกหนึ่งที่ก็ไร้ประโยชน์ ทำไมพวกเราไม่ทำเื่ให้สะดวกต่อคนอื่นและสะดวกต่อตัวเราล่ะ”
คำพูดของนางฟังดูแล้วยุติธรรม แต่ได้แฝงความหมายกล่าวหาว่ากูเฟยเยี่ยนกลั่นแกล้งคนอื่นและพยายามจำนวนสองที่สุดท้ายชัดๆ หากไม่ใช่เพราะกูเฟยเยี่ยนที่ริเริ่มหาเื่ก่อน มันจะไปมีเื่ราวที่ไม่พอใจตามมาหรือ?
แต่ใครจะไปทราบว่าจวินจิ่วเฉินจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเ็า “ไม่สะดวก”
หลังจากที่เขาเอ่ยจบเขาก็เดินไปที่ฐานโต๊ะ กูเฟยเยี่ยนจึงได้โอกาสมองไปที่คุณหนูสามตระกูลหานด้วยความจริงจัง
ในตอนแรกนางมีความประทับใจต่อคุณหนูสามตระกูลหาน แต่เมื่อได้ยินคำพูดเสียดสีเมื่อสักครู่นี้แล้ว นางจึงเกิดความไม่ชอบ
ต้องยอมรับว่าเมื่อมองดูอย่างจริงจังแล้วคุณหนูสามตระกูลหานงดงามมากจริงๆ ทั้งเข้มแข็งและมีความอ่อนโยน บนใบหน้ามีเสน่ห์เย้ายวนใจ หญิงสาวประเภทนี้เรียกได้ว่ามีความสง่างามที่พบได้ในตระกูลสูงศักดิ์ นางคือสตรีที่สามารถคว้าใจบุรุษได้
กูเฟยเยี่ยนสังเกตเห็นโดยไม่ได้ตั้งใจว่าบนเอวของหญิงสาวคนห้อยต้นพืชที่ไม่ทราบชื่อและมีความยาวหนึ่งชุ่นเอาไว้อยู่ ต้นพืชนั้นดูเหมือนเป็ต้นหญ้าไม่ก็สมุนไพร สรุปคือเป็ต้นพืชนางไม่เคยพบเห็นมาก่อน
หญิงสาวทั่วไปมักจะห้อยดอกไม้ไว้บนร่างกาย คุณหนูสามตระกูลหานห้อยสิ่งใดและมีประโยชน์อย่างไรกัน? เป็ไปได้หรือไม่ว่านางป่วยอยู่จึงต้องห้อยต้นพืชเพื่อรักษาอาการ?
กูเฟยเยี่ยนไม่มีเวลาให้ครุ่นคิดมากนัก นางกำลังจะไปที่ฐานโต๊ะ แต่ท่านชายซูที่อยู่ด้านข้างกลับก้าวนำไปก่อนหนึ่งก้าวแล้วเข้าไปใกล้จวินจิ่วเฉิน เขาพูดกับเด็กที่ดูแลยาว่า “เปิ่นกงจื่อมาพร้อมกันกับพวกเ้า ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเ้าต้องให้จำนวนที่ข้ามาหนึ่งที่! ”
จวินจิ่วเฉินขัดขวางเขาอย่างไร้ร่องรอย แต่เด็กที่ดูแลยาหน้าฐานโต๊ะกลับเอ่ยว่า “พวกท่านไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว ข้าจะไปสอบถามผู้ดูแลแล้วให้ผู้ดูแลเป็คนตัดสินใจ”