เมื่อมาถึงร้านอาหาร กัวรุ่ยหานสั่งอาหารขึ้นชื่อมากมายหลายอย่างมาให้จื่อต้าหลงได้ลิ้มลอง จื่อต้าหลงในตอนนี้หิวจะแย่ เมื่ออาหารมาถึงเขาก็กินทันที “โอ๊ะ!! อร่อยมาก!” จื่อต้าหลงสวาปามอย่างรวดเร็วจนกัวรุ่ยหานถึงกับต้องสั่งมาเพิ่ม “ข้าขอสุราด้วย” จื่อต้าหลงบอกกัวรุ่ยหาน เป็เหตุให้นางต้องสั่งสุราและรินให้กับเขาอีกยกใหญ่ ทั้งคู่คุยเล่นกันไปจนจื่อต้าหลงกินอิ่ม “เ้ากินน้อยจัง ไม่หิวรึ….?” จื่อต้าหลงถาม
“ข้าเห็นท่านกินก็อิ่มแล้วเ้าค่่ะ ฮิฮิ” กัวรุ่ยหานกล่าวพลางยกมือขึ้นมาปิดปากยิ้ม หลังจากอิ่มแล้ว หญิงสาวก็พาจื่อต้าหลงไปเดินเล่นเพื่อย่อยอาหาร นางพาเขาเดินผ่านบรรยากาศยามค่ำคืน โคมไฟระย้าส่องแสงสว่างสลัวๆพร้อมกับเหล่าดอกไม้ต้นไม้นาชนิดที่รายล้อมตลอดสองข้างทาง ช่างเป็การเดินเล่นที่เพลิดเพลินยิ่งนัก นึกได้ดังนั้นจื่อต้าหลงจึงหยิบสุราดอกไม้ขึ้นมาดื่ม พร้อมกับส่งให้กัวรุ่ยหาน หญิงสาวรับสุรามาดื่มต่อจากเขาด้วยท่าทีเขินอาย หลังจากเดินไปได้สักพัก นางก็บอกว่า “คืนนี้พระจันทร์สวยจัง”
จื่อต้าหลงยิ้มพลางกล่าวกับนางว่า “พระจันทร์สวยมาตั้งนานแล้ว เหมือนเ้าไง…”
กัวรุ่ยหานที่ได้ยินดังนั้นถึงกับเขินอายใบหน้าแดงระเรื่อ นางม้วนตัวบิดไปบิดมาอย่างน่าขัน ช่างน่าเอ็นดูเสียนี่กระไร?
หลังจากแกล้งกันเสร็จจื่อต้าหลงก็อาสาเดินไปส่งกัวรุ่ยหานที่บ้าน เมื่อมาถึงประตูบ้านกัวรุ่ยหานถามขึ้นมาว่า “เราจะยังได้พบกันอีกมั้ย?”
“แน่นอนว่าต้องได้พบ ข้ายังอยู่เมืองนี้อีกนานนัก” จื่อต้าหลงตอบยิ้มๆ
“ถ้างั้นพวกท่านย้ายมาพักในจวนข้ามั้ย? ที่ตระกูลมีห้องรับแขกเหลือเฟือเลย” กัวรุ่ยหานกล่าวชักชวน ไหนๆที่บ้านนางก็มีห้องพักเหลืออยู่มากมาย อีกอย่างนางเองก็อยากอยู่กับจื่อต้าหลงนานๆด้วย
“ได้ด้วยรึ? ท่านปู่เ้าคงไม่ว่าอะไรกระมัง?” จื่อต้าหลงถาม
“ได้แน่นอน ท่านเป็ถึงผู้ช่วยชีวิตหลานสาวสุดรักของเขาเลยนะ” กัวรุ่ยหานตอบยิ้มๆ
“งั้นข้าจะไปชวนสหายอีกสองคนมาด้วยนะ เจอกันพรุ่งนี้เวลาเดิมนะ ตกลงหรือไม่?” จื่อต้าหลงกล่าว
“ได้เลยเ้าค่ะ” กัวรุ่ยหานตอบ
“งั้นข้าไปล่ะ” กล่าวจบจื่อต้าหลงก็โบกมือลานางจากนั้นจึงเดินกลับไปที่โรงเตี๊ยมของตัวเอง ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ ได้ที่พักฟรี ข้าวฟรี ตั้งหลายวันแถมยังได้เจอสาวงามด้วย เฉิงไฉเซียวกับลวี่เหรินย่อมไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน เพราะพวกเขาเองก็คงชอบที่ได้ใกล้ชิดหญิงสาวตระกูลกัว
หลังจากกลับถึงโรงเตี๊ยม จื่อต้าหลงขึ้นไปยังชั้นสอง เขาเห็นสองหนุ่มกลับมากันแล้วก็รีบเข้าไปร่วมวงสนทนาด้วยทันที
“เฮ้ เป็อย่างไรบ้าง?” จื่อต้าหลงกล่าวถามทั้งคู่
“ฮ่าๆๆ สองสาวที่ไปกับข้าน่ารักมาก พวกนางเป็กันเองสุดๆ” เฉิงไฉเซียวกล่าวดูท่าทางอารมณ์ดีอยู่ไม่น้อย
“ของข้าก็เหมือนกัน….” ไม่ต้องเสียเวลาให้จื่อต้าหลงถามลวี่เหรินชิงบอกออกมาก่อนเลย
“งั้นรึดีแล้ว ั้แ่พรุ่งนี้พวกเราไม่ต้องพักโรงเตี๊ยมกันแล้วนะ เพราะว่าข้าได้รับเชิญจากแม่นางกัวรุ่ยหานให้ไปเป็แขกที่ตระกูลกัว ทีนี้พวกท่านจะได้เจอพวกนางบ่อยขึ้นไงล่ะ” จื่อต้าหลงกล่าวยิ้มๆ
เฉิงไฉเซียวได้ยินดังนั้นก็ตบไหล่จื่อต้าหลงอยู่ 2-3 ครั้ง เป็สัญญาณประมาณว่า เ้าทำได้ดีมาก มันต้องอย่างนี้สิสหายข้า!
“พวกบ้าผู้หญิง…”ลวี่เหรินกล่าวเสียงเรียบ
“หุบปากไปเลยนะเ้าเองก็ขี้หลีเหมือนกันนั้นแหละ” จื่อต้าหลงกล่าวพลางพ่นลมออกมาจากจมูก
ลวี่เหริน "…."
“ตกลงตามนี้พรุ่งนี้ยามเที่ยงพวกเราไปที่จวนตระกูลกัวกัน” จื่อต้าหลงกล่าว
วันถัดมายามเที่ยงสามหนุ่มก็พากันไปที่ตระกูลกัว มีกัวรุ่ยหาน ออกมาต้อนรับอย่างอบอุ่น หลังจากพาไปดูห้องพักเสร็จ พวกเขาก็นัดกันไปชมเมือง เมืองดอกไม้แม้จะไม่ใหญ่โตมากมายแต่นับว่าเป็เมืองที่สวยงดงามเมืองนึงเลยก็ว่าได้ บางทีได้ท่องเที่ยวเมืองเล็กๆ บ้างก็ทำให้จิตใจรู้สึกสงบได้ ในหลายวันมานี้ พวกเขาเที่ยวกันทุกซอกทุกมุมของเมือง ความสนิทก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ
เมืองดอกไม้สงบยิ่งนัก ถึงแม้จะมีนักท่องเที่ยวเยอะมากมายไปด้วยฝูงชน แต่ก็ยังรักษาบรรยากาศสงบๆได้ น้อยครั้งที่จะมีเื่เอะอะโวยวายเกิดขึ้นในเมือง ผู้คนมักอยู่กันอย่างสงบ
วันนี้ จื่อต้าหลงกับกัวรุ่ยหานก็ไปเที่ยวกันสองคนในเมืองเช่นเคย บรรกากาศข้างทางยังคงเต็มไปด้วยดอกไม้หอมนานาชนิด ระหว่างที่กำลังเดินเล่นอยู่นั้น ทั้งสองเห็นกลุ่มคนแบกร่างทหารตรวจการของเมืองใส่เปลไว้สามคนกำลังถูกหามมา เห็นดังนั้น ด้วยความที่เป็หลานสาวเ้าเมืองกัวรุ่ยหานจึงเข้าไปสอบถามเื่ราว
“พี่เหยาเกิดอะไรขึ้นหรือ?” กัวรุ่ยหานถาม
ทหารประจำการที่ชื่อว่า กัวเหยา ตอบมาว่า “วันนี้ทหารลาดตระเวณโดนทำร้าย สภาพกึ่งเป็กึ่งตาย พวกเขาเล่าให้ฟังว่า ไปพบกับกองโจรโลหิตเข้า จึงได้เกิดการปะทะกัน ไปสิบคนหนีรอดมาได้แค่สามคนนี้เท่านั้น ระหว่างนี้เ้าก็ไม่ควรออกไปไหน กองโจรโลหิต มีชื่อเสียงเื่ปล้นฆ่า หากมัวแต่เพ่นพ่าน…. จะต้องตกเป็เป้าหมายของพวกมันแน่”
“พี่เหยากองโจรโลหิตน่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียวหรือเ้าคะ?” กัวรุ่ยหานถาม
“แน่นอนว่าพวกมันโด่งดังในระแวกนี้ พวกมันออกปล้นหมู่บ้าน ออกปล้นเมือง อยู่เป็นิจ วิธีการปล้นของพวกมันโเี้มากนัก! หากมีผู้ใดปฏิเสธการปล้นพวกมันก็จะฆ่าทิ้ง กองโจรโลหิต ออกปล้นมาตลอดหลายปีนี้ ทำให้ชื่อเสียงของพวกมันโด่งดังมาถึงที่นี่ ไม่รู้ว่าพวกมันปล้นกันมาแล้วกี่หมู่บ้านกี่เมือง” กัวเหยาตอบด้วยเสียงขรึม
“พวกมันมาป้วนเปี้ยนแถวเมืองเรา… หรือว่าพวกมันคิดที่จะปล้นเมืองเรา?” กัวรุ่ยหานถามน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย
“แน่นอน… เป้าหมายของพวกมันคือเมืองของพวกเราอย่างแน่นอน! ข้ากำลังจะเอาเื่นี้ไปรายงานท่านเ้าเมืองอยู่พอดี” กัวเหยากล่าว
“งั้นข้าขอไปด้วยนะเ้าคะ” กัวรุ่ยหานกล่าว
“งั้นจงตามข้ามา” กัวเหยากล่าวพร้อมกับเดินนำไปจวนตระกูลกัว
หลังจากมาถึงที่จวน พวกเขาก็ขอเข้าพบเ้าเมืองทันที จื่อต้าหลงเองก็ตามพวกเขาไปด้วย เด็กหนุ่มมีสิทธิ์เข้าถึงห้องประชุมอยู่แล้วในฐานะแขกผู้มีพระคุณของเ้าบ้าน
ณ โถงประชุม
“ท่านเ้าเมือง ขณะนี้ เมืองของเรากำลังเจอกับเหตุร้าย ทหารยามลาดตระเวณ 10 คน ถูกสังหารไป 7 รอดกลับมาเพียง 3 พวกเขาถูกสังหารโดยกองโจร”กัวเหยากล่าวรายงานน้ำเสียงฟังดูเคร่งเครียด
“เ้าว่าไงนะ?! ถูกสังหารไป 7 เลยงั้นรึ? กองโจรกลุ่มนี้ช่างเหิมเกริมยิ่งนักพวกมันเป็กองโจรใดกัน?!” กัวจื่อหรานกล่าวถาม
กัวเหยากล่าวว่า “เป็กองโจรโลหิตขอรับ!!”
“กองโจรโลหิตที่กำลังโด่งดังในระแวกนี้น่ะรึ?!!” ได้ยินดังนั้นกัวจื่อหรานถึงกับใบหน้าซีดเซียด
เขารู้มาว่ากองโจรนี้ออกปล้นฆ่า ทั้งหมู่บ้าน ทั้งเมืองเล็ก พวกมันกระทำการอย่างโเี้ ชอบการฆ่าคนเป็นิสัย ไปที่ไหนที่นั่นถูกย้อมไปด้วยโลหิต พวกมันจึงได้ถูกขนานนามว่า‘กองโจรโลหิต’ตัวหัวหน้า ซ่งเหว่ยหนาน บรรลุถึงลมปราณจิตระดับ 10 ขั้นปลายแล้ว ใกล้บรรลุขั้นลมปราณปฐีเต็มที ซึ่งเป็ไปไม่ได้เลยที่ กัวจื่อหรานจะต่อกรได้ เพราะตัวกัวจื่อหรานเองนั้นบรรลุลมปราณจิตขั้น 8 เท่านั้น!
สำหรับเมืองเล็กๆอย่างเมืองดอกไม้ ผู้ที่บรรลุปราณจิตระดับ 8 ได้้นั้น นับว่าไร้เทียมทานเป็ตัวตนอันสูงส่งแล้ว ซึ่งในเมืองดอกไม้ มีเพียง กัวจื่อหรานที่เป็เ้าเมืองเท่านั้นที่บรรลุถึงปราณจิตขั้นที่ 8 ที่เหลือก็ไม่ค่อยมีใครบรรลุระดับลมปราณจิตแล้ว ส่วนใหญ่จะอยู่ในขั้นลมปราณก่อเกิดกันทั้งนั้น มีเพียงไม่กี่คนที่บรรลุระดับปราณจิตได้ เช่นกัวเหยา เขาเองบรรลุถึงลมปราณจิตขั้นที่ 3 นับว่าเป็หัวหน้าผู้คุมกฏของเมืองแห่งนี้
