ยามเช้าวันต่อมา
ไป๋หยุนเฟยค่อยๆลืมตาขึ้นหลังจากฝึกปรือมาทั้งคืน ดวงตามันสาดประกายเจิดจ้า จากนั้นก็กลับเป็ปกติราวกับไม่มีอันใดเปลี่ยนแปลง มีเพียงแววตาที่ดูกระจ่างใสกว่าเดิม
“คาดไม่ถึงว่าจะเป็เช่นนี้ ข้าเพียงสามารถควบคุมจุดิมู่เท่านั้น ที่เลวร้ายกว่าคือควบคุมได้เพียงระดับแรกเริ่ม แต่ยังดีที่ดวงตาข้ามองเห็นได้แจ่มชัดขึ้น ไม่เพียงแต่มองเห็นได้ไกลขึ้นยังเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น...” ไป๋หยุนเฟยครุ่นคิดในใจยามที่หันไปมองรอบด้าน
“เช่นนั้นต่อไปข้าสมควรศึกษาจุดชีพจรทั้งหลายบนแขนทั้งสองก่อน ตามที่คัมภีร์กล่าวถึงประสิทธิภาพของจุดเหล่านี้ หากข้าสามารถควบคุมได้อย่างช่ำชองจะสามารถใช้วิชาระลอกคลื่นขั้นที่สองนามพลังหมัดเก้าทบได้โดยไม่ยากเย็น”
ที่จริงมันสามารถใช้พลังหมัดเก้าทบได้ก่อนแล้วั้แ่ระดับปลายด่านปัจเจกิญญา แต่ค่าตอบแทนของการใช้ออกนับว่าสูงเกินไป หลังจากใช้ออกคราเดียวแขนทั้งข้างของมันกลับชาด้านไปครึ่งวัน ที่เลวร้ายกว่าคือแขนมันต้องเ็ปทรมานอย่างสาหัส ดังนั้นแล้วที่ผ่านมามันจึงใช้เพียงพลังหมัดสามทบในการต่อสู้
“หากว่าสามารถใช้พลังหมัดเก้าทบได้อย่างคล่องแคล่ว ข้าจะแข็งแกร่งขึ้นอีกไม่น้อย อีกทั้งหากว่าสามารถใช้กระทั่งทะลวงเก้าทบ... เช่นนั้นนอกจากจะเกิดเหตุไม่คาดฝันใด ทุกคราที่ข้าทะลวงทวนเปลวอัคคีออกจะเกิดะเิปะทุขึ้น ยามนั้น...” ถึงตอนนี้ไป๋หยุนเฟยก็อดไม่ได้ต้องวาดฝันอีกครา
หลังจากอำลาครอบครัวอันเรียบง่ายสัตย์ซื่อนั้นแล้ว ไป๋หยุนเฟยก็เดินทางต่อไปยังหมู่บ้านของหลี่เฉิงเฟิง
ระหว่างมุ่งหน้าไปป่หยุนเฟยยังฝึกฝนฝีมือไปด้วยตลอดทาง หลังจากวกอ้อมด้วยความสับสนหลายครา ยามสนธยาของวันที่ห้า ในที่สุดมันก็มาถึงหมู่บ้านของหลี่เฉิงเฟิง
ได้เห็นไป๋หยุนเฟยอีกคราหลี่เฉิงเฟิงก็ยินดีแทบคลุ้มคลั่ง ชาวบ้านคนอื่นในหมู่บ้านก็แสดงท่าทีกระตือรือร้นเป็พิเศษเมื่อทราบว่ามันมาเยือน เนื่องเพราะพวกมันยึดถือไป๋หยุนเฟยเป็‘ผู้มีพระคุณ’ ทั้งหมู่บ้านจึงจัด‘งานเลี้ยงต้อนรับ’ให้แก่ไป๋หยุนเฟยประหนึ่งฉลองเทศกาลตรุษ ทำให้มันกระดากใจไม่น้อย
ยามค่ำคืนหมู่บ้านก็เงียบสงบ ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนดับไฟเข้านอน ไป๋หยุนเฟยและหลี่เฉิงเฟิงกำลังนั่งขัดสมาธิบนไหล่เขานอกหมู่บ้าน
“ไม่นานนี้ มีกลุ่มคนมากหลายพลันปรากฏตัวที่นี่หลายต่อหลายกลุ่ม พวกมันเข้ามาสอบถามเื่ค่ายไม้ดำกับชาวบ้าน ดีที่ข้าชี้แนะชาวบ้านไว้ก่อนจึงรับมือได้ไม่ผิดพลาด อีกทั้งข้าซ่อนม้าในป่าลึกหลังเขาเอาไว้ก่อนั้แ่พบเห็นว่าสถานการณ์ผิดปกติ ยังดีพวกที่มาสืบข่าวไม่คาดคิดว่าชาวบ้านอย่างพวกเราจะกล้าต่อกรกับพวกโจร พวกมันสอบถามไม่กี่คำก็จากไป...” หลี่เฉิงเฟิงบอกเล่าเื่ราวที่เกิดขึ้นขณะเพ่งมองไฟตะเกียงหลายจุดที่ยังส่งแสงในหมู่บ้าน
ไป๋หยุนเฟยพยักหน้ากล่าวว่า “อืม เ้าทำได้ดียิ่ง ไม่อาจปล่อยให้พวกมันล่วงรู้ได้ว่าพวกเราอยู่เื้ัความพินาศของค่ายไม้ดำ ไม่เช่นนั้นทั้งหมู่บ้านจะตกอยู่ในอันตรายได้ แค่คาดว่าพวกมันจะไม่ให้ความสนใจที่นี่อีก หลังจากตรวจสอบคงไม่มีผู้ใดสงสัยหมู่บ้านเล็กๆเช่นนี้อีก”
จากนั้นมันพลิกมือขวาคัมภีร์ทั้งสามม้วนก็ปรากฏในมือ ไป๋หยุนเฟยยื่นให้แก่หลี่เฉิงเฟิงพลางกล่าวว่า “เ้าบรรลุด่านปัจเจกิญญาแล้ว พรุ่งนี้สมควรเริ่มฝึกฝนขั้นที่สองของการควบคุมร่างซึ่งก็คือ การควบคุมกระดูกและโลหิต อีกทั้งเ้ายังสามารถฝึกเคล็ดิญญาในคัมภีร์ได้ สำหรับคัมภีร์ม้วนสุดท้ายจำต้องบรรลุด่านวีรชนิญญาก่อนจึงจะฝึกได้ ตอนนี้เ้ายังไม่ต้องให้ความสนใจ”
“โอ? เ้ามอบให้ข้าทั้งหมดเลยหรือ?” เมื่อเห็นไป๋หยุนเฟยมอบคัมภีร์ทั้งสามม้วนแก่มัน หลี่เฉิงเฟิงจึงถามอย่างลังเลยามที่รับมอบมา
“ไม่เป็ไร แน่นอนว่าข้าจดจำเนื้อหาเอาไว้หมดแล้วก่อนจะมอบให้เ้า ยามนี้คัมภีร์เหล่านี้ไม่จำเป็สำหรับข้าอีก ข้าจะรั้งอยู่ที่หมู่บ้านอีกหลายวันจนกว่าจะควบคุมจุดชีพจรได้อย่างช่ำชองค่อยจากไป ่เวลานี้หากเ้าสงสัยอันใดระหว่างการฝึกปรือก็สอบถามข้าได้” ไป๋หยุนเฟยกล่าวอย่างยิ้มแย้ม
หลี่เฉิงเฟิงสะบัดข้อมือม้วนคัมภีร์ทั้งสามก็ถูกดูดสาบสูญเข้าไปในแหวนช่องมิติบนนิ้วมัน --- จะเป็อะไรหากไม่ใช่แหวนช่องมิติของหานเซียวหัวหน้าแห่งค่ายไม้ดำ
“จริงสิ การกลับเมืองลั่วซีครานี้เ้าบรรลุจุดมุ่งหมายแล้วกระมัง?” หลี่เฉิงเฟิงเอ่ยถามด้วยท่าทีปลอดโปร่ง
ไป๋หยุนเฟยพยักหน้ากล่าวว่า “มิผิด ข้าสะสางเรียบร้อยแล้ว จากนี้จะไม่กลับไปที่นั้นอีก อีกไม่นานข้าตั้งใจจะออกจากมณฑลฉิงหยุนไปยังมณฑลผิงชวน ที่นั้นมีสำนักฝึกปรือิญญาเรียกว่าสำนักช่างประดิษฐ์ ข้าหวังจะกราบอาจารย์และฝึกปรือที่นั่น”
“โอ เป็ความคิดที่ดี เ้าเป็เหมือนเมฆขาวที่ลอยล่อง สถานที่คับแคบเช่นนี้ไม่อาจรั้งเ้าอยู่ได้กระมัง?” หลี่เฉิงเฟิงกล่าวเสริมอย่างยิ้มแย้มราวกับหยอกล้อไป๋หยุนเฟย “น่าเสียดายที่ข้ายังฝีมือด้อยนัก ไม่เช่นข้าหวังจะร่วมเดินทางไปกับเ้า...”
“ช้าก่อน...” ไป๋หยุนเฟยดุด่าอย่างขบขัน “เ้าเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน สมองกลับคิดถึงแต่เื่ออกข้างนอก? อย่าบอกนะว่าเ้าหวังจะแยกจากหลิงเอ๋อร์ที่รักแล้ว? และหากเ้าหวังจะไปท่องโลกพร้อมครอบครัวแม้แต่ข้าก็ไม่เห็นด้วย เ้าปกป้องหลิงเอ๋อร์ได้หรือ?”
“เอ่อ... ข้าไม่ได้พูดจริงจังเช่นนั้น” หลี่เฉิงเฟิงเกาศีรษะอย่างกระดาก “ข้าครุ่นคิดเื่นี้อย่างดีแล้วแน่นอน เ้าวางใจเถอะ ก่อนที่จะบรรลุด่านวีรชนิญญาเช่นเดียวกับเ้า ข้าจะไม่คิดถึงการไปจากที่นี่แน่นอน”
“กระนั้น ยามนี้ข้ามีพลังเช่นนี้แล้วย่อมไม่อาจอาศัยในหมู่บ้านเล็กๆเช่นนี้ไปทั้งชีวิต สุดท้ายข้าก็จำต้องออกไปหาประสบการณ์ที่โลกภายนอก เมื่อนั้นพวกเราจะได้พบพานกันอีกหรือไม่?” หลี่เฉิงเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งหวังขณะเหม่อมองดวงดาวที่เกลื่อนฟ้า
“ยังต้องกล่าวอีกหรือ! พวกเราต้องได้พบพานกันอีกอย่างแน่นอน เมื่อนั้นอย่าให้ข้าเห็นว่าเ้าไม่พัฒนาฝีมือ!” ไป๋หยุนเฟยกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ข้าเพียงล่วงหน้าก่อนเ้าก้าวเดียวไม่มีอันใดมากมาย วันข้างหน้าเ้าสามารถไปหาข้าที่สำนักช่างประดิษฐ์ หรือหากเข้าสำนักอื่นเมื่อเ้าสร้างชื่อโด่งดังข้าจะไปหาเ้าเอง...”
“จริงสิ ไม่นานนี้ข้าได้รับทราบเื่ราวของสำนักต่างๆในแผ่นดินนี้ ข้าจะบอกเล่าแก่เ้าจะได้ระวังตัว...”
ไป๋หยุนเฟยบอกเล่าสิ่งที่รับทราบ รวมถึงข้อมูลของสิบสำนักใหญ่แก่หลี่เฉิงเฟิงโดยละเอียด ก่อนจะกล่าวต่อ “ข้าเองก็ทราบเกี่ยวกับด่านิญญาภูตหลังจากด่านวีรชนิญญาไม่มากนัก ทราบเพียงแต่ว่าเมื่อถึงด่านิญญาภูตเ้าจะสามารถควบคุมพลังแห่งธาตุธรรมชาติ ดูเหมือนเมื่อเ้าบรรลุถึงด่านนี้ก็จำต้องเลือกธาตุที่้าจะควบคุม ทั้งยังมีสิ่งที่ต้องกระทำเกี่ยวกับแก่นิญญาอีก อีกไม่นานเมื่อบรรลุถึงด่านวีรชนิญญาระดับปลายเ้าสมควรเข้าร่วมสำนักและฝึกปรือภายใต้การชี้แนะของอาจารย์ที่เลิศล้ำ หากเ้าฝึกปรือผิดแนวทางจะเกิดปัญหาโดยง่าย”
หลี่เฉิงเฟิงงงงันไม่น้อย ผ่านไปครู่ใหญ่จึงพึมพำ “โลกภายนอกช่างวิเศษนัก! ข้าต้องฝึกปรือให้สำเร็จโดยเร็ว จะได้ออกไปเผชิญโลกอันกว้างใหญ่!”
“เฮ้! เ้าได้ฟังที่ข้ากล่าวหรือไม่?”
“อ่า อืม ข้าฟัง เ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะระวังตัว...”
“… …”
… … … …
ไป๋หยุนเฟยจึงอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเช่นนี้ กระนั้นมันไม่ได้มาที่นี่เพื่อหวังเสพรับความสงบและชีวิตที่สุขสบายสุขสบาย มันทราบดีว่าไม่ช้าจะต้องออกจากที่แห่งนี้และมณฑลฉิงหยุนโดยเร็ว
ที่มันต้องทำคือฝึกปรือ ฝึกปรือ และฝึกปรือ เพื่อจะเชี่ยวชาญเคล็ดการควบคุมจุดชีพจรและใช้เคล็ดิญญาได้อย่างคล่องแคล่ว ไป๋หยุนเฟยทุ่มความพยายามทั้งมวลพัฒนาฝีมือเพื่อภายหน้าจะสามารถเผชิญอันตรายทั้งหลายได้...
