“ย่า ข้าวที่ซื้อไม่มีก้อนกรวดจริงหรือ?” หลิวชิวเซียงคายข้าวออกมาจากในปาก เพราะข้างในแข็งราวกับมีก้อนกรวด
ตอนนี้ความสนใจของหลิวฉีซื่อติดอยู่ที่คำพูดของหลิวซุนซื่อ ย่อมไม่ได้สังเกต ข้าวที่กินวันนี้ออกจะแห้งไปเล็กน้อย ไม่อย่างนั้นนางต้องจัดการหลิวเต้าเซียงอย่างแน่นอน
“นางพูดเช่นนั้นจริงๆ หรือ?” หลิวฉีซื่อถามกลับ
เมื่อพลังของนางแผ่ออกมา หลิวชิวเซียงที่อยู่ใต้การข่มเหงมาตลอดก็เริ่มมีอาการกลัวเล็กน้อย มันคือความหวาดกลัวที่ยังหลงเหลืออยู่ หลิวเต้าเซียงเองก็ปวดศีรษะ ได้แต่ปลอบใจตนเองว่าใจร้อนเกินไป จะกินเต้าหู้ร้อนไม่ได้
“ย่า ป้ารองยังรังเกียจว่าข้าวบ้านเราดูไม่ดี แต่พ่อบอกว่าปีที่แล้วฤดูฝนน้ำเยอะ ทำให้ตอนที่เกี่ยวกลับมาจึงมีความชื้นอยู่มาก แม้ว่าต่อมาจะตากจนแห้ง แต่กลิ่นนั้นไม่สามารถเทียบกับการตากแดดในอากาศที่แห้งได้ เพียงแต่นี่เป็เื่ช่วยไม่ได้ อีกอย่าง ลุงรองมีเงินมากมาย เหตุใดจึงไม่แบ่งมาให้ปู่กับย่าบ้างเล่า? กลับกันต้องส่งข้าวที่บ้านไปให้อีก จะเอาไปกินไม่ว่า แต่เอาไปแลกเป็เงินเพื่อซื้อเสบียงเองอีก”
หลิวเต้าเซียงไม่ได้พูดเอาดีเข้าครอบครัวของตน สีหน้าและท่าทีนั้นล้วนกังวลแทนปู่กับย่า จุดประสงค์ของนางก็คือ้าให้หลิวฉีซื่อเกิดความชิงชังต่อหลิวซุนซื่อ ขอเพียงชิงชังถึงจะยั่วยุได้ จึงจะทำให้การแยกบ้านพอมีความเป็ไปได้
นอกจากนี้ ความสามารถในการพูดโกหกหน้าตายนางเองก็เรียนมาจากหลิวซุนซื่อ หนามยอกให้เอาหนามบ่งหมายถึงแบบนี้เอง
“มารดานางสิ สมองนางนี่คิดได้เหลือเกินนะ เหตุใดจึงไม่ตายๆ ไปเสีย ต่อไปหากนางยังกล้ากลับมาเอาข้าวสารอีก จะไม่ให้แม้แต่เม็ดเดียว เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ นางหมาป่าหน้าไม่อาย”
หลิวฉีซื่อยังคงพะวงเกี่ยวกับคุณชายน้อยที่อยู่ห้องปีกทิศตะวันตก ยามที่ด่าคำหยาบจึงใช้เสียงค่อย ช่างดูไม่ออกว่านางเคยเป็เด็กรับใช้ที่ได้รับการสั่งสอนมาจากบ้านตระกูลใหญ่มาก่อน
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไร นางจึงหันขวับไปทางหลิวซานกุ้ยแล้วเอ่ยอย่างโมโห “หากครั้งหน้าเ้ายังช่วยนางขนเสบียงอีก ก็ไสหัวออกไปเสีย อย่าเสนอหน้าอยู่ที่บ้าน ทั้งบ้านมีอยู่ตั้งกี่ปากท้อง แต่มีคนทำงานแค่คนเดียว ที่เหลือมีแต่พวกกินล้างกินผลาญ”
ในเวลานี้มีปลาเหลืออยู่เพียงสองสามชิ้น อีกทั้งยังมีแต่ก้าง เนื้อน้อย แต่่ท้องของปลานั้นมีไขมัน ซึ่งไม่ค่อยมีก้างอีกทั้งรสชาติยังดียิ่ง หลิวเต้าเซียงจึงแบ่งไปให้จางกุ้ยฮัว ที่เหลือนางกับหลิวชิวเซียงแบ่งกันเรียบร้อย ส่วนพ่อของนางชอบกินอะไรก็คีบแต่ส่วนนั้น
จะโทษนางว่าเห็นแก่ตัวก็ไม่ได้ ั้แ่ที่ข้ามมิติมายังบ้านหลังนี้ การดูแลพ่อผู้ซื่อตรงได้เช่นนี้นางรู้สึกว่าตนเองนั้นทำได้ไม่เลว ยิ่งกว่านั้นนางกับหลิวชิวเซียงก็กำลังอยู่ใน่เจริญเติบโต ควรได้กินของบำรุงเสียบ้าง
มื้ออาหารค่ำผ่านพ้นไปพร้อมกับเสียงก่นด่าเบาๆ ของหลิวฉีซื่อ ส่วนหลิวต้าฝูเองก็เห็นภาพนี้จนชินตาแล้วจึงไม่ได้เฉลียวใจอะไร ยังคงทำตามวิถีชีวิตของตนเองคือ ถึงเวลากินก็กิน ถึงเวลานอนก็นอน
เมื่อกลับถึงห้องของตน หลิวซานกุ้ยอดไม่ได้ที่จะถามบุตรสาวทั้งสอง “เหตุใดข้าจึงไม่รู้เื่ที่ป้ารองของเ้าพูดกัน?”
จะให้เขาสบายใจได้อย่างไรที่ได้ยินสองพี่น้องพูดเช่นนั้น? ในบ้านมีเพียงเขาและหลิวต้าฝูที่เป็เรี่ยวแรงหลัก ที่นากว่าสามสิบไร่และสวนอีกสิบไร่ ล้วนอาศัยทั้งสองในการดูแล จะมีเพียง่เก็บเกี่ยวที่งานเยอะมากๆ ถึงจะเรียกให้คนมาช่วย
หลิวชิวเซียงกำลังจะอ้าปากบอกกับพ่อว่าพวกนางพูดปด แต่หลิวเต้าเซียงก็หันมาสะกิดหลังเบาๆ นางจึงกลืนคำพูดกลับไป
หลิวเต้าเซียงเบ้ปากเล็กๆ แล้วตอบ “พ่อ สมองของป้ารองไม่ได้ถูกกระแทกเสียหน่อย นาง้าให้พ่อช่วยขนเสบียงให้นาง แล้วนางจะพูดต่อหน้าพ่อได้เยี่ยงไรกัน?”
ไม่พูดต่อหน้า? นั่นก็เท่ากับพูดลับหลังน่ะสิ!
“พ่อ เราแยกบ้านไม่ได้จริงๆ หรือ? พ่อดูสิ ที่ดินกว่าสี่สิบไร่ มีเพียงปู่กับพ่อที่ช่วยกันดูแล นี่ยังไม่พอ พ่อลำบากมาตั้งหลายปี แต่กลับไม่มีเงินติดมือแม้แต่แดงเดียว พ่อ พ่อไม่เคยรู้เลย ข้าเห็นป้ารองเอาไข่ของย่าไปแลกเป็ที่ประดับศีรษะให้จูเอ๋อร์ แล้วก็แลกขนมต่าไป๋ถัง พี่จูเอ๋อร์ยังเอามายั่วข้าเลย บอกว่าข้าเป็พวกยากจนเหลือขอ ชาตินี้ไม่มีทางได้กินต่าไป๋ถังที่ทั้งเหนียวทั้งหอมหรอก”
เมื่อมองดูบุตรสาวคนรองที่กำลังออดอ้อนอยู่ตรงหน้า ่นี้นางได้กินน้ำแกงไข่เห็ดเป็มื้อดึกทุกวัน จนตอนนี้เริ่มสูงขึ้นมาบ้าง ใบหน้าก็ไม่ได้ซีดเหลือง หลิวซานกุ้ยจุกอยู่ในใจ ในฐานะพ่อเขาไม่เคยมีสิ่งใดที่เป็ชิ้นเป็อันมาให้แก่บุตรสาวเลย ลำพังเชือกสีแดงมัดศีรษะก็ไม่เคยมี
เขาคิดอีก แต่ก่อนรู้สึกว่าเงินทองเป็สิ่งไม่จำเป็ ถึงอย่างไรก็พักอาศัยอยู่ที่บ้าน ทำงานให้ที่บ้านก็เป็เื่สมควรแล้ว
แต่ตอนนี้เขาไม่ได้คิดอย่างนั้น เหตุใดพี่คนโตและพี่คนรองพอได้เงินมาก็เลี้ยงดูครอบครัวตนเอง แต่เขากลับต้องส่งเสียให้น้องคนที่สี่เรียน แล้วยังต้องเก็บไว้ให้น้องสาวตนเองซื้อสิ่งของประดับอีก? พี่ใหญ่ พี่รองไม่ต้องสนใจหรือ? ไม่เพียงไม่สนใจ แต่ยังชอบมาขอข้าวจากบ้านไปอีก
ในอดีตหลิวซานกุ้ยคิดว่าทุกคนล้วนเป็พี่น้อง ไม่จำเป็ต้องมาคิดคำนวณทุกอย่างโดยละเอียด แต่หลิวฉีซื่อมักจะบ่นต่อหน้าเขาว่าพี่ใหญ่กับพี่รองอยู่ข้างนอกก็ลำบากไม่น้อย เพราะต้องใช้เงินทอง
หลิวซานกุ้ย เด็กน้อยผู้ซื่อสัตย์ที่ไม่สันทัดกับโลกภายนอก ชาตินี้เขาไปได้ไกลที่สุดคือในตำบล ถูกหลิวฉีซื่อพูดกรอกหูทุกวันว่าคนข้างนอกนั้นโหดร้ายกว่าแมลงใหญ่ในูเา อีกทั้งกินคนจนแทบไม่เหลือเืแม้แต่หยดเดียว
แต่หลิวเต้าเซียงก็คอยเปรียบเทียบการกินดีอยู่ดีของป้ารองกับครอบครัวตนเองให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ย่าของตนนั้นเป็คนเ้าเล่ห์จริง บีบบังคับหลิวซานกุ้ยทางอ้อมจนเขาไม่อาจลืมตาดูสถานการณ์ตรงหน้า
นางเชื่อว่าความคิดของคนเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถึงจะรู้อยู่เสมอว่าต้องรักครอบครัว ปกป้องครอบครัว แต่นางจะไม่ยอมฟังคำพูดของหลิวฉีซื่อ สิ่งที่นางวางแผนไว้ก็คือการแยกบ้าน
ค่ำคืนนี้หลิวซานกุ้ยนอนไม่หลับเป็ครั้งแรกในชีวิต เขาอยู่บนเตียง อยากพลิกตัวไปมาแต่ก็กลัวจะทำให้แม่ของลูกตื่น จึงได้แต่อดทนตัวแข็งทื่อปวดเมื่อยอยู่อย่างนั้นจนสว่าง
หลิวเต้าเซียงไม่รู้ว่าพ่อผู้ซื่อตรงนั้นต่อสู้กับความคิดของตนทั้งคืน ในบ้านมีเพียงจางกุ้ยฮัวกับหลิวชุนเซียงที่นอนอยู่ หลิวซานกุ้ยน่าจะออกไปที่นาแล้ว ส่วนหลิวชิวเซียงก็ต้มอาหารหมูอยู่ในครัว
นางจึงแวบเข้าไปในห้วงมิติ มองดูไก่ที่ตัวโตขึ้นทุกวัน ในใจของนางเปี่ยมไปด้วยความหวัง
หลังจากอาหารเช้า หลิวเต้าเซียงซึ่งได้ทําความสะอาดมูลไก่แล้ว เติมน้ำและอาหารจนเต็มจึงออกจากห้วงมิติอย่างสบายใจ
หลิวฉีซื่อพาหลิวเสี่ยวหลันไป ‘ก่อกวน’ คุณชายน้อยผู้นั้น พวกนางแทบอยากจะให้หลิวชิวเซียงและหลิวเต้าเซียงไสหัวไปให้ไกล ขอเพียงอย่ามาเสนอหน้าแถวนี้ พวกนางจะไปไหนก็ได้ ไม่มีใครใส่ใจ
หลิวเต้าเซียงไตร่ตรองว่าไก่ตัวนี้จะสร้างรายได้ในอนาคต แต่จะหาข้ออ้างอย่างไรเพื่อเอาไก่ออกมาให้พ่อกับแม่ดี?
“เต้าเซียง เต้าเซียง เ้ามันคนใจร้าย เหตุใดจึงไม่ออกมาเล่นเป็เพื่อนข้าตั้งนานเช่นนี้?”
จู่ๆ เสียงใสแจ๋วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นและเข้ามาเบนความสนใจของนาง หลิวเต้าเซียงหันไปดู เด็กน้อยคนหนึ่งที่ฟันหายไปหนึ่งซี่ ทำผมทรงจุกมัดด้วยเชือกแดง กำลังยิ้มให้นางอย่างเริงร่า
หลิวเต้าเซียงยิ้มและทักทายว่า “ชุ่ยฮัว ข้าก็มาเล่นกับเ้าแล้วนี่ไง”
นางมองปราดเดียวก็จำได้ เพราะหน้าตาของหลี่ชุ่ยฮัวกับป้าหลี่ซานเสิ่นนั้นคล้ายกันมาก
หลี่ชุ่ยฮัวโตกว่าหลิวเต้าเซียงสองเดือน ทั้งสองอายุใกล้เคียงกัน แต่ก่อนก็มักจะเล่นด้วยกัน
วันนี้นางสวมชุดผ้าหยาบที่สะอาดมากและดูเหมือนฐานะครอบครัวไม่ได้ย่ำแย่อะไร
“เต้าเซียง คราวก่อนได้ยินว่าเ้าถูกย่าผลักจนศีรษะกระแทกอย่างรุนแรงหรือ? ข้ายังบอกให้แม่ข้าพาไปเยี่ยมเ้า แต่พอถึงหน้าประตู ย่าเ้ากลับไม่ยอมให้แม่กับข้าเข้าไป แล้วยังเอาไข่ที่พวกข้าเอามาให้เ้า เก็บไปเองอีกด้วย”
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าตัวของหลี่ชุ่ยฮัวนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ซึ่งนี่คือสิ่งที่หลิวชิวเซียงไม่มี
“ขอบคุณเ้ามาก ครั้งหน้าหากเ้ามีอะไรดีๆ ก็อย่าส่งไปที่บ้านข้า ถ้าตกอยู่ในมือของย่า นางไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือออกมาแน่”
หลี่ชุ่ยฮัวพยักหน้าแล้วกล่าวออกมาโดยไม่สนใจว่าใครจะได้ยินหรือไม่ “ข้ารู้สึกว่าย่าเ้าใจร้ายมาก ต่อไปเ้าอยู่ให้ไกลจากนาง น่าสงสารเสียจริง ถูกกระแทกศีรษะ เจ็บมากสินะ ครั้งก่อนแม่บอกข้าว่าเจอเ้าบนรถวัวตอนไปในตำบล บอกให้เ้ามาเที่ยวเล่น เหตุใดผ่านไปตั้งนานกว่าเ้าจะมา อ๋อ ข้ารู้แล้ว ได้ยินว่าป้ารองเ้าเพิ่งจากไป เพราะย่าเ้าขังเ้าไว้ให้ทำงานในบ้านใช่หรือไม่?”
หลิวเต้าเซียงมองไปที่หลี่ชุ่ยฮัวที่กำลังพูดอยู่ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าวันนี้ไม่หนาวเย็นดังเช่นทุกวัน และหัวใจของนางอบอุ่นอย่างมาก
“ชุ่ยฮัว ่นี้ข้ายุ่งมาก ข้าได้ยินมาว่าราคาฟืนในเมืองแพง ข้าจึงไปเก็บฟืนแล้วมาตากจนแห้งในบ้าน แล้วเอาไปแลกเป็เงินในตำบล เก็บเงินมาได้นิดหน่อย”
“อืม เต้าเซียง เ้านั้นฉลาด แต่ว่านิสัยออกจะก๋ากั่นไปหน่อย แม่ข้าบอกว่าเป็สาวเป็นางต้องเรียบร้อยกว่านี้ ต่อไปจะได้หาสามีที่ดีได้ แต่มิเป็ไร ไม่ต้องห่วง เต้าเซียง นิสัยของเ้านั้นเปลี่ยนแปลงได้”
หลี่ชุ่ยฮัวเป็กังวลแทนเพื่อน แต่ก่อนเวลาที่หลิวเต้าเซียงกินไม่อิ่ม นางก็มักจะแอบเก็บขนมไว้ให้ หรือเวลาที่หลิวเต้าเซียงทะเลาะกับเด็กผู้ชายในหมู่บ้านจนเสื้อผ้าฉีกขาด กลัวกลับบ้านไปแล้วจะถูกด่า ก็ได้หลี่ชุ่ยฮัวขอให้แม่นางช่วยเย็บให้
สิ่งที่หลี่ชุ่ยฮัวเศร้าที่สุดก็คือ นางมักจะบอกให้หลิวเต้าเซียงทำตัวเรียบร้อยทุกครั้งที่คุยด้วยเสมอ ห้ามทำตัวเหมือนกับเด็กผู้ชายที่ป่าเถื่อน หลิวเต้าเซียงก็มักจะรับปากอย่างดี แต่พอแยกกันก็ลืมสิ้น
หลิวเต้าเซียงแตะจมูกตัวเอง สำหรับหลี่ชุ่ยฮัวที่ดูคล้ายกับแม่บ้านตัวน้อย นางเองก็ยินดีอย่างมากที่จะเป็สหายด้วย
“ข้ารู้ แต่ชุ่ยฮัว นั่นก็ต้องดูด้วยว่าเป็ใคร อย่างย่าข้าก็ต้องห้ามคล้อยตามนาง ไม่อย่างนั้นนางอาจจะจับข้าหักกระดูกก็เป็ได้”
“นั่นก็ถูก” กระนั้นหลี่ชุ่ยฮัวที่ใสซื่อบริสุทธิ์ก็เริ่มเป็กังวลกับเื่ใหม่
ทั้งสองเดินเข้าประตูบ้านหลี่ ป้าหลี่ซานเสิ่นเดินออกมาจากหน้าเตา ตรงมายังทั้งสองคนแล้วโน้มตัวโอบกอด กลิ่นตัวเต็มไปด้วยกลิ่นของห้องครัวโชยออกมา
“มาเร็วเข้า มากินขนมดอกไหว [1] กันข้ายังคิดอยู่ว่าจะให้ชุ่ยฮัวเรียกเ้ามา คิดไม่ถึงว่าเ้ามาถึงที่นี่เอง”
เท้าเล็กๆ ของหลิวเต้าเซียงหยุดลง ศีรษะสั่นไหวเล็กน้อยแล้วพูดจาไพเราะ “ป้าสาม ข้าได้กลิ่นขนมดอกไหวที่หอมหวน ก็เลยเดินตามกลิ่นมา”
“อืม เต้าเซียงนี่นับวันยิ่งน่าเอ็นดู” สำหรับป้าหลี่ซานเสิ่นที่ชอบทำของเหล่านี้อยู่แล้ว คำพูดของหลิวเต้าเซียงยิ่งได้ผลดีกว่าคำพูดเชยชมเสียอีก
ทันใดนั้น นางก็เข้าไปหยิบตะเกียบในตู้ออกมาสามคู่แล้วยื่นให้ทั้งสองคน ส่วนตนเองก็คีบเข้าปากคำหนึ่งอย่างไม่รีรอ แล้วเอ่ยเสียงงึมงำ “รีบกินเร็วเข้า ยังมีอีก อร่อยจริงๆ”
จริงตามนั้น นักกินย่อมชอบรวมตัวกัน
ขนมดอกไหวจานใหญ่หายไปด้วยฝีมือของทั้งสามคนในพริบตา ราวกับพายุพัดผ่าน และกวาดจนจานนั้นสะอาดเกลี้ยง
“ว่าแต่ เต้าเซียง เหตุใดย่าถึงยอมปล่อยตัวเ้าออกมาข้างนอกได้เล่า?”
“นางไม่สามารถควบคุมข้าได้ ถ้าข้าอยากออกมาเล่น ก็มีวิธีที่จะออกมาเป็ร้อยแปดสิบวิธี” หลิวเต้าเซียงเอ่ยถึงหลิวฉีซื่อพร้อมกับน้ำเสียงที่ไม่ดีนัก
“เฮ้อ แม่เ้าใกล้ออกเดือนแล้วใช่หรือไม่ จริงสิ อีกเดี๋ยวเ้าเอาไข่กลับไปสักหน่อย ให้แม่เ้าบำรุงร่างกาย ย่าเ้าคง…” ชัดเจนว่า ป้าหลี่ซานเสิ่นเองก็รู้จักหลิวฉีซื่อดี
-----
เชิงอรรถ
[1] ขนมดอกไหว รูปอ้างอิง