เสิ่นม่านกลับบ้าน จากนั้นรีบนำเื่ซื้อที่ดินไปบอกหนิงโม่
หนิงโม่แทบไม่ลังเลและตอบตกลงที่จะไปลานศิลป์เพื่อดูซิ่วไฉผู้แปลกประหลาดคนนั้น ทั้งสองเตรียมตัวที่บ้านกัน วันรุ่งขึ้นพวกเขาไม่ไปขายเต้าฮวย แต่ตรงไปหาคนผู้นั้นที่ลานศิลป์อู๋ถง
เด็กๆ ในลานศิลป์หยุดฤดูหนาวกันแล้ว สถานที่กว้างขวางมีเพียงชายหนุ่มที่เกล้าผมในชุดสีเรียบกำลังกวาดลานพื้นอยู่
เสิ่นม่านหยิบของขวัญที่เตรียมไว้ออกมา และเอ่ยถามจากตรงประตู “นี่ใช่อาจารย์โจวหรือไม่?”
ได้ยินมาว่าซิ่วไฉท่านนั้นแซ่โจว นามว่าฉี่เซียน
ชายที่กำลังกวาดพื้นเงยหน้าขึ้น ใบหน้าธรรมดาอายุราวสิบสามเศษ ดูเป็คนดีมีความยุติธรรม
อาจารย์โจวจ้องมองสองคนตรงประตู หลังจากแววตาสงสัยเพียงเสี้ยววิ จากนั้นก็เคลื่อนไปที่ตัวหนิงโม่
“มีธุระอันใดหรือ?”
เสิ่นม่านเดินเข้าไปในลานบ้านพร้อมของขวัญและพูดอย่างนอบน้อม “อาจารย์โจว ข้า้ามาถามว่าที่ดินในตำบลของบ้านท่านผืนนั้น สามารถขายให้ข้าได้หรือไม่?”
มาซื้อที่ดินอีกคนแล้ว
ชายคนนั้นประคองไม้กวาดด้วยมือข้างหนึ่ง ยืดหลังตรงราวกับด้ามพู่กัน จากนั้นจดจ้องไปที่หนิงโม่โดยไม่ละสายตา
“ถ้า้าซื้อที่ดิน ตามกฎเดิม หากไม่ใช่ข้าที่เอาชนะพวกท่านทั้งสอง ก็เป็ท่านทั้งสองที่เอาชนะข้า”
น่าสนุก
เสิ่นม่านหรี่ตา นิสัยชัดเจน ตรงไปตรงมา ข้าชอบ!
นางแอบถูฝ่ามือพลันรู้สึกตื่นเต้นอย่างน่าประหลาด
“เอาล่ะ! ข้าขอทดสอบ”
หนิงโม่ “...”
ตอนแรกคิดว่าอีกฝ่ายบ้าแล้ว คิดไม่ถึงว่าที่บ้ากว่าคือสตรีร่างอวบข้างกายที่ไม่มีชื่อเสียงเรียงนามผู้นี้ ความมั่นใจของนางทำให้โจวฉี่เซียนประหลาดใจเล็กน้อย ฉับพลันนั้นก็ยิ้มออกมา
“แม่นางผู้นี้ช่างห้าวหาญนัก เช่นนั้นก็เริ่มจากการต่อกลอนคู่ก่อนเข้าประตูก็แล้วกัน ต้องผ่านเกณฑ์เสียก่อน จึงจะตัดสินได้ว่าคู่ควรกับการซื้อที่ดินหรือไม่”
จะซื้อที่ดินยังต้องผ่านเกณฑ์อีกหรือ? ทำอย่างกับสอบจอหงวน
ลูกวัวแรกเกิดมิกลัวเสือ เสิ่นม่านผายมือให้อีกฝ่ายออกคำถาม
โจวฉี่เซียนสบตานางก่อนและยิ้มบางๆ จากนั้นร่ายกลอนนำ เสิ่นม่านไม่รู้ แต่หนิงโม่กลับร่ายกลอนเข้าคู่ได้ โจวฉี่เซียนพอใจกับคำคล้องจองอย่างยิ่ง ทั้งสองจึงมีโอกาสเข้าไปดื่มชาที่เรือนด้านหลังกับเขา
ในห้องน้ำชา โจวฉี่เซียนออกปัญหาเชาวน์โบราณมาอีกสองข้อ เสิ่นม่านมองดูหนิงโม่ตาปริบๆ
อีกฝ่ายสงบและผ่อนคลาย ไม่มีความหวาดหวั่นแม้แต่น้อย จากนั้นส่งสายตาสื่อว่า ‘วางใจข้าได้แน่นอน’ ให้นาง
คราวนี้พอวางใจได้ก็โล่งอก เสิ่นม่านดื่มชาอย่างสบายใจ
หลังจากดื่มชาหนึ่งถ้วย หนิงโม่ก็ได้คำตอบ หลังจากโจวฉี่เซียนดูก็ยิ้มออกมา “ไม่เลว ท่านผู้นี้คือคนเหยี่ยนโจวสินะ?”
หนิงโม่ไม่ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่
โจวฉี่เซียนโบกมือ “ช่างเถิด วันนี้ข้ากับพวกท่านมีวาสนาต่อกัน ที่ดินผืนนี้ ข้าจะขายให้พวกท่านในราคาห้าสิบตำลึง”
เสิ่นม่านราวกับฝันไป นี่เรียบร้อยแล้วหรือ?
เดิมทีคิดว่าจะต้องแบตเทิลกันหลายชั่วโมง นางเตรียมใจที่จะสู้ศึกไว้อย่างดิบดี ปรากฏว่าเพียงชั่วจิบน้ำชา ก็ได้โฉนดที่ดินมาอยู่ในมือแล้วหรือ?
ทุกสิ่งช่างสวยงามเหลือเกิน
หลังจากได้โฉนดมา โจวฉี่เซียนถึงเพิ่งเหลือบมองเสิ่นม่านและถาม “เ้าคือไซซี [3] ร่างอวบที่ขายเต้าหู้หรือ?”
เสิ่นม่าน “จริงๆ แล้วข้าไม่ถือสาถ้าท่านจะลบคําว่าร่างอวบออกไป”
“ฮ่าๆ ช่างเป็คนที่น่าสนใจจริงๆ ข้าเองเคยได้ยินเื่เกี่ยวกับเ้ามาไม่น้อย ได้ยินว่าเ้ามีฝีมือปรุงอาหารล้ำเลิศหรือ?”
จากนั้นเสิ่นม่านก็นึกถึงของขวัญที่ตนลืมไว้ที่โถงด้านหน้า จากนั้นวิ่งตุบๆๆ ไป ไม่นานนักก็วิ่งกลับมาพร้อมกับของ
“อาจารย์โจว ในนี้คือของขวัญพบหน้าที่ข้านำมาให้ท่าน มันคือของว่างที่ข้าทำเอง หากว่าชอบ ครั้งหน้ามาเป็แขกที่บ้านข้า ข้าจะต้อนรับท่านเอง”
นางอาจจะยังไม่ทราบว่าโจวฉี่เซียน นอกจากขึ้นชื่อเื่ความแปลกแล้ว ยังมีสมญานามเื่ ‘นักกิน’ อีกด้วย
เขายิ้มแย้มพยักหน้า จากนั้นรับของขวัญไว้โดยไม่เกรงใจ
ระหว่างทางกลับ เสิ่นม่านอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจกับหนิงโม่
“เ้าว่าข้าเกิดมาจากปลาจิ๋นหลี่ [1] หรือไม่? ไม่ว่าจะทำอะไรก็ราบรื่นไปหมดเช่นนี้ อาจารย์โจวที่ทุกคนลือกันว่าเลือกมาก ข้าว่าก็ดูปกติดีนี่นา คำถามก็ไม่ได้ยากมาก ข้ายังคิดจะทดสอบเขาด้วยซ้ำ”
หนิงโม่: เ้าดูไม่ออกจริงหรือว่าเ้าหมอนั่นอ่อนข้อให้?
แม้ว่าคำถามจะมีระดับความยาก แต่จากที่เขาดูไม่ได้ยากอะไร สิ่งสําคัญคือโจวฉี่เซียนจำเขาได้ก่อน
คนแรกคือจางหงอี้ ต่อมาก็เจอโจวฉี่เซียน ตกลงว่าสถานที่เช่นเหยี่ยนโจวนี้ซ่อนยอดคนไว้อีกเท่าไรกันแน่? หรือว่าพวกเขามาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อื่น?
โจวฉี่เซียนผู้นี้ เห็นทีเขาต้องหาโอกาสมาพบเจอสักคราเพื่อทดสอบว่าตกลงเขาคือใครกันแน่
เสิ่นม่านมีความมั่นใจเป็เท่าตัว นางพูดพล่ามตลอดทาง หนิงโม่นิ่งเงียบฟัง พร้อมกับตอบรับนางเป็พักๆ แต่จิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว
่ค่ำ หนิงโม่เรียกเยี่ยนชีเข้าห้องและกระซิบสั่งการข้างหูเขา เยี่ยนชีรับคำสั่ง จากนั้นหายลับไปท่ามกลางความมืด จวบจนฟ้าสางถึงกลับมา
ส่วนเสิ่นม่านได้รับโฉนดมา นางตั้งใจจะไปสอบถามที่บ้านของจางหงเหวินว่าพอจะเปลี่ยนลานทิ้งขยะของตำบลได้หรือไม่ เพราะถึงอย่างไรที่ดินผืนนั้นนางต้องจัดแจงไว้สร้างร้านค้า
จางหงเหวินบอกว่าสามารถทำได้ บังเอิญในตำบลยังมีพื้นที่รกร้างที่ไร้เ้าของ ถึงเวลาค่อยให้พี่ชายที่เป็นายอำเภอออกคำสั่งเื่ลานทิ้งขยะ ทางด้านเสิ่นม่านก็จะสามารถสร้างร้านได้
เื่ลานขยะได้รับการจัดการอย่างรวดเร็ว จากนั้นไม่กี่วันเสิ่นม่านก็สามารถหาคนรับเหมาได้ และเตรียมหาฤกษ์งามยามดีในการเริ่มปลูกสร้าง
เื่ที่นางจะสร้างร้านรู้ไปถึงหูของเฉียนซานเจียงอย่างรวดเร็ว เขาลูบไฝบนแก้มและยิ้ม
“สร้างร้าน? เช่นนั้นก็สร้างความครึกครื้นให้นางสักหน่อย รอวันเริ่มก่อสร้าง เราจะมอบสิ่งที่น่าตื่นตาไปให้นาง”
พ่อบ้านมองเขาอย่างไม่กระจ่าง เฉียนซานเจียงส่งสัญญาณผ่านสายตาให้เขาเข้ามา จากนั้นโน้มตัวกระซิบข้างหูเขา…
วันเวลากระชั้นชิดและเดินหน้าอย่างรวดเร็ว
โรงทำเต้าหู้ของเสิ่นม่านก็มีลูกค้ารายที่สองมาอุดหนุนอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็คือพ่อค้าจากตำบลข้างกัน มีโรงเตี๊ยมเช่นเดียวกัน พอได้ยินว่าเต้าหู้ขายดีมีกำไร จึงมาหาถึงที่และหารือการค้าขายกับนาง
เมื่อมีการค้าขายเกิดขึ้น เสิ่นม่านไม่ได้รีบร้อนจะคุยกับเขา หากแต่ให้คนไปสอบถามที่ตำบลข้างๆ เพื่อแน่ใจว่าโรงเตี๊ยมนี้ไม่ได้มีประวัติเสียหายและเ้าของร้านไม่ได้เป็คนชั่ว ถึงค่อยตอบตกลงจะส่งเต้าหู้ให้อีกฝ่ายวันละหนึ่งร้อยชั่ง
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายรู้สึกว่าปริมาณนั้นน้อยไปหน่อย แต่เสิ่นม่านคิดว่าพวกเขาเพิ่งเริ่มค้าขายกัน นางไม่ควรขายเต้าหู้ให้มากจนเกินไป
โชคดีที่บุคคลนั้นรู้สึกสมเหตุสมผล จึงไม่พูดมากความและลงนามในข้อตกลง จากนั้นจะส่งคนมารับสินค้าที่โรงงานในยามอิ๋น (03:00-05:00) เช่นเดียวกับผู้ดูแลถังของตระกูลจาง หลังจากชิมและแน่ใจว่าไม่มีสิ่งผิดปกติ ถึงค่อยนำสินค้าของตนกลับไป
วันที่ยี่สิบสี่เดือนสิบคือฤกษ์ดีในการปลูกสิ่งก่อสร้าง แต่งงาน ไม่มีความอัปมงคล
เสิ่นม่านพาเด็กๆ เข้าไปในตำบลแต่เช้า คณะรับเหมามารอที่ตรงนั้นก่อนแล้ว พื้นที่นี้นับว่ากว้างขวาง มีขนาดทั้งหมดสิบห้าไร่ อนาคตยังสามารถสร้างโรงงานที่ค่อนข้างใหญ่ได้
เมื่อยามมงคลมาถึง เสิ่นม่านตัดผ้ามงคล ทางด้านนั้นก็เริ่มงาน
ไม่นานนัก เสิ่นม่านก็ได้ยินเสียงวุ่นวายจากเขตก่อสร้าง มีคนะโ
“มี มีคนตาย!”
-----
เชิงอรรถ
[1] ปลาจิ๋นหลี่ 锦鲤 คือ ปลาคาร์ป เป็สัญลักษณ์มงคลที่แสดงถึงความโชคดี สำเร็จราบรื่น
