พวกสัตว์เลี้ยงอย่างวัวและแกะคล้ายๆ เหมือนจะตื่นตระหนก แทบจะพุ่งทะยานออกมานอกคอก คนเลี้ยงสัตว์ฉุดรั้งพลางก่นด่าเสียงดัง สุนัขพันธุ์ทิเบตัน มาสทิฟฟ์หลายตัวที่ยามปรกติจะดุร้าย เวลานี้กลับซุกตัวแนบพื้นพลางเห่าคำราม วุ่นวายเป็อย่างยิ่ง
เวลาเดียวกันก็มีเด็กน้อยร้องไห้จ้าผู้หญิงก็ช่วยกันปลอบโยน
ผู้เฒ่าผู้แก่หลายคนหลายคนกำลังสวดมนต์ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอย่างสูงสุด สุดท้ายถึงกับคุกเข่า โขกคำนับอย่างคร่ำเคร่งไปยังแนวเทือกเขาสูงใหญ่ที่อยู่ไกลโพ้น
สำหรับการมาถึงของฉู่เฟิงพวกคนเลี้ยงสัตว์กลับไม่ประหลาดใจนัก ด้วยมีคนจากต่างแดนเดินทางผ่านมาขอพักค้างแรมที่กระโจมคนเลี้ยงสัตว์อยู่เนืองๆ
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เสียงดังที่เชิงเขาก็เบาลง
ฉู่เฟิงใช้น้ำร้อนเช็ดชำระร่างกาย ดื่มชาเนยอันหอมหวน ความเหนื่อยล้าทางกายมลายหายไปไม่น้อย เขาเอาลูกกวาดที่มีอยู่ทั้งหมดให้พวกเด็กๆ ไป
ใบหน้าเล็กๆ ของเด็กหลายคนแดงปลั่ง นั่นคืออาการหน้าแดงในแถบที่ราบสูง1 เมื่อแย้มยิ้มเอียงอาย ดูแล้วช่างบริสุทธิ์จริงใจเหลือเกิน เมื่อแจกจ่ายลูกกวาดจนหมดก็สลายตัวกันทันควัน ทั้งเบิกบานและอิ่มเอมใจ
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ที่นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะนี่คือข้อสงสัยในใจของฉู่เฟิง หรือว่าเคยมีดอกปี่อ้านสีฟ้าแปลกประหลาดแลชั่วร้ายเบ่งบานที่นี่เหมือนกัน?
คนเลี้ยงสัตว์ผู้เฒ่าผมขาวโพลนอยู่กลางกระโจม ริ้วรอยบนใบหน้าเป็ร่องลึก บ่งบอกถึงความกังวลอย่างชัดเจน เขามองออกไปนอกกระโจม จับจ้องไปที่แนวเขาอันห่างไกลอย่างแน่วแน่
ไม่นานฉู่เฟิงก็รู้ว่า ที่นี่เคยมีหมอกสีครามเกิดขึ้นจริง ลอยวนเวียนอยู่ในูเา คนเลี้ยงสัตว์จำนวนมากต่างตื่นใเพราะเหตุนี้ จนถึงกับพลุ่งพล่าน ้าไปจากที่นี่
ทว่า กลับไม่มีดอกปี่อ้านสีฟ้าที่แปลกประหลาด อีกทั้งหมอกก็บางเบา
“ทำไมคุณถึงต้องกราบไหว้ไปทางูเาล่ะ?” ฉู่เฟิงไต่ถาม
“นั่นคือทิศแห่งบรรพตศักดิ์สิทธิ์” คนเลี้ยงสัตว์ผู้เฒ่าตอบ
คุนหลุน2 เป็ที่สถิตของูเาแห่งเทวะ จึงขนานนามว่าบรรพตศักดิ์สิทธิ์ กลิ่นอายนิยายปรัมปราเข้มข้น ล้วนได้รับการจดบันทึกกันอย่างหลากหลายในหนังสือโบราณแต่ละประเภท ั้แ่ ‘ซานไห่จิง’3 ไปจน ‘ไหวหนานจื่อ’4 จนกระทั่ง ‘สื่อจี้’5 เป็ต้น
ก่อนหน้า ูเาแถบนี้มีเพียงหมอกสีครามจางๆ หากมีคนเห็น ว่าทางด้านเทือกเขาคุนหลุนกลับมีหมอกประหลาดหนาแน่น
อย่างกับว่าตรงนั้นมีดวงอาทิตย์สีฟ้าดวงใหญ่น่าพิศวง ถูกห่อหุ้มด้วยหมอกอย่างแ่า แม้ว่าจะอยู่ห่างไกล แต่ก็เปล่งแสงราวกับฟ้าแลบก็ไม่ปาน
ทอดสายตาไปไกล ลึกลับเกินกว่าจะหาไหน แสงสีฟ้าพร่างพราย กระจัดกระจายไม่คลายคลา ละลานตากว่าสิ่งใด
ดังนั้น คนเลี้ยงสัตว์ชราบางคนจึงกราบกรานไปยังทิศทางนั้น สวดภาวนาอย่างไม่ลืมหูลืมตา
เห็นได้ชัดว่า เหตุผิดปรกติทางนั้นทำให้ผู้คนตื่นตระหนกเป็อย่างยิ่ง ความเข้มข้นของหมอกสีครามไม่จางหาย ก่อให้เกิดเหลือบสีเลื่อมพรายยามตะวันขึ้นและตะวันตกดิน และยิ่งเข้มข้นมากกว่าที่ฉู่เฟิงเห็นในทะเลทรายยิ่งนัก
เหตุพิสดารเช่นนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน? ฉู่เฟิงครุ่นคิด
เขานึกถึงความเป็ไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมา บางทีอาจเพราะแรงสั่นะเืในูเาเป็ตัวเหนี่ยวนำให้เกิด
ในอดีตเคยมีเื่คล้ายๆ กันนี้เกิดขึ้น ในหุบเขาเกิดเหตุการณ์ฟ้าผ่าฉับพลันลงใส่เหล่าสัตว์อยู่บ่อยครั้ง
ในเทือกเขาหากเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง อาจเหนี่ยวนำสนามแม่เหล็กให้เกิดความผิดปรกติ ภายใต้ผลกระทบของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ประจุลบในชั้นบรรยากาศส่งผลต่อสนามแม่เหล็กในูเา เหนี่ยวนำให้ปลดปล่อยประจุลบ เมื่อรวมกับผลกระทบของการกระจายแสงยามอาทิตย์ขึ้นลง ที่ก่อให้เกิดแสงสีเหลือบรุ้งพร่างพราย ก็ทำให้สถานที่นั้นกลายเป็สนามฟ้าผ่าที่พิสดารเป็อย่างยิ่ง
ฉู่เฟิงไม่ใช่พวกงมงาย เขารู้สึกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเทือกเขานั้น น่าจะเป็ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเสียมากกว่า
แต่ว่า ให้เขาอธิบายเพียงไร คนเลี้ยงสัตว์ชราก็ไม่เชื่ออะไรทั้งนั้น แถมยังมองเขาอย่างโกรธเคือง คิดว่าเขาไม่เคารพบรรพตศักดิ์สิทธิ์แทบจะไล่ตะเพิดเขาออกไปเลยทีเดียว
ในความเป็จริง แน่ล่ะ มันก็มีเื่ไม่เป็เื่ที่ยากจะอธิบายอยู่ ตัวของฉู่เฟิงเองก็ยังไม่อาจจะเข้าใจได้ทะลุปรุโปร่ง อย่างดอกไม้งดงามยั่วยวนที่เพิ่งเจอกลางทะเลทรายนั่นไง
เขาถอนใจเบาๆ ใน่เวลา ‘หลังรัชสมัยแห่งความรุ่งเรือง’ นี้ มีหลายเื่ราวที่ไม่อาจเข้าใจได้ ถึงแม้ผู้คนพยายามที่จะนำกฎเกณฑ์ในอดีตมาอธิบาย แต่โลกใบนี้ นับวันก็ยากที่จะเข้าใจไปทุกที
าเคยทำลายไปครึ่งค่อนโลก แทบจะเปลี่ยนผืนดินให้กลายเป็ดินแดนรกร้าง ถึงแม้จะผ่านการฟื้นฟูด้วยกาลเวลาอันยาวนาน แผ่นดินที่ครั้งหนึ่งเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ทว่าความรุ่งเรืองในอดีตกลับยากจะหวนคืน
ใน่วันเวลาอันยาวนานหลังรัชสมัยแห่งความรุ่งเรือง เคยมีเหตุลึกลับเกิดขึ้นบ่อยครั้งส่งผลกระทบเป็วงกว้าง หากก็ไม่อาจอธิบายได้ตราบจนวันนี้
รุ่งอรุณ ดวงตะวันสีแดงทะยานพ้นเส้นขอบฟ้า แสงอรุโณทัยสดใสสาดพ้นผ่านเนินเขา หน้ากระโจม ผืนหญ้าเต็มเปี่ยมด้วยพลังแห่งชีวิต
ฉู่เฟิงกล่าวอำลาชนกลุ่มน้อยนี้ แล้วออกเดินทางอีกครั้ง
เขามุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตก เข้าสู่เขตที่ราบสูง
ระหว่างทางเขาพบว่า หมอกสีครามพิศวงนั่นกระจายตัวเป็วงกว้าง แต่อย่างน้อยที่สุดก็ครอบคลุมเส้นทางการเดินทางของเขา
“คงไม่เกิดเื่พิลึกอะไรขึ้นอีกนะ?” เขาพึมพำกับตัวเอง
เหตุวุ่นวายใหญ่โตหลายต่อครั้งในอดีต จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่อาจหาคำตอบที่ชัดเจนได้เลย
ท้องฟ้าในเขตแดนทิเบตแจ่มใสยิ่งกว่าสิ่งใด ปุยเมฆขาวเหมือนกับว่าห่างจากพื้นดินแค่เพียงเอื้อม ทะเลทรายโกบี เนินเขา ทุ่งหญ้า ล้วนเงียบสงบ ดุจดั่งแดนสุขาวดีที่ไร้ซึ่งการแก่งแย่งจากโลกภายนอก
ระหว่างทาง ฉู่เฟิงได้ยินคำเล่าลือมากมาย
พวกคนเลี้ยงสัตว์พูดว่า เทพผู้มีชีวิตแห่งบรรพตศักดิ์สิทธิ์ได้ตื่นขึ้นแล้ว จึงได้เกิดเหตุแสงสีฟ้าสาดส่อง หมอกหนาครอบคลุมไปทุกแห่งหน
ยังมีบางคนพูดว่า เป็เพราะต้นโพธิ์วัชระปาณีเจริญเติบโต จะผลิดอกออกผลแล้ว
“ราชันมาสทิฟฟ์จะปรากฏกายแล้ว!” บางคนก็พูดอย่างนี้
จากมุมมองของคนท้องถิ่น มาสทิฟฟ์ที่แท้จริงกำเนิดในแดนเถื่อน สามารถต่อกรกับสิงโตและเสือได้ ส่วนมาสทิฟฟ์ที่ถูกมนุษย์เลี้ยงดูนั้นไม่อาจเรียกได้ว่าเป็มาสทิฟฟ์ที่แท้จริง นอกจากนี้ยังมีตำนานเล่าขานในบรรพตศักดิ์สิทธิ์มีราชันมาสทิฟฟ์ หลายร้อยปีจึงปรากฏกายสักครั้ง พละกำลังมหาศาลสามารถปราบมารได้
หลายวันให้หลัง ฉู่เฟิงก็เข้าเขตบรรพตศักดิ์สิทธิ์
เขาพบว่าทุกแห่งหนที่เดินทางผ่าน ล้วนแล้วมีการปรากฏขึ้นของหมอกสีครามจางๆ นั่น ก็เหมือนกับปรากฏการณ์ในอดีตในหลายๆ ครั้ง นี่ก็เป็อีกครั้งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง
ขณะเดียวกัน นี่ก็หมายความเฉกเช่นเดียวกันกับหลายๆ ครั้งก่อนหน้านี้ ที่คนธรรมดาไม่อาจเข้าใจได้!
อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าจะก่อให้เกิดผลอย่างไร
พูดไปก็แปลกประหลาด แต่แรกเป็ปลายฤดูใบไม้ร่วง สภาพอากาศในเขตทิเบตควรจะหนาวเย็นจึงจะถูก แต่ว่าในหลายวันนี้ฉู่เฟิงที่มุ่งเดินทางไปยังทิศตะวันตกโดยตลอด กลับรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น
หลายวันก่อน ใบไม้แห้งร่วงโรยโปรยเกลื่อนพื้นดิน แต่ว่าตอนนี้กลับผิดไป
ใบไม้ที่ยังค้างคาอยู่กับต้นเหมือนกับจะฟื้นคืนชีวิต ไม่แห้งกรอบไม่ปลิดปลิว
โดยเฉพาะเมื่อเข้าใกล้คุนหลุน ไม่ว่าจะเป็กอหญ้าหรือพุ่มไม้หนามที่อยู่ระหว่างทาง ต่างเขียวชอุ่มอยู่ท่ามกลางอากาศอบอุ่น เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
ปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว กลับไร้ซึ่งบรรยากาศเงียบเหงา
“อากาศอุ่นขึ้นแล้ว หรือว่าเป็เพราะเหตุผิดปรกตินั่น?” ฉู่เฟิงคาดเดา
ในที่สุด เขาคุนหลุนก็อยู่ตรงหน้า
แม้ยังอยู่ห่างไกล แต่ก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันอย่างหนึ่ง
เทือกเขาสูงตระหง่านยิ่งใหญ่ ทอดยาวกว้างใหญ่สุดสายตาเปล่งพลังอันน่าเกรงขาม ดั่งว่าเป็แนวเสาหลักของแผ่นฟ้าและผืนดิน
มันยิ่งใหญ่และทรงพลัง ไม่มีสิ่งใดเปรียบปาน แม้ในบรรดามหาบรรพตแห่งาก็หาไหนจะเปรียบ
เทือกเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยเื่เล่าขานมากมาย นับจากอดีตจนปัจจุบันมันถูกโอบล้อมอย่างแ่าด้วยสีสันแห่งตำนาน
ั้แ่ที่ย่างเท้าเข้าเขตทิเบต ฉู่เฟิงก็อยากถอยหลังกลับเสียแล้ว แต่ว่าตลอดทางที่ได้ฟังเื่เส้นแสงสีฟ้าไหลระเรื่อยอันพิสดารแห่งคุนหลุน เขาก็อยากจะไปดูสักหน่อย
“ที่นี่แหละ”
ฉู่เฟิงมาถึงจุดหมายปลายทาง เมื่อยืนอยู่ที่เชิงภูผาสูงตระหง่าน ประหนึ่งนครใหญ่โตแห่งเทพอันรุ่งเรืองไพศาลที่สถิตอยู่ ณ แดนตะวันตก กระแสทรงพลังอันไร้ขอบเขตแผ่ซ่านปะทะใบหน้า
นี่เป็แค่พลังอันน้อยนิดของเทือกคุนหลุนเท่านั้น เหตุการณ์แสงสีฟ้าเจิดจ้าที่เกิดขึ้นในเขตนี้ยามโพล้เพล้เมื่อหลายวันก่อนนั้น ผู้คนที่อยู่โดยรอบล้วนเห็นกันหมด ทว่า่หลายวันมานี้มีน้อยคนนักที่จะกล้าเข้าใกล้
ฉู่เฟิงเข้าเขตูเา ค่อยๆ เริ่มปีนป่าย
ูเาค่อยๆ สูงชัน หินก้อนใหญ่วางระเกะระกะ หนทางยิ่งยากลำบากอีกทั้งต้นไม้ใบหญ้าตลอดเส้นทางยังคงเขียวขจี ในปลายฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ ผิดปรกติเป็อย่างยิ่ง
“หลายวันก่อนเกิดแผ่นดินไหวจริงๆ?” ฉู่เฟิงสำรวจ
ลักษณะของูเามีร่องรอยการแยกตัว บนผิวดินมีรอยแตกอยู่ไม่น้อย เห็นได้ชัดว่ามีหินก้อนใหญ่กลิ้งตกลงมาจากที่สูง หน้าผาบางแห่งถึงกับพังถล่ม
เทือกเขากว้างใหญ่นี่แหละ ที่เคยเกิดเหตุผิดปรกติ
“นี่คืออะไร?”
ฉู่เฟิงเห็นหินใหญ่ก้อนหนึ่ง บนนั้นมีตัวอักษรสลักเป็รอยลึก โดนกรวดทรายทับถมเสียครึ่งค่อน
หลังแผ่นดินไหวบางส่วนในเทือกเขาก็พังถล่มทลาย หินั์ก้อนนี้โผล่ออกมาจากส่วนลึกของพื้นดิน
บนหินมีชั้นสีเขียว เหมือนจะเป็พวกมอสที่แห้งกรัง
“ซี...หวัง!”
ฉู่เฟิงใช้มือลูบคลำรอยตัวอักษรบนหิน อ่านตัวอักษรสองตัวนี้ นี่คือตัวอักษรยุคสำริด6 ซึ่งเป็อักษรในยุคโบราณที่ย้อนเวลากลับไปยาวนานอย่างมาก จะแสดงอยู่บนระฆังและติ่ง
คนธรรมดายากจะรู้จัก
ชั่วพริบตา ความคิดหลั่งไหล ฉู่เฟิงจมอยู่ในห้วงคำนึงทำไมถึงเป็อักษรสองตัวนี้?
พบอักษรซีหวังสองตัวนี้ที่นี่ จะไม่ให้คิดหาความเชื่อมโยงกันได้อย่างไร ในยุคโบราณตอนนั้นมีเ้าแม่ซีหวังหมู่จริงๆ หรือ?
“หรือว่าคนโบราณมาเที่ยวเล่นแถวนี้เลยสลักชื่อเป็ที่ระลึกเรอะ” ฉู่เฟิงส่ายหัว พยายามอธิบายกับตัวเอง
“มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!”
เขาตะลึงงันทันที ตอนที่ลูบรอยอักษรบนหินนั้น เขาพบว่า ‘พวกมอสที่แห้งกรัง’ นั่นสิผิดปรกติ
“สนิมโลหะสีเขียว!” การค้นพบนี้กระชากหัวใจเขาอย่างแรง
แผ่นศิลาจารึกนี้ถูกฝุ่นดินทับถม กลบฝังอยู่ในูเา เมื่อคิดให้ละเอียดจึงไม่น่าจะเป็พวกมอสอะไรนั่นหรอก มันได้ข้ามผ่านกาลเวลาอันยาวนานแสนนาน ตราบจนแผ่นดินไหวรุนแรงจึงได้ออกมาพบเจอกับแสงตะวันอีกครั้ง
มันเป็วัสดุที่ทำมาจากสำริด!
แต่ว่า แผ่นทองแดงโบราณขนาดใหญ่ขนาดนี้หาได้ยากยิ่ง
“ติ่งซือหมู่7ที่ขุดได้จากอินซฺวี8 มีน้ำหนักไม่ถึงสองตัน ยังเรียกได้ว่าเป็เครื่องสำริดโบราณที่ใหญ่ที่สุดแล้ว ส่วนแผ่นจารึกนี้...”
ฉู่เฟิงโกยเศษหินเศษดินออก พลางประเมินแผ่นทองแดงชิ้นนี้อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะหนักห้าถึงหกตัน มันน่าแตกตื่นของแท้เชียวล่ะ ในยุคโบราณแผ่นจารึกนี้นับเป็ของล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง
คราบสนิมเขียวเขรอะ เพียงดูก็รู้ว่าเป็ของโบราณที่ถูกฝังมานมนานกาเล
หากว่าเป็เพียงแผ่นศิลา ฉู่เฟิงยังคงคิดว่าเป็คนในอดีตที่ผ่านมาทางนี้จารึกทิ้งไว้ แต่นี่คือแผ่นทองเหลืองขนาดมหึมาเช่นนี้ เขาไม่มั่นใจเสียแล้ว
เพียงแต่คิดว่า ในโบราณกาลอันยาวไกล จะมีใครที่ไหนใช้ของอย่างนี้เล่า?
*******************************************************************************
1 อาการหน้าแดงในแถบที่ราบสูง เกิดจากการอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่สูงจากระดับน้ำทะเลอย่างมากเป็เวลานาน
2 เทือกเขาคาราโครัม
3 ซานไห่จิง คัมภีร์ทะเลและขุนเขา คัมภีร์ดั้งเดิมเกี่ยวเทพนิยายปรัมปราของภูมิศาสตร์จีน ปรากฏั้แ่ 400 ปีก่อน ค.ศ.
4 หวยหนานจื่อ ตำรารวมบทความสมัยหลิวอัน อ๋องแห่งหวยหนาน (139 ปี ก่อนคริสตกาล) รวบรวมแิของสำนักเต๋า สำนักขงจื่อ และสำนักหยินหยาง
5 สื่อจี้ บันทึกประวัติศาสตร์ จัดทำโดยซือหม่าทาน นักดาราศาสตร์ใหญ่ประจำราชสำนักของจักรพรรดิอู่ และสำเร็จลงโดยซือหม่าเชียน บุตรชายของเขา เป็บันทึกรวบรวมเนื้อหาั้แ่สมัยจักรพรรดิ์เหลือง จนกระทั่งสมัยจักรพรรดิ์ฮั่นอู่ (ราชวงศ์ฮั่น) นับเป็งานเขียนเชิงประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่และมีอิทธิพลอย่างสูงชิ้นหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
6 อักษรยุคสำริด เป็อักษรโบราณที่ใช้ในสมัยซางต่อเนื่องจนถึงราชวงศ์โจว (1,100 – 771 ปี ก่อนคริสต์ศักราช) มีวิวัฒนาการมาจากอักษรกระดองเต่าที่เป็อักษรโบราณอายุเก่าแก่ที่สุดของจีน
7 ติ่งซือหมู่ เครื่องสำริดที่หนักและใหญ่ที่สุด โบราณวัตถุระดับชาติชั้น 1 ของจีน ขุดพบที่อินซวี ติ่งเป็ภาชนะที่ใช้ในการเซ่นไหว้ในยุคโบราณ
8 อินซวี แหล่งมรดกโลกที่ตั้งอยู่ในเมืองอันหยาง มณฑลเหอหนาน ประเทศจีน เป็เมืองหลวงแห่งสุดท้ายของราชวงศ์ซาง (1600-1046 ปีก่อนคริสต์ศักราช)