เสี่ยวหมี่ใรีบหันไปมอง ที่แท้เป็เสี่ยวเตาที่ลูบหลังศีรษะน้อยๆ เดินยิ้มแห้งๆ เข้ามา
“คือว่า ไม่ใช่ว่าข้าตั้งใจจะแอบฟังหรอกนะ ข้าแค่จะเอาลังมาเก็บน่ะ”
“พี่เสี่ยวเตาไม่ต้องเกรงใจหรอกเ้าค่ะ ท่านลุงเฉินฝากคำพูดอะไรมาหรือไม่เ้าคะ?”
เสี่ยวหมี่รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ไม่ให้เสี่ยวเตาเสียใจ
“เถ้าแก่เฉินกล่าวว่า ของในคลังพวกนี้คงไม่พอขาย ฝากมาบอกว่าวันไหนที่เ้าสะดวกให้เข้าเมืองไปปรึกษากันหน่อย”
“บังเอิญจริงๆ เมื่อครู่ข้ากำลังพูดเื่นี้กับพี่ใหญ่เฝิงอยู่พอดี ท่านลุงเฉินทำการค้ามาหลายปี มีประสบการณ์เพียงพอ จะได้ขอคำแนะนำจากท่าน”
เสี่ยวหมี่พูดจบแล้ว เสี่ยวเตาก็กัดฟัน ท่าทางเหมือนนักรบกำลังจะลาตายอย่างไรอย่างนั้น เขาหลับตาะโเสียงดัง “เสี่ยวหมี่ ให้ข้าเข้าเมืองไปเปิดร้านเถอะ ข้าจะต้องทำให้ดีแน่นอน ข้าจะต้อง...”
“ดีสิ”
“อะไรนะ?”
เสี่ยวเตากำลังตัดสินใจอย่างแน่วแน่และเป็การตัดสินใจที่ยากลำบาก แต่กลับได้ยินเสียงเบาๆ ของเสี่ยวหมี่ดังขึ้น ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกไม่อยากจะเชื่อเล็กน้อย ถามออกมาว่า “อะไรดีหรือ?”
เสี่ยวหมี่ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ข้าบอกว่า ให้ท่านไปเป็คนดูแลร้านค้าในเมืองน่ะสิดี ทั้งหมู่บ้านเราก็มีแต่พี่เสี่ยวเตานี่แหละที่ฉลาดที่สุด ทั้งยังเก่งวิชาคำนวณ ยามปกติก็ยังเข้าเมืองบ่อย หากจะเปิดร้านค้าในเมือง ท่านเป็คนที่เหมาะสมที่สุดที่จะส่งไป หรือว่าท่านไม่อยากทำ? ถ้าอย่างนั้นข้าคงมีแต่ต้องส่งพี่รองข้าไป ไม่แน่ว่าวันไหนเขาจะทำเราขาดทุนก็ยังไม่รู้”
“ไม่ ไม่ ข้าไป ข้าไปเอง”
เสี่ยวเตาตื่นเต้นจนขอบตาแดงก่ำเล็กน้อย รีบโบกมือทันที จากนั้นก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง เปลี่ยนเป็พยักหน้าแทน
“เสี่ยวหมี่เ้าวางใจ ข้าจะต้องทำให้ดีแน่นอน ข้าไม่มีทางผิดต่อความเชื่อใจของเ้า ข้าจะ...”
เสี่ยวหมี่ได้ยินเขาเอ่ยวาจาลิ้นพันกันอย่างตื่นเต้น ก็รีบปลอบโยน “พี่เสี่ยวเตา ข้าเห็นท่านเป็เหมือนพี่ชายแท้ๆ มาั้แ่เล็ก ข้าจะไม่เชื่อใจท่านได้อย่างไร ท่านกลับไปคุยเื่นี้กับท่านลุงท่านป้าหลิวเสียก่อน หากว่าพวกเขาตกลง ข้าก็จะให้ท่านลุงเฉินช่วยดูทำเลร้านค้าดีๆ ให้”
“ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
สายตาเ็ปของเสี่ยวเตาเกิดขึ้นและหายไปอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนเป็ความตื่นเต้นยินดีมาแทนที่ “ข้าจะกลับไปคุยกับท่านพ่อท่านแม่เดี๋ยวนี้”
พูดจบก็หมุนกายวิ่งออกไปทันที
เสี่ยวหมี่หันศีรษะไปเห็นเฝิงเจี่ยนยิ้มแปลกๆ ก็อดหน้าแดงไม่ได้ กล่าวอย่างโมโหว่า “ท่านยิ้มอะไร ข้าเห็นพี่เสี่ยวเตาเป็เหมือนพี่ชายแท้ๆ จริงๆ...”
เฝิงเจี่ยนลุกขึ้นยืน มือใหญ่กุมมือเล็ก ก้าวเท้าเดินออกไปด้านนอก
เมื่อปิดประตูคลังเก็บของเรียบร้อยแล้ว เขาก็เอ่ยเรียบๆ ว่า
“ข้ารู้ เ้าไม่จำเป็ต้องอธิบาย”
เสี่ยวหมี่เบ้ปากน้อยๆ อย่างซุกซน แต่กลับไม่พยายามดึงมือออกจากการเกาะกุม ภายใต้เงาจากแสงอาทิตย์ที่ตกกระทบทอดยาวเป็เงาของคนทั้งคู่ ทำเอาสัตว์น้อยใหญ่ในหุบเขาที่ไร้คู่ต้องริษยา
ยามกลางคืนในหุบเขาหมีเริ่มมาถึงเร็วขึ้นแล้ว แต่เนื่องจากทุกคนยุ่งง่วนกับการทำงานอยู่ ดังนั้นแม้ฟ้าจะมืดแล้วก็ยังขอจุดตะเกียงยืดเวลาทำงานกันออกไปอีกหน่อย
ตอนที่รับประทานอาหารเย็นเสร็จเตรียมจะเข้านอนก็เป็เวลาเอ้อเกิงเทียน [1] แล้ว
คนในหมู่บ้านคุ้นชินกับชีวิตเช่นนี้ แม้จะเหน็ดเหนื่อยแต่สุขใจ
จึงกลายเป็ลำบากกลุ่มโจรในป่าเขาแทน
ใน่ต้นฤดูหนาวเช่นนี้ถึงแม้หิมะจะยังไม่ตก แต่น้ำค้างลงจัดจนหนาวเสียดกระดูก
และเพื่อให้เคลื่อนไหวอย่างสะดวกพวกเขาจึงไม่ได้สวมเสื้อผ้าที่หนาพอ ต่างสวมอาภรณ์ตัวบางจนพาให้หนาวสั่นไปตามๆ กัน
หนึ่งในกลุ่มโจรเอ่ยถามสหายที่นั่งยองๆ อยู่วงนอกสุดด้วยเสียงสั่นเทาว่า “พี่หนิวเซิ่ง ท่านว่าเราจะขโมยอะไรออกมาได้จริงๆ หรือ”
“อย่าไปกลัว ขโมยได้แน่นอน บ่ายนี้ข้าแวะเวียนมาดูแล้ว คนที่เอาของไปส่งในเมืองก็เข็นของออกมาจากห้องคลังนั่น ไม่มีใครเฝ้าอยู่หน้าคลังด้วย”
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าพี่หนิวเซิ่งหนาวจนหน้าเขียว มือทั้งคู่ถูกันไปมาไม่หยุด แต่ก็ยังฝืนยิ้มปลอบโยนพวกพ้อง
หนุ่มน้อยอีกคนหนึ่งดูก็รู้ว่ากลัวมาก กล่าวเสียงเบาว่า “หากถูกจับได้ พวกเราก็วิ่งหนีอย่าได้คิดชีวิต หากวิ่งหนีไม่รอดก็คุกเข่าขอร้อง อย่าได้ทำตัวดื้อรั้นแบบซันโก่วจื่อเป็อันขาด”
พวกโจรพากันตอบรับ สีหน้าดูเศร้าสร้อยเหมือนคิดถึงเื่เศร้าอะไรขึ้นมาได้
หนิวเซิ่งไม่ชอบที่ทุกคนดูหมดกำลังใจไปก่อนทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เริ่ม จึงรีบให้กำลังใจทุกคน “รีบตื่นตัวกันได้แล้ว หากเื่นี้ประสบผลสำเร็จ เราจะมีเสบียงกินกันไปทั้งปี”
“ได้”
ทุกคนพากันส่งเสียงตอบรับเบาๆ จากนั้นก็รีบเอามือปิดปากทันที
รออีกครู่หนึ่งจนตะเกียงในหมู่บ้านดับสนิทหมดแล้ว พวกโจรจึงค่อยๆ คืบคลานออกมาจากที่กบดาน
เดิมทีหากอ้อมมาจากเขาข้างๆ สองลูกก็จะเป็ทางที่ง่ายที่สุด แต่แบบนี้จะอันตรายกับพวกเขาเพราะป่าลึกมักมีสัตว์นักล่าเดินเพ่นพ่าน แล้วยังมีพุ่มหนามรอบบริเวณอีกต่างหาก แม้แต่ในฤดูหนาวเช่นนี้พุ่มหนามพวกนั้นยังคงกางเขี้ยวเล็บแหลมคม ไม่เกรงกลัวอะไรทั้งนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกประตูใหญ่ที่สูงกว่าส่วนสูงของคนคนหนึ่งไปแค่เล็กน้อยแทน
โจรสองคนค้อมเอวลงให้พวกพ้องขึ้นขี่คอพวกเขา จากนั้นก็กัดฟันยืนขึ้น พวกพ้องที่อยู่้าใช้ไม้ค้ำพาดตัวข้ามประตูเข้าไป
เกิดเสียงดัง ‘ตุบ ตุบ’ ขึ้นเพราะโจรน้อยทั้งเจ็ดคนพาตัวเองะโข้ามประตูเข้าไป
คนในหมู่บ้านเขาหมียุ่งกันตลอดเช้า ตกกลางคืนจึงพากันหลับสนิท อีกอย่าง ยามปกติพวกเขามีชื่อเสียงน่ากลัวจึงไม่มีใครคิดจะบุกมาปล้นยามวิกาล จึงไม่ได้ระวังตัวกันนัก
พรานหนุ่มสองคนหลับสนิทอยู่ในบ้านดินที่ตั้งอยู่ปากทางเข้า ไม่รู้เื่แม้แต่น้อยว่ามีคนบุกรุกเข้ามาแล้ว
พวกโจรเจาะรูหน้าต่างกระดาษมองเข้าไปด้านใน เห็นว่านอกจากพวกเขาจะนอนอยู่บนเตียงเตาแล้วยังสวมเสื้อผ้าหนาแลดูอบอุ่นก็อดอิจฉาไม่ได้ “พี่หนิวเซิ่งเราเข้าไปขโมยเสื้อหนาๆ กันเป็อย่างแรกดีหรือไม่”
“ไม่ได้ อย่าสร้างเื่ หากถูกจับได้จะเสียการใหญ่หมด พวกเรารีบหาคลังเก็บของเร็วเข้า”
หนิวเซิ่งเป็คนมองการณ์ไกล เขาเอ่ยปรามพวกพ้องเสียงเบา แล้วจึงนำทุกคนเดินไปยังคลังเก็บของ น่าเสียดายไม่รู้เป็เพราะหนาวเกินไปหรืออย่างไร โจรอายุน้อยที่เอ่ยถามขึ้นมาคนนั้นเดินรั้งท้ายแถว เขาแอบหยิบเคียวออกมาจากอกเสื้อ
ในขณะที่เคียวของเขากำลังจะสอดเข้าไปในรอยแยกของประตู จู่ๆ ก็มีบางอย่างกระแทกมันไปด้านข้าง
เขาใมาก หันศีรษะมองไปรอบๆ รอบบ้านแลดูสงบเงียบ ไม่มีใครอยู่สักคนเดียว เขาคิดว่าเป็ตัวเองที่ใจนลนลานไปเอง จึงคิดจะแก้ตัวอีกครั้ง
ที่น่าประหลาดคือ เคียวของเขากลับถูกกระแทกไปด้านข้างอีกครั้ง
โจรน้อยคนนั้นใกลัว มือสั่นจนทำเคียวตก
“เคร้ง”
เคียวตกลงบนบันไดหินหน้าบ้านส่งเสียงดังกังวาน หากเป็ยามปกติคาดว่าคงจะถูกมองข้ามไป แต่ในคืนที่เงียบสงัดเช่นนี้กลับเป็ราวกับเสียงฟ้าผ่าก็ไม่ปาน
พรานหนุ่มสองคนที่เดิมทีกำลังหลับลึกใตื่นทันที คนทั้งสองมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง ครู่เดียวก็พุ่งไปหยิบขวานตัดฟืนบนโต๊ะเปิดประตูออกมา
ในความมืด โจรน้อยที่คิดจะลอบเข้าไปขโมยเสื้อหนาๆ คนนั้นะโเข้าไปหลบหลังพุ่มไม้ราวกับกระต่ายป่า
ต่อให้พรานสองนายนั้นจะโง่แค่ไหนก็เดาได้ว่าเป็โจร จึงรีบวิ่งไปสั่นระฆังที่ข้างประตูใหญ่ ส่วนอีกคนไล่ตามโจรไปทันที
“เ้าหัวขโมย อย่าคิดหนี”
เสียงระฆังดังกังวานขึ้นสามที ปลุกให้คนทั้งหุบเขาหมีตื่นทันที พูดแล้วก็ให้รู้สึกว่าบังเอิญยิ่งนัก เดิมทีระฆังอันนี้ไม่มีอยู่
แต่เนื่องจาก่นี้คนในหมู่บ้านกำลังมีการก่อสร้างขนานใหญ่ และยุ่งจนทำกันแทบไม่ทัน ที่หน้าทางเข้าจึงไม่ค่อยมีคนมายืนเฝ้ายามแล้ว บวกกับประสบการณ์วันนั้นที่เถ้าแก่เฉินมาหาแล้วะโจนคอแทบแตก เสี่ยวหมี่จึงให้ซื้อระฆังมาจากในเมือง ขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ก็เพียงพอจะส่งเสียงให้ดังไปถึงหมู่บ้าน้าได้
เพียงไม่นานตะเกียงในหมู่บ้าน้าก็เริ่มจุดสว่าง เห็นเงาคนวิ่งลงมาจากยอดเขาแล้ว
โจรน้อยที่คิดจะขโมยเสื้อกันหนาวคนนั้นใจนฉี่ราด เมื่อเขาไล่ตามไปถึงตัวพวกหนิวเซิ่งก็ถูกหนิวเซิ่งตบหน้าอย่างแรงทันที
“เ้าคิดจะพาทุกคนไปตายด้วยกันเช่นนั้นหรือ”
“ฮือๆ ข้าก็แค่อยากได้เสื้อหนาๆ สักตัว...” โจรน้อยร้องไห้ออกมา หนิวเซิ่งกลับไม่มีเวลามาปลอบเขา “รีบหนี หนีออกไปให้เร็วที่สุด”
“แล้วของเล่า”
โจรน้อยลังเล กลับถูกหนิวเซิ่งพลักให้วิ่งออกไปด้วยแรงทั้งหมด “ชีวิตสำคัญหรือเงินทองสำคัญ?”
เห็นว่าประตูใหญ่อยู่ตรงหน้าแล้ว พ้นจากนี้ไปก็จะหนีพ้นแล้ว แต่หนิวเซิ่งกลับรู้สึกเจ็บแปลบที่เท้าแล้วล้มหน้าคะมำ
เขาคิดจะยืนขึ้นมา กลับพบว่ายืนไม่ไหว จึงอดทนต่อความเ็ปะโว่า “ไม่ต้องสนใจข้า พวกเ้ารีบหนีไป”
แต่โจรคนอื่นๆ กลับพยายามจะช่วยประคองเขาขึ้นมาสุดชีวิต “ไม่ ต้องไปด้วยกันสิ พี่หนิวเซิ่ง”
“รีบไป ไม่ต้องสนใจข้า หากมาตายกันหมด พวกเด็กๆ จะอยู่อย่างไร?”
พวกโจรเริ่มรู้สึกลังเล แต่น่าเสียดายยามนี้คิดจะหนีก็ไม่ทันเสียแล้ว ชาวบ้านเขาหมียี่สิบสามสิบคนได้มารวมตัวกันแล้ว
ตลอดหนึ่งปีได้ทำงานให้คนสกุลลู่ ทำให้คนในหมู่บ้านเขาหมีกินดีอยู่ดี โดยเฉพาะพวกผู้ชายมีร่างกายกำยำบึกบึนขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ยิ่งพวกเขาเพิ่งจะล่าสัตว์กันก็ยิ่งแผ่จิตสังหารออกมา ไม่ใช่คนที่โจรน้อยๆ เหล่านี้จะรับมือได้เลย
หนิวเซิ่งหน้าเสียทันที รีบดึงให้โจรตัวน้อยที่กำลังดึงแขนเขาอยู่คุกเข่าลง
“พวกเราผิดไปแล้ว พวกเรายอมถูกตีถูกลงโทษ แต่อย่าฆ่าเราเลย”
“ฮือๆ ข้ากลัว ตีข้าเถอะ แต่อย่าฆ่าข้า”
พวกโจรเจ็ดแปดคนล้อมอยู่รอบหนิวเซิ่งที่กำลังาเ็ พากันร้องระงมพลางโขกศีรษะ
พวกชาวบ้านไม่พูดอะไร เพียงแต่ยืนถือมีดดาบล้อมกลุ่มโจรไว้ตรงกลาง พรานหนุ่มสองคนจุดคบเพลิงส่งมาให้ ทุกคนถึงได้มองเห็นโจรกลุ่มนี้ชัดเต็มตา
ก็แค่เด็กๆ กลุ่มหนึ่งเท่านั้น คนที่อายุมากที่สุดดูแล้วก็ไม่เกินสิบสามสิบสี่ปี คนที่เล็กที่สุดน่าจะแค่สิบขวบ เด็กกลุ่มหนึ่งสวมอาภรณ์ตัวบางน้อยชิ้นอยู่ท่ามกลางค่ำคืนอันหนาวเหน็บ หน้าซีดเหลืองตัวผอมโซ สีหน้าตื่นตระหนก เบิกตากว้างแทบถลนกันทุกคน
ที่ไหนจะเรียกว่าโจรได้ นี่มันกลุ่มขอทานชัดๆ
บ้านสกุลกัวอยู่ใกล้ตีนเขามากที่สุด ดังนั้นในบรรดาผู้าุโของหมู่บ้านท่านลุงกัวเป็คนแรกที่มาถึง ครั้นเห็นพวกเด็กๆ ตรงหน้า เขาขบคิดเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยว่า “จับพวกเขามัดเอาไว้ก่อน รอเสี่ยวหมี่มาจัดการ”
“ขอรับ”
สองพรานหนุ่มรู้ว่าเป็ความผิดของตนที่แอบอู้ จึงรับหน้าที่มัดโจรน้อยเอาไว้เอง
เพียงไม่นานคนสกุลลู่ก็เร่งรุดมาถึง ครั้งนี้พี่รองลู่ละเอียดรอบคอบอย่างที่นานครั้งจะเป็ เขาเห็นแต่ไกลว่ามีคนออกันอยู่ตรงปากทางเข้า เขาจึงเดินไปสอดส่องที่เขาสองลูกด้านข้างก่อน กลัวว่าจะมีโจรแอบซ่อนอยู่อีก พอดีเจอเข้ากับเกาเหรินที่มีท่าทีเกียจคร้าน จึงลากเขากลับไปเฝ้าบ้าน
เมื่อครู่เสี่ยวหมี่ใมากจึงไม่มีเวลาจัดการผมเผ้าให้เรียบร้อย นางรวบผมอย่างลวกๆ สวมเสื้อคลุมตัวหนาแล้วออกมาพร้อมเฝิงเจี่ยน พี่ใหญ่และพี่รอง
ส่วนบิดาลู่นั้น เกรงว่าจะยังหลับสบายอยู่ในห้องหนังสือ อย่าว่าแต่เสียงระฆังเลย ต่อให้มีคนไปเขย่าตัวเขาก็ไม่ตื่น
ดีที่อย่างไรเสียเื่ในสกุลลู่ก็ไม่เคยต้องถึงมือเขาจัดการ
เชิงอรรถ
[1] เอ้อเกิงเทียน(二更天)่เวลาประมาณสามทุ่มถึงห้าทุ่ม