ในห้วงสำนึกของซ่งเหยียนเฟย
'เหตุใดข้าจึงมิอาจขยับเขยื้อนกายได้?' ความรู้สึกอึดอัดประดุจถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ทว่าท่ามกลางความอึดอัดนั้น กลับมีกระแสไออุ่นอันแสนสบายราวกับแสงตะวันยามเช้าค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ทุกอณูของร่างกาย
'สิ่งนี้คืออันใดกัน? ข้ารู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างประหลาด ราวกับเป็ส่วนหนึ่งของชีวิต เป็แขนขาที่ข้าเคยใช้มานับครั้งไม่ถ้วน' ดวงจิตในห้วงสำนึกจับจ้องไปยังอวัยวะภายในที่ถูกห่อหุ้มด้วยม่านพลังสีดำมืดสนิท ราวกับราตรีที่ไร้ซึ่งดวงดาว
"อ๊ากกก!" ฉับพลันทันใดนั้นเอง กระแสพลังแห่งความมืดที่เคยอ่อนโยนกลับแปรเปลี่ยนเป็คมมีดนับพันเล่ม กรีดแทงลึกลงไปในส่วนที่สึกหรอ าแ และความอ่อนแอภายในร่างกายของเขา สร้างความเ็ปแสนสาหัสราวกับถูกฉีกทึ้งิญญา ทว่าเมื่อห้วงเวลาแห่งความทรมานนั้นค่อยๆ ผ่านพ้นไป อาการาเ็ภายในที่เคยร้าวรานกลับค่อยๆ สมานตัวดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ราวกับได้รับการชุบชีวิตใหม่ ทันใดนั้นเอง ความทรงจำและองค์ความรู้บางอย่างก็ไหลบ่าเข้ามาในห้วงสำนึกของเขา
'หรือว่า...จะเป็พลังทมิฬ? พลังแห่งความมืดมิดที่บริสุทธิ์ สีดำสนิทดุจห้วงอวกาศ คุณสมบัติในการฟื้นฟูและซ่อมแซมที่ทรงพลังถึงเพียงนี้ แถมข้ายังรู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างลึกซึ้ง ต้องใช่แน่ๆ!' ดวงจิตของเขารู้สึกปิติยินดีราวกับได้พบเจอขุมทรัพย์อันล้ำค่าในยามยากลำบาก
"ฮ่าๆ! ช่างเป็เื่ที่คาดไม่ถึง! ข้าตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย ถูกศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าไล่ล่าสังหารจนแทบสิ้นชีวิต แต่พระเ้ายังคงเมตตา ประทานโอกาสให้ข้าได้พบพานกับสมบัติล้ำค่าที่จะช่วยให้ข้ากลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้ง!" เขาหัวเราะออกมาด้วยความสุขที่เอ่อล้นในอก ทว่าความสุขนั้นมักจะอยู่ได้เพียงชั่วครู่ ก่อนที่...
"อ๊ากกก!" ความรู้สึกเ็ปแสนสาหัสก็หวนกลับมาอีกครั้ง ราวกับคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งอย่างไม่หยุดหย่อน วนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งถึงขีดจำกัดที่ซ่งเหยียนเฟยมิอาจทนทานต่อความเ็ปที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะได้อีกต่อไป พลันสติสัมปชัญญะก็ดับวูบลงสู่ห้วงนิทราอันมืดมิด เพราะยิ่งพลังทมิฬทำการซ่อมแซมาแภายในมากเท่าใด ความเ็ปก็จะยิ่งทวีคูณขึ้นเป็เงาตามตัว หากเป็ผู้ฝึกตนทั่วไปที่ไม่เคยผ่านการบ่มเพาะร่างกายมาอย่างเข้มงวด คงจะสิ้นใจตายไปั้แ่การซ่อมแซมเพียงไม่กี่ครั้งแรกแล้ว
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปดุจสายน้ำที่ไหลริน เช้าวันใหม่ก็มาเยือน อวี้เหวินออกมาฝึกฝนร่างกายแต่เช้ามืด ณ ลานฝึกเล็กๆ หลังเรือน แสงตะวันสีทองสาดส่องลงมาต้องร่างของเขาที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างขะมักเขม้น เหงื่อเม็ดโตผุดพรายไหลรินอาบไปทั่วใบหน้าและแผ่นหลังจากการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง เขากำลังฝึกฝนร่างกายด้วยท่าทางพื้นฐาน เริ่มจากการดันพื้นอย่างตั้งใจ สลับกับการะโตบเบาๆ จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็การฝึกชกมวย ปล่อยหมัดซ้ายขวาเข้าเป้าที่แขวนไว้ด้วยความมุ่งมั่น แม้ท่าทางจะยังไม่คล่องแคล่วมากนัก แต่ทุกการเคลื่อนไหวก็แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างกายของตนเอง
"เ้าหนุ่มน้อย ปีนี้เ้ามีอายุเท่าใดแล้วหรือ?" เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นจากทางด้านหลัง ราวกับสายลมที่พัดมากระทบผิวกาย ขณะอวี้เหวินกำลังยกมือขึ้นปาดหยาดเหงื่อที่ไหลรินอาบแก้มลงสู่คาง
อวี้เหวินหันขวับกลับไปมองยังต้นเสียงนั้น "เ้าฟื้นคืนสติแล้วหรือ... อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ข้าก็จะอายุสิบห้าปีเต็ม" เขาตอบกลับด้วยความยินดีที่เห็นดวงตาคมกริบของอีกฝ่ายกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
"อายุสิบห้าปีแล้ว แต่พลังบ่มเพาะยังคงวนเวียนอยู่ที่ขั้นก่อตั้งรากฐาน ช่างเป็ความเชื่องช้าที่น่าสมเพชยิ่งนัก นี่มิแตกต่างอันใดจากเศษขยะที่ไร้ค่า!" ซ่งเหยียนเฟยส่ายศีรษะเล็กน้อย ดวงตาคู่คมกริบฉายแววเย้ยหยันอย่างไม่ปิดบัง
"เ้า!!" อวี้เหวินกำหมัดแน่น ความขุ่นเคืองแล่นริ้วไปทั่วร่างที่ถูกดูแคลนอย่างไร้ปราณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผู้ที่มีรูปลักษณ์ภายนอกยังเยาว์วัยราวกับเด็กน้อย "เช่นนั้นแล้ว ผู้ที่มิใช่เศษขยะเช่นเ้า ใช้เวลาเนิ่นนานเพียงใดในการทะลวงสู่ขั้นแรกแห่งการบ่มเพาะ?"
"ฮ่าๆ! เ้าบังอาจถามนายน้อยผู้นี้เชียวหรือ? ข้าใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนจันทร์ดับเท่านั้นในการก้าวเข้าสู่ขั้นแรกแห่งการบ่มเพาะพลัง และในตอนนั้นข้ามีอายุเพียงแปดขวบปี!" ซ่งเหยียนเฟยยกยิ้มหยันที่มุมปาก มองไปยังอวี้เหวินด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเหนือกว่าราวกับมองมดปลวก
'คนผู้นี้ แม้จะโอ้อวดราวกับเป็สันดาน ทว่าคำกล่าวนี้กลับมิได้เสแสร้งแกล้งทำ เนื่องจากความภาคภูมิใจที่เปล่งประกายเจิดจ้าอยู่ในน้ำเสียงและแววตาของเขา' อวี้เหวินพิจารณาซ่งเหยียนเฟยอย่างลึกซึ้ง พลางครุ่นคิดถึงความแตกต่างระหว่างตนเองและอีกฝ่าย
เมื่อซ่งเหยียนเฟยสังเกตเห็นความเงียบงันของอวี้เหวิน จึงคาดเดาว่าคำพูดของตนอาจจะกระทบกระเทือนจิตใจของอีกฝ่ายก็เป็ได้
"แต่ก็ใช่ว่าเ้าจะมิอาจก้าวหน้าอย่างรวดเร็วได้ หากว่าเ้ามีเคล็ดวิชาชั้นสูงให้ฝึกฝนอย่างถูกครรลองคลองธรรม" เขาจึงกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงเล็กน้อย
"เคล็ดวิชาชั้นสูง? ฮ่าๆ! ช่างเป็เื่ที่น่าหัวร่อสิ้นดี ข้าเป็เพียงแค่บุตรชาวบ้านธรรมดา มิมีอาจารย์ผู้ทรงภูมิชี้นำ ไม่มีสำนักอันเกรียงไกรให้ร่ำเรียน จะมีโอกาสได้ััเคล็ดวิชาล้ำค่าเช่นนั้นได้อย่างไร? นี่เป็เพียงแค่มวยพื้นฐานที่ท่านพ่อข้าสั่งสอนไว้เท่านั้น" อวี้เหวินส่ายศีรษะอย่างจนหนทาง
"เช่นนั้นแล้ว หากว่าข้ามีเล่า?" เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยเลศนัย ดวงตาคมกริบจับจ้องไปยังอวี้เหวินอย่างมีความหมาย
อวี้เหวินพลันเงยหน้าขึ้น สบสายตากับซ่งเหยียนเฟยอย่างตรงไปตรงมา ดวงตาของเขาเปล่งประกายแห่งความหวัง
"เ้า้าสิ่งใดกันแน่ ถึงได้มากล่าวถึงเื่นี้กับข้า?" สำหรับอวี้เหวินแล้ว เคล็ดวิชาชั้นสูงเปรียบเสมือนแสงนำทางในความมืดมิด เป็สิ่งที่เขาปรารถนาอย่างยิ่งในยามนี้ เขา้าพลังอำนาจที่แข็งแกร่งเหนือผู้ใด ้าความก้าวหน้าที่รวดเร็วที่สุด เพื่อที่จะนำมารดาของเขากลับคืนสู่ครอบครัวอีกครั้ง
"สร้อยเส้นนี้... ข้าขอได้หรือไม่?" ซ่งเหยียนเฟยเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความกระวนกระวายใจอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาคู่คมจับจ้องไปยังสร้อยคอสีดำในมืออย่างไม่ละสายตา "แล้วข้าจะมอบเคล็ดวิชาทุกอย่างที่เ้าปรารถนาให้แก่เ้าเป็การตอบแทน" พลางยกมือที่กำสร้อยคอเส้นนั้นขึ้นมาเล็กน้อย ราวกับเป็การยื่นข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธได้
อวี้เหวินทอดสายตามองไปยังสร้อยคอเส้นนั้นอย่างชั่งใจ ความคิดมากมายไหลวนอยู่ในห้วงสมองของเขา ด้านหนึ่งคือความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อช่วยเหลือมารดา อีกด้านหนึ่งคือความผูกพันและความทรงจำอันล้ำค่าที่สร้อยเส้นนี้เป็ตัวแทน
"มิได้!" อวี้เหวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แม้ภายในใจจะรู้สึกหวั่นไหวอยู่บ้าง
"ข้ามิอาจยกสร้อยเส้นนี้ให้แก่เ้าได้ มันเป็ของที่ท่านแม่ข้ามอบให้ไว้ด้วยมือของนางเอง ในวันที่ข้ายังเป็เพียงเด็กน้อย ท่านแม่กล่าวว่ามันเป็สมบัติป้องกันภัยอันล้ำค่าที่จะคอยคุ้มครองข้าจากอันตรายทั้งปวง อีกทั้งยังเป็ของแทนใจที่ข้าจะไม่มีวันลืมเลือนตราบชั่วชีวิต" น้ำเสียงของเขาแสดงออกถึงความรักและความผูกพันอันลึกซึ้งต่อมารดา
"เ้า!" ซ่งเหยียนเฟยขบฟันแน่น ดวงตาฉายแววร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด "เ้า้าสิ่งใดกันแน่ จงบอกข้ามาเถิด ข้าจะสรรหามาให้เ้าจนได้ ไม่ว่าจะเป็สมบัติ ยาหายาก หรือแม้แต่อาวุธวิเศษ ข้าก็จะหามาประเคนให้เ้า!" น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความร้อนใจและ้าที่จะได้สร้อยเส้นนั้นมา
"ข้ากล่าวแล้วว่ามิได้ ก็คือมิได้!" อวี้เหวินย้ำคำเดิมอย่างหนักแน่น ใบหน้าคมสันแสดงออกถึงความเด็ดเดี่ยว "สิ่งนี้มิได้อยู่ที่มูลค่าหรือความวิเศษใดๆ ของตัวมัน แต่มันสำคัญที่จิตใจและความทรงจำอันล้ำค่าที่ข้ามีต่อท่านแม่ หวังว่าเ้าจะเข้าใจในความรู้สึกของข้า" เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นและจริงจัง
ซ่งเหยียนเฟยมีสีหน้าเศร้าสร้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ไหล่ทั้งสองข้างตกลงเล็กน้อย ดวงตาคู่คมหม่นแสงลงราวกับสูญสิ้นความหวัง
"สิ่งนี้จำเป็ต่อข้าอย่างยิ่งจริงๆ ถือเป็สิ่งที่จะช่วยชีวิตข้าไว้ได้ในยามคับขัน เป็สิ่งที่มีประโยชน์ต่อการฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไปของข้าอย่างมหาศาล"
ก่อนที่เขาจะโอดครวญต่อไป ราวกับนึกคิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้ แววตาของเขาก็เปล่งประกายความหวังขึ้นอีกครั้ง
"เช่นนั้นแล้ว ให้ข้ายืมใช้สักระยะหนึ่งได้หรือไม่? ใน่เวลานี้ ข้าจะอยู่เคียงข้างเ้าตลอดเวลาดุจเงาตามตัว เ้า้าทวงคืนเมื่อใดก็ได้ ข้าจะยินดีคืนให้โดยไม่มีข้อแม้ แถมข้ายังจะมอบเคล็ดวิชาล้ำค่า สมบัติหายาก อาวุธวิเศษที่ข้ามีให้แก่เ้าเป็การตอบแทนด้วย หากเ้าประสบอันตรายใดๆ ข้าจะออกหน้าช่วยเหลือเ้าอย่างสุดกำลัง อีกประการหนึ่ง สิ่งนี้มีประโยชน์ต่อตัวข้ามากกว่าเ้าในยามนี้ เมื่อภารกิจของข้าสำเร็จลุล่วง ข้าจะส่งคืนให้เ้าอย่างแน่นอน" เขาอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความจริงใจและวิงวอน ราวกับเด็กน้อยที่กำลังขอของเล่นชิ้นโปรด
อวี้เหวินได้ยินดังนั้นก็ตกอยู่ในความเงียบงันไปครู่หนึ่ง ความคิดมากมายสับสนวุ่นวายอยู่ในหัวของเขา เขาถอนหายใจออกมาแ่เบา ราวกับกำลังตัดสินใจในเื่ที่ยากลำบาก
"ตกลง ตามที่เ้ากล่าวมา ข้าหวังว่าบุรุษผู้มีเกียรติจะไม่คืนคำ ข้าจะให้เ้ายืม" ด้วยเหตุผลที่ว่าเคล็ดพลังยุทธ์ เคล็ดวิชาการต่อสู้ และอาวุธต่างๆ นั้นเป็สิ่งที่จำเป็อย่างยิ่งสำหรับเขาในตอนนี้ เพื่อใช้ในการเพิ่มพูนฐานพลังบ่มเพาะและเสริมสร้างพลังการต่อสู้ให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ในการช่วยเหลือมารดาของเขาได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งข้อตกลงนี้ก็มิได้มีสิ่งใดเป็ผลเสียต่อเขาเลย ตรงกันข้ามกลับเป็การแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง ไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะต้องปฏิเสธข้อเสนอนี้
"แน่นอน! แน่นอนที่สุด! นายน้อยผู้นี้เป็ผู้รักษาคำพูดดียิ่งนัก เ้าจงวางใจได้เลย" ซ่งเหยียนเฟยรีบกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจอย่างออกนอกหน้า เกรงว่าอวี้เหวินจะเปลี่ยนใจในภายหลัง พลางคลี่ยิ้มกว้างอย่างโล่งอก ราวกับยกูเาออกจากอก
"ฮ่าๆ! สัญญาย่อมเป็สัญญา ในเมื่อเ้ามีน้ำใจให้ข้ายืมแล้ว ดังนั้นข้าก็จะมอบเคล็ดวิชาให้แก่เ้าตามที่ได้ลั่นวาจาไว้" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริง พลางยกนิ้วชี้ขึ้น กดลงบนหน้าผากของอวี้เหวินเบาๆ
"จิ๊ด!" ทันใดนั้นเอง ข้อมูลมหาศาลก็ไหลทะลักเข้าสู่ห้วงสมองของอวี้เหวินราวกับกระแสน้ำป่าที่ไหลเชี่ยวกราก ความรู้สึกเ็ปราวกับศีรษะกำลังจะะเิแผ่ซ่านไปทั่วทั้งสมอง ทว่าอวี้เหวินกัดฟันแน่น ข่มความเ็ปนั้นไว้ด้วยความอดทน ชั่วครู่หนึ่งกระแสข้อมูลที่ไหลบ่าเข้ามาก็ค่อยๆ ชะลอตัวลงจนกระทั่งหยุดสนิท
อวี้เหวินจึงทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิ ตั้งจิตสงบเพื่อปรับแต่งและเรียบเรียงความรู้ที่ได้รับมา ผ่านไปชั่วก้านธูป เขาก็ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
ซ่งเหยียนเฟยเห็นดังนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
"เคล็ดวิชากายที่ข้ามอบให้เ้าในครั้งนี้ ถือว่าเหมาะสมที่สุดสำหรับเ้าในยามนี้ สำหรับผู้ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการบ่มเพาะในระดับก่อตั้งรากฐาน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสร้างรากฐานร่างกายที่แข็งแกร่งจากภายใน ดังนั้น เคล็ดวิชา 'เตาอัสนีวิบัติ' จึงเป็ตัวเลือกที่ดีที่สุด"
จากนั้นอวี้เหวินจึงทบทวนเนื้อหาของเคล็ดวิชานั้นในความทรงจำของตนเองอย่างละเอียด
'เคล็ดวิชาเตาอัสนีวิบัตินี้ แบ่งออกเป็สามระดับใหญ่ ขั้นแรกคือการใช้เพลิงปราณหล่อหลอมร่างกายตนเองดุจดั่งดาบที่ถูกตีขึ้นจากเตาหลอม ขจัดสิ่งสกปรกและมลทินออกจากร่างกาย สร้างความบริสุทธิ์ให้แก่ทุกส่วน หากฝึกฝนในสถานที่ที่มีความร้อนระอุ เช่นบริเวณูเาไฟ ก็จะสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น การฝึกฝนในขั้นแรกนี้จะเทียบเท่ากับพลังของผู้ที่อยู่ในขั้นก่อตั้งรากฐาน
ขั้นที่สองคือการทุบตีและขัดเกลาดาบ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความหนาแน่นของร่างกายให้มากยิ่งขึ้น การฝึกฝนในขั้นนี้จำเป็ต้องผ่านการต่อสู้จริงเท่านั้น ยิ่งร่างกายได้รับการโจมตีที่รุนแรงมากเท่าไหร่ ความแข็งแกร่งก็จะยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้น ขั้นนี้จะเทียบเท่ากับผู้ที่อยู่ในขั้นกำเนิดกาย และขั้นสุดท้าย
ขั้นที่สามคือการใช้อัสนีบาตหล่อหลอมร่างกายให้แข็งแกร่งถึงขีดสุด ทนทานราวกับดาบเทพที่มิมีสิ่งใดทำลายได้ ความแข็งแกร่งในขั้นนี้จะเทียบเท่ากับผู้ที่อยู่ในขั้นหลอมรวมกายา และในแต่ละระดับใหญ่ก็จะแบ่งออกเป็สามขั้นย่อย ได้แก่ ขั้นแรกเริ่ม ขั้นกลาง และขั้นสูงสุด'
ดังนั้น หากอวี้เหวินสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชานี้จนสำเร็จ เขาก็จะมีความแข็งแกร่งเหนือกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันอย่างน้อยสองเท่าเลยทีเดียว
'หากข้าปรารถนาจะบรรลุเคล็ดวิชาขั้นแรกอย่างรวดเร็ว จำเป็ต้องเสาะหาสถานที่ที่เหมาะสมที่สุด ข่าวลือที่เล่าขานในหมู่บ้านนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก กล่าวว่าลึกเข้าไปในเทือกเขานี้ มีถ้ำลึกดำมืดแห่งหนึ่ง ที่ความแห้งแล้งแผดเผาร้อนระอุถึงขีดสุด พื้นดินเดือดพล่านราวกับหม้อโลหะที่ถูกไฟเผา หากแม้แต่มนุษย์ผู้แข็งแกร่งยังมิอาจทนทานอยู่ได้เกินครึ่งชั่วยาม ร่างกายก็จะถูกเผาไหม้จนกลายเป็เถ้าธุลี นี่คือดินแดนต้องห้ามที่เต็มไปด้วยอันตรายถึงชีวิต ทว่าในถ้ำนั้นกลับเป็รังของพยัคฆ์หางแมงป่อง สัตว์อสูรชั้นต่ำก็จริง แต่ด้วยพิษร้ายและพละกำลังที่น่าสะพรึงกลัว มันยังคงเป็ภัยคุกคามร้ายแรงสำหรับข้าในยามนี้' อวี้เหวินครุ่นคิดอย่างหนักหน่วง ดวงตาคมกริบฉายแววแน่วแน่ปนความกังวล ก่อนจะหันไปมองร่างเล็กจิ๋วของซ่งเหยียนเฟยที่กำลังหลับใหลอยู่บนเตียง
'ฮ่าๆ! ข้ามีผู้คุ้มกันที่แข็งแกร่งดุจเทพเซียนอยู่เคียงข้างกายแล้วนี่นา ช่างเป็โชคชะตาที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เอาเป็ว่าค่อยไปสำรวจถ้ำนั้นในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน' เขายิ้มให้กับความคิดอันชาญฉลาดของตนเองอย่างพึงพอใจ
หลังจากอวี้เหวินเสร็จสิ้นการฝึกฝนร่างกายอันเหนื่อยล้าประจำวัน ซ่งเหยียนเฟยก็ขอตัวเข้าไปฟื้นฟูพลังในห้องพักอันเงียบสงัด โดยมีหินดำลึกลับเม็ดนั้นเป็สื่อนำพลัง
กาลเวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว ราตรีอันมืดมิดได้ปกคลุมไปทั่วผืนฟ้า แสงจันทร์สีเงินสาดส่องลอดหน้าต่างไม้เข้ามาในห้องพักอันคับแคบ ภายในหินดำลึกลับที่วางอยู่บนเตียงนั้นเอง
"ฮ่าๆ! ในที่สุด ข้าก็สามารถเข้ามาได้จนได้ ช่างเป็การตัดสินใจที่ไม่ผิดพลาดแม้แต่น้อย หินลึกลับเม็ดนี้ซ่อนมิติอันพิสดารไว้ภายในจริงๆ ด้วย!" ซ่งเหยียนเฟยหัวเราะก้องกังวานด้วยความยินดี ราวกับนักโทษที่เพิ่งถูกปลดปล่อย
เขากวาดสายตามองไปโดยรอบ มิติภายในหินดำถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดอันไร้ขอบเขต ราวกับห้วงอวกาศอันเวิ้งว้าง ให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวและน่าหวาดหวั่นอย่างประหลาด ยิ่งเขาเหยียบย่างลึกลงไป หมอกปราณสีทมิฬก็ยิ่งหนาแน่นขึ้นจนแทบจะกลั่นตัวเป็หยาดน้ำค้าง ััเย็นเยียบของหมอกปราณกลับทำให้ซ่งเหยียนเฟยรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและสบายกายอย่างยิ่ง
ประสาทััทั้งห้าของเขากลับมาเฉียบคมราวกับใบมีด พลังปราณทมิฬอันบริสุทธิ์และเข้มข้นถูกดูดซับผ่านทางรูขุมขนทั่วทั้งร่าง ไหลเวียนเข้าสู่ตันเถียนอย่างรวดเร็วและทรงพลัง พวกมันไหลเวียนไปทั่วทุกส่วนของร่างกายที่บอบช้ำ ทำการซ่อมแซมแก่นชีพจรที่แตกสลายของซ่งเหยียนเฟย ช่วยสมานาแฉกรรจ์และรักษาอาการาเ็ภายในของเขาอย่างช้าๆ ทว่ามั่นคงราวกับสายน้ำที่ไม่เคยหยุดไหล
เขาจึงทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิบนพื้นดินที่เย็นเยียบและมืดมิด ดูดซับพลังปราณทมิฬอันมหาศาลเพื่อฟื้นฟูร่างกายและจิติญญาของตนเองในมิติแห่งนี้เป็เวลายาวนาน จนกระทั่งค่ำคืนอันเงียบสงัดได้ล่วงเลยผ่านพ้นไปสู่รุ่งอรุณของวันใหม่
ยามรุ่งอรุณ อวี้เหวินตื่นขึ้นด้วยความกระปรี้กระเปร่า เตรียมตัวที่จะมุ่งหน้าสู่เทือกเขาอีกครั้ง ทว่าครานี้มิใช่เพื่อล่าสัตว์ป่าอันใด หากแต่เป็การเดินทางเพื่อฝึกฝนพลังบ่มเพาะ
เช้านี้เขาได้ปรึกษาหารือกับซ่งเหยียนเฟย สังเกตเห็นว่าสีหน้าของอีกฝ่ายดูสดใสขึ้นกว่าเดิมมาก นั่นเป็สัญญาณบ่งบอกว่า หินดำลึกลับเม็ดนั้นมีคุณูปการต่อซ่งเหยียนเฟยอย่างแท้จริง มิได้เป็เพียงคำกล่าวอ้างที่ไร้สาระ
"วันนี้ข้าจะขึ้นเขาไปฝึกฝนเคล็ดวิชาเตาอัสนีวิบัติ มีสถานที่แห่งหนึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการฝึกฝนในขั้นแรก แต่สถานที่แห่งนั้นสำหรับข้าในตอนนี้ยังคงเต็มไปด้วยอันตราย" อวี้เหวินกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
"ดังนั้นเ้าจึง้าให้นายน้อยผู้นี้ติดตามเ้าไป เพื่อคุ้มกันภัยให้เ้ากระนั้นหรือ เ้าหนู?" ซ่งเหยียนเฟยเอ่ยด้วยท่าทางเบื่อหน่าย ราวกับอ่านความคิดของอวี้เหวินได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
"ใช่ ตามข้อตกลงของเรา หนึ่งในนั้นคือเ้าต้องเป็ผู้คุ้มกันภัยให้แก่ข้า" อวี้เหวินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทว่าแววตากลับฉายความมุ่งมั่น
"ก็ได้ๆ ตกลง เราจะออกเดินทางกันเลยหรือไม่?" ซ่งเหยียนเฟยรับคำอย่างเสียมิได้ ท่าทางยังคงแฝงไว้ด้วยความี้เี
"อีกครึ่งชั่วยาม เราจะออกเดินทาง ข้าขอเวลาเตรียมตัวสักครู่" อวี้เหวินกล่าว พลางลุกขึ้นไปจัดเตรียมสัมภาระที่จำเป็
เมื่อถึงเวลาออกเดินทาง ซ่งเหยียนเฟยก็ได้กลับเข้าไปสู่มิติภายในหินดำลึกลับ สร้อยคอเส้นนั้นจึงกลับมาคล้องอยู่บนลำคอของเ้าของเดิม อวี้เหวิน ในขณะที่เขากำลังจะก้าวเท้าออกจากเรือน
"เหวินเออร์ จำไว้ว่าความปลอดภัยของเ้าสำคัญที่สุด และอย่ารอจนตะวันลับฟ้าจึงค่อยกลับมา" เสียงทุ้มนุ่มของอวี้หลานดังขึ้นจากด้านใน
อวี้เหวินได้แจ้งแก่บิดาของเขาั้แ่ยามเย็นถึงแผนการที่จะขึ้นไปฝึกฝนบนเทือกเขาเพื่อเพิ่มพูนความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว เพียงแต่เขาเกรงว่าบิดาจะเป็ห่วงและห้ามปรามมิให้เขาไป เขาจึงกล่าวเพียงว่าจะไปฝึกฝนบริเวณรอบนอกของูเาที่ปราศจากสัตว์อสูร
"ลูกจะจดจำไว้ในใจขอรับ" อวี้เหวินรับคำด้วยความเคารพ
"สาวน้อยที่เ้าช่วยเหลือนำกลับบ้านมา นางอยู่แห่งหนใด? เหตุใดข้าจึงมิได้พบนางเลย?" อวี้หลานกวาดสายตามองไปรอบๆ เรือนอย่างละเอียด ราวกับกำลังค้นหาใครบางคนที่ซ่อนตัวอยู่
"เ้าหนู เ้ามิควรให้บิดาของเ้ารู้ว่าข้ายังคงอยู่กับเ้าในเวลานี้ เขายังคงหวาดระแวงข้าอยู่ ควรต้องรอเวลาอีกสักพัก" เสียงกระซิบแ่เบาของซ่งเหยียนเฟยดังขึ้นในห้วงความคิดของอวี้เหวิน ราวกับเสียงกระซิบจากอีกมิติ
"นาง... นางได้ขอตัวกลับไปยังถิ่นฐานของนางแล้วขอรับ ท่านพ่อ นางรู้สึกซาบซึ้งในความเมตตาของข้าเป็อย่างยิ่ง จึงได้มอบเคล็ดวิชาอันล้ำค่าพร้อมทั้งอาวุธวิเศษป้องกันตัวแก่ข้าเป็การตอบแทน และนางยังกล่าวอีกว่า สักวันนางจะกลับมาตอบแทนบุญคุณที่ได้ช่วยเหลือชีวิตนางในครั้งนี้ให้จงได้" อวี้เหวินก้มศีรษะเล็กน้อยพร้อมกับแย้มรอยยิ้มจางๆ
พลางหยิบอาวุธวิเศษที่ได้รับจากซ่งเหยียนเฟยออกมาให้อวี้หลานได้ชม แสงสีเงินยวงสะท้อนกับแสงตะวันยามเช้า ดูงดงามพิสดาร
"ข้าบอกเ้าแล้วอย่างไร ข้ามิใช่สตรี ข้าเป็บุรุษอกสามศอกโดยแท้!" ซ่งเหยียนเฟยพ่นลมหายใจออกมาด้วยความขุ่นเคือง ราวกับถูกหยามเกียรติ
"เป็เช่นนั้นเองหรือ ดีแล้วๆ ดีจริงๆ" อวี้หลานถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก คลี่ยิ้มกว้างอย่างยินดีให้กับอวี้เหวิน ความกังวลในดวงตาลดเลือนลงไป
"เ้าจงไปเถิด เวลามักไม่คอยท่า จงรีบไปรีบกลับ" อวี้หลานกล่าวด้วยความห่วงใย มองตามหลังบุตรชายด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก
"ขอรับ ท่านพ่อ ข้าจักรีบกลับมามิให้ทันยามสนธยา" อวี้เหวินรับคำด้วยความเคารพ ก่อนจะคำนับลา แล้วก้าวเท้าออกจากเรือน มุ่งหน้าสู่เส้นทางบนูเาอันท้าทาย
จากนั้นเขาก็ก้าวเท้าออกเดินอย่างมุ่งมั่น แรงใจอันแน่วแน่ผลักดันให้เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่ย่อท้อ สายตาคมกริบจับจ้องไปยังเป้าหมายที่อยู่เบื้องหน้า เขตแดนของสัตว์อสูร พยัคฆ์หางแมงป่อง
ถิ่นฐานของพยัคฆ์หางแมงป่องท่ามกลางขุนเขาอันกว้างใหญ่แห่งนี้เป็เพียงจุดเล็กๆ บนแผนที่เท่านั้น หากวัดระยะทางจากบ้านของอวี้เหวินแล้ว จะมีระยะทางที่ไกลกว่าเขตของหมาป่าอสูรถึงสิบลี้ เนื่องจากการสังหารหมาป่าอสูรของซ่งเหยียนเฟยเมื่อหลายวันก่อน ทำให้บริเวณนั้นยังคงไร้วี่แววของสัตว์อสูร แม้เวลาจะล่วงเลยมาพอสมควรแล้วก็ตาม จึงอำนวยความสะดวกให้อวี้เหวินในการเดินทางใน่แรกนี้ยิ่งขึ้น
ทั้งสองร่วมเดินทางด้วยกันเป็เวลานานหลายชั่วยาม โดยมีเพียงอวี้เหวินเท่านั้นที่ต้องออกแรงก้าวเดินไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยวและลาดชัน ผ่านป่าเขาลำเนาไพร สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย ราวกับกำลังก้าวเข้าสู่โลกอีกใบ จากป่าโปร่งที่แสงตะวันสาดส่องถึงพื้นดิน สู่ป่าทึบที่ร่มเงาปกคลุมจนมืดครึ้ม มีความร้อนชื้นอบอ้าวแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ
รอบข้างเต็มไปด้วยพงไพรหนาแน่น ต้นไม้สูงตระหง่านเสียดฟ้า รากไม้ใหญ่พันเกี่ยวกันยุ่งเหยิง สัตว์เล็กสัตว์น้อยวิ่งเล่นซุกซนไปมาอย่างสนุกสนาน ทว่าอย่าได้ดูแคลนขนาดและรูปลักษณ์ที่น่ารักของพวกมัน ไม่มีสัตว์ตัวใดในเขตอสูรแห่งนี้ที่เป็เพียงสัตว์ธรรมดา หากไม่ระมัดระวังตัวแม้เพียงชั่วครู่ อวี้เหวินก็อาจจะพบเจอกับงูพิษสีสันฉูดฉาดที่เป็สัตว์อสูรเลื้อยพันอยู่บนกิ่งไม้สูง หรือสัตว์ใหญ่เช่นหมูป่าปฐีที่มีเขี้ยวแหลมคมอาจจะพุ่งเข้าจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว เมื่อเดินผ่านแหล่งน้ำใสเย็น หากประมาทแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจถูกจระเข้ทองคำตัวใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำโผล่ขึ้นมางับด้วยกรามอันแข็งแกร่ง
แต่ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ อวี้เหวินได้รับการบอกกล่าวให้หลีกเลี่ยงและป้องกันจากซ่งเหยียนเฟยที่คอยชี้นำทางอยู่ภายในหินดำลึกลับตลอดเวลา ราวกับมีดวงตานับพันคู่คอยสอดส่องทุกการเคลื่อนไหวของเขา ทำให้การเดินทางในครั้งนี้เต็มไปด้วยความระมัดระวังและตื่นเต้นระทึกใจไปพร้อมๆ กัน
บัดนี้ สภาพแวดล้อมโดยรอบกายของอวี้เหวินเริ่มแปรเปลี่ยนไป ต้นไม้ใหญ่และใบหญ้าเขียวขจีเริ่มลดน้อยถอยลง อุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นอย่างรู้สึกได้ ไอความร้อนระอุแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ รอบข้างเริ่มปรากฏความแห้งแล้งและหินผามากขึ้น
"อีกสามสิบจั้งทางทิศเหนือ มีตะขาบเพลิงซ่อนตัวอยู่ เ้าระวังตัวด้วย จงเบี่ยงไปทางทิศตะวันออก รอมันปรากฏตัว ข้าจะสังหารมันเอง" เสียงของซ่งเหยียนเฟยดังขึ้นในห้วงความคิดของอวี้เหวิน เตือนภัยล่วงหน้า
อวี้เหวินเมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าก็พลันเคร่งขรึมลง ดวงตาคมกริบกวาดมองไปรอบทิศ แผ่ประสาทััออกไปอย่างระมัดระวัง ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความตื่นตัว เมื่อเขาก้าวเข้าสู่ระยะที่ตะขาบอัคคีซุ่มซ่อนอยู่ เขาก็เพิ่มความระมัดระวังถึงขีดสุด ราวกับกำลังเดินอยู่บนคมดาบ
พรึ่บ! ทันใดนั้นเอง ตะขาบเพลิงตัวยาวกว่าสามจั้งก็ะโโผล่ขึ้นมาจากพื้นดินที่แตกระแหงอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า มันอ้าปากกว้างเผยให้เห็นเขี้ยวยาวแหลมคมคู่หนึ่ง ส่งกลิ่นเหม็นคาวคลุ้งออกมา พร้อมทั้งทำท่าจะเขมือบอวี้เหวินเข้าไปทั้งร่าง
ทว่าในชั่วพริบตา ราวกับมีใบมีดที่มองไม่เห็นผ่าอากาศลงมา ฟาดฟันร่างของตะขาบั์ขาดเป็สองท่อนอย่างรวดเร็วปานแสงแลบ เืสีม่วงเข้มข้นพุ่งกระฉูดออกมาดุจน้ำตก ซ่งเหยียนเฟยแผ่พลังสร้างม่านกั้นโปร่งใสออกมาปกป้องอวี้เหวินจากพิษร้าย
เมื่อเืของตะขาบัักับม่านกั้น ก็เกิดเสียง "ฉ่า~" ดังขึ้น พร้อมกับควันสีขาวจางๆ ที่ลอยขึ้นมา บ่งบอกถึงฤทธิ์กรดอันรุนแรงของพิษ
"หากข้าโดนพิษร้ายกาจนี้เข้าไป มิใช่ว่าชีวิตข้าจะดับสิ้นไปจากโลกนี้ในทันทีหรอกหรือ?" อวี้เหวินเห็นภาพอันน่าสะพรึงกลัวนั้น ถึงกับรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ความตายอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม
"เจอเพียงเท่านี้ ใจเ้าก็ห่อเหี่ยวเสียแล้วหรือ เ้าหนู?" ซ่งเหยียนเฟยหัวเราะเบาๆ อย่างขบขัน
"หามิได้!" ดวงตาของอวี้เหวินกลับมาเฉียบคมดังเดิม แววตาแสดงถึงความมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อ "ไปกันเถอะ" เขากล่าวพร้อมกับก้าวเท้าเดินต่อไปอย่างไม่ลังเล
เมื่ออวี้เหวินก้าวเดินมาได้สักพัก สภาพแวดล้อมโดยรอบกายก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ต้นไม้และพุ่มไม้เขียวขจีได้เลือนหายไปจนหมดสิ้น คงเหลือไว้เพียงผืนดินที่แตกระแหง แห้งผากราวกับขาดน้ำมานานนับปี อุณหภูมิโดยรอบสูงขึ้นจนแทบจะแผดเผา
เริ่มปรากฏร่างของแมงป่องอสูรตัวน้อยใหญ่คลานออกมาจากรอยแตกของพื้นดิน อากาศร้อนระอุจนอวี้เหวินรู้สึกคอแห้งผาก ต้องยกขวดน้ำที่เตรียมมาขึ้นจิบอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งย่างก้าวลึกเข้าไป อุณหภูมิก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เหงื่อเม็ดโตเริ่มไหลซึมออกมาจากรูขุมขนทั่วทั้งร่างกาย
อาการเหนื่อยล้าอ่อนเพลียเริ่มถาโถมเข้ามาราวกับคลื่นที่ซัดกระหน่ำ จนกระทั่งอวี้เหวินรู้สึกว่าเรี่ยวแรงที่มีอยู่เริ่มจวนเจียนจะหมดสิ้น เขาจึงตัดสินใจมองหาโขดหินใหญ่เพื่อหลบพักจากไอแดดที่แผดเผา
"ด้วยระดับพลังของเ้าในตอนนี้ เ้ามิอาจก้าวล่วงเข้าไปลึกกว่านี้ได้อย่างแน่นอน เ้าควรเริ่มต้นฝึกฝนจากบริเวณนี้เสียก่อน แล้วจึงค่อยเข้าไปด้านในเมื่อพลังบ่มเพาะแข็งแกร่งขึ้น" เสียงของซ่งเหยียนเฟยดังขึ้นในห้วงความคิดของอวี้เหวิน เตือนสติด้วยความเป็ห่วง
"ตกลง ข้าจะทำตามที่เ้าว่า" อวี้เหวินพยักหน้าตอบรับ เขาทรุดตัวลงนั่งพักเพื่อฟื้นฟูพลังกายที่อ่อนล้า ทว่าในฉับพลันนั้นเอง ดวงตาของเขาก็พลันดับวูบลงสู่ความมืดมิด ร่างกายทรุดฮวบลงกับพื้นดินหมดสติในทันที
"อวี้เหวิน! อวี้เหวิน..." เสียงเรียกชื่อของอวี้เหวินด้วยความใดังขึ้นในห้วงความคิดของเขา...
(1 จั้ง = 3.33 เมตร)
(1 ลี้ = 500 เมตร)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้