นภามืดค่อยๆ ส่องแสง เสียงแตรเขาสัตว์ที่มีเฉพาะในแคว้นชางอี้ดังแว่วเข้ามาข้างหู
ในที่สุดก็มาถึงชางอี้แล้ว หลิ่วจิ้งขยี้ตา เปิดม่านข้างรถออก
หงฉางโผล่หัวเข้ามาถาม “องค์หญิง ท่านตื่นบรรทมแล้วหรือเพคะ?พวกเรามาถึงแคว้นชางอี้แล้ว ทอดพระเนตรสิเพคะ สตรีที่นี่ล้วนหน้าตาอัปลักษณ์นักฮ่าๆ ”
หลิ่วจิ้งมองตามที่นางชี้ไปและพอจะเห็นสตรีสองสามคนคลุมไหล่ด้วยผ้าแพรบางกำลังเต้นรำต้อนรับนางอยู่นอกเมือง
นางไม่ชื่นชอบคนที่ตัดสินคนที่หน้าตาเป็ที่สุดแต่สาวใช้หงฉางนี่กลับถอดแบบหวงฝู่จิ้งมาอย่างลึกล้ำจริงๆ ทุกถ้อยทุกคำไม่มีเลยที่จะไม่แสดงความสามัญธรรมดาออกมาทุกครั้งที่พูดจากับนางทำเอาหลิ่วจิ้งต้องโมโหจนปวดหัวไปเป็นานกว่าจะกลับมาเป็ปกติได้
แต่แล้ว ตอนนี้ก็นางกุมหัวหดกลับเข้ามาอยู่ในเกี้ยวเ้าสาว
และเมื่อคืนนางก็ทำเช่นนี้ตอนพบเจอกับเื่อันตราย
เมื่อนึกถึงภาพการต่อสู้อย่างเอาเป็เอาตายระหว่างหั่วอี้และโจรป่าหลิ่วจิ้งรู้สึกเพียงว่าจุดชีพจรไท่หยางตรงขมับคอยจะเต้นตุบๆ ขึ้นมาอย่างแรงไม่ได้
แขนขาของเหล่าโจรร่างอัปลักษณ์แต่ละคนแยกออกจากร่างซ้ำยังถูกพวกของหั่วอี้ใช้ทวนยาวแทงจนร่างพรุน เืสดทะลักไหลออกมาเพียงแค่คิดภาพที่เกิดขึ้นในเวลานั้น ท้องของนางก็ปั่นป่วนจนอยากอาเจียน
ไม่ว่าดูไปแล้วหั่วอี้ผู้นี้จะพูดจาสุภาพเพียงใดแต่ก็ไม่อาจปิดบังความกระหายเืและป่าเถื่อนซึ่งฝังอยู่ในกระดูกของเขาดังเช่นคนที่เกิดและเติบโตมาในแคว้นชางอี้ได้
หลิ่วจิ้งพลันรู้สึกเป็กังวลว่าหากวันหน้าเขารู้ฐานะที่แท้จริงของตนเข้านางจะต้องตกอยู่ในสภาพใดและมีจุดจบจบเช่นใดกัน?
ทว่าเวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่นางจะมาคิดเื่เหล่านี้
แคว้นชางอี้ส่งคนมารับนางเข้าเมือง เพียงไม่นานนักก็ไม่เห็นหั่วอี้แล้ว
นางเกิดความตระหนกที่ไร้ที่มาอยู่ในใจรู้สึกเพียงว่าต้องมีเื่ไม่ดีเกิดขึ้นแน่ๆซ้ำแล้วหนังตายังกระตุกอย่างแรงเสียด้วย
หั่วอี้กลับไปยังจวนของตนเองั้แ่กลับมาถึงชางอี้เขาต้องเร่งเดินทางมาหลายวันหลายคืน ต่อให้ร่างเป็เหล็กกล้าก็ยังมีวันที่ทานทนไม่ไหว
“ท่านแม่ทัพ กลับมาแล้วหรือขอรับ?” พ่อบ้านหวังออกไปต้อนรับเห็นว่าท่านแม่ทัพ นายของตนมีสีหน้าอ่อนล้า “ท่านแม่ทัพขอรับน้ำร้อนเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ท่านจะทานอะไรสักเล็กน้อยก่อนหรือไม่ขอรับ?”
“ไม่ล่ะ” หั่วอี้บีบสันจมูก พอถอนชุดเกราะออกก็ส่งให้คนที่อยู่ข้างหลังแล้วเดินเข้าไปในห้อง
เขาถอดเสื้อผ้าบนตัวออก โยนไปที่ราวแขวนขายาวแกร่งก้าวลงไปในสระอาบน้ำนี่นับเป็ของกำนัลพิเศษที่กษัตริย์แห่งแคว้นชางอี้มอบให้หั่วอี้ทีเดียว
ทั่วทั้งแคว้นชางอี้เป็ูเามีน้ำน้อยพื้นที่ทางฝั่งซ้ายเป็ที่ราบทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ทางฝั่งขวากลับเป็ทะเลทรายกว้างเวิ้งว้างไร้ผู้คน สำหรับประชาชนชางอี้แล้วทรัพยากรที่หายากยิ่งเช่นน้ำนี้ นับว่าเป็สิ่งล้ำค่าเกินเปรียบได้ทีเดียว
ทว่าเวลานี้หั่วอี้กลับได้ใช้น้ำซึ่งเป็ของแสนล้ำค่าของแคว้นชางอี้นำมันมาต้มให้ร้อนแล้วเทลงในสระน้ำให้เขาแช่อาบผ่อนคลายความอ่อนล้าเห็นได้ว่าทั้งฐานะที่พิเศษและความเมตตารักใคร่ที่กษัตริย์แห่งชางอี้มีให้เขานั้นไม่มีผู้ใดจะเทียบเทียมได้
หั่วอี้หรี่ตาลงน้อยๆแผ่นหลังพิงอยู่กับขอบสระน้ำเพื่องีบหลับสักพัก
ใบหน้าของสตรีผู้หนึ่งค่อยๆ ลอยขึ้นมาตรงหน้าเขา นางมีใบหน้ารูปไข่ผิวขาวหมดจดแต่แดงระเรื่อดวงตากลมโตสดใสมีชีวิตชีวายามจดจ้องมองมาคล้ายจะดูดดวงิญญาทั้งดวงของผู้ที่สบตาเข้าไป ข้างใต้จมูกโด่งมีริมฝีปากดั่งผลอิงเถาน้อยๆประดับอยู่ ประเดี๋ยวปิดประเดี๋ยวเผยอออกช่างน่ารักชวนให้คนหลงใหล
และแน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้หั่วอี้ไม่อาจลืมเลือนได้ก็คือสายตาที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นและแน่วแน่ยามนางจับจ้องมองมาที่เขาจากที่ไกลๆครั้งโจรป่าบุกเข้าโจมตีเมื่อคืนวานมิน่าเล่าถึงพากันเล่าขานว่าเหล่าบุรุษต่างแคว้นล้วนชื่นชอบที่จะมามอบของบรรณาการให้แคว้นต้าเว่ยด้วยหวังจะได้ตบแต่งกับหญิงงามของต้าเว่ยไป ดูแล้ว นางก็สมกับเป็องค์หญิงแห่งต้าเว่ยจริงๆ
ลำพังแค่ความสง่างามและสติปัญญาที่ห่อหุ้มไว้ภายใต้อาภรณ์วิจิตรหรูหราทั้งกายนางนั้นเขากล้าพูดได้เลยว่าไม่มีสตรีแม้สักคนในแคว้นชางอี้ของพวกเขาจะสามารถทัดเทียมนางได้
ถูกต้อง เขาลุ่มหลงนางจนถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว
ทุกคราที่หลับตาลง ลำคอเรียวยาวนั้นก็โผล่เข้ามาในม่านตาเขาโดยไม่อาจบังคับจิตใจได้ทั้งรูปร่างแสนอรชร กริยาผ่าเผยองอาจ และกลิ่นอายชวนหลงใหลคอยแต่จะแผ่ซ่านออกมาจากทั่วทั้งตัวนางสตรีเช่นนางเมื่อมาถึงชางอี้แล้ว จะสามารถเป็ดังดอกบัวงามที่เบ่งบานโผล่พ้นดินโคลนโดยไม่เปรอะเปื้อนได้จริงๆหรือ?
เวลานี้หั่วอี้กลับเริ่มเป็กังวลต่อสวัสดิภาพขององค์หญิงแห่งต้าเว่ยขึ้นมาเสียแล้ว
ตะวันสีชาดลับขอบฟ้า รัตติกาลเข้ามาเยือนแทน
หั่วอี้เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยและถูกคนพามายังงานเลี้ยงต้อนรับองค์หญิงแห่งต้าเว่ยที่ยิ่งใหญ่มโหฬารเป็ที่สุด
“แม่ทัพหั่วอี้ ท่านมาแล้ว”ชายร่างใหญ่ที่มีหนังสุนัขป่าคลุมไหล่ผู้หนึ่งเดินเข้ามาหาทุกก้าวย่างของเขามีเสียง ‘ตึง’ ดังตามมา เห็นได้ว่าคนผู้นี้มีพลังกำลังเหลือล้น
เขาก็คืออาเหมิ่งต๋า รองแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นชางอี้ผู้ซึ่งเป็รองก็แต่หั่วอี้เพียงคนเดียวเท่านั้น
บ่าวของเขาส่งจอกสุรานมม้าสดใหม่มาให้จอกหนึ่งหั่วอี้รับมาแล้วเงยหน้าขึ้นดื่ม พอดื่มหมดก็โยนจอกไปข้างหลังอย่างที่ทำเป็ประจำจากนั้นทั้งสองคนก็เข้ามากอดกันแน่นแล้วเอ่ยถ้อยคำด้วยอัธยาศัยไมตรีต่อกันสองสามคำ
ผู้คนที่ได้ข่าวและมาร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้มีจำนวนมากมายจนนับไม่ถ้วนไม่ได้มีเพียงชายหญิงจากเมืองเล็กๆ ใกล้ชางอี้เท่านั้นยังมีสตรีสูงศักดิ์ของชางอี้ที่แต่ไรมาไม่เคยก้าวเท้าออกจากบ้านอีกมากมายที่วันนี้ได้รับการผ่อนปรนจากธรรมเนียมปฏิบัติเป็กรณีพิเศษและอนุญาตให้มาร่วมงานในคืนนี้ได้
เหตุที่กษัตริย์แห่งแคว้นชางอี้ทำเช่นนี้ ประการแรกก็เพื่อเป็การแสดงการต้อนรับการมาเยือนขององค์หญิงแห่งแคว้นต้าเว่ยประการที่สองย่อมเพื่อเป็การต้อนรับล้างเนื้อล้างตัว [1] ให้แก่ท่านแม่ทัพใหญ่หั่วอี้ที่เพิ่งได้รับชัยชนะจากาและพอดีเป็ทางผ่านจึงเดินทางไปรับตัวเ้าสาวแทนกษัตริย์ไปพร้อมกันส่วนประการที่สามนั้นกลับมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ถึงเจตนารมณ์ที่แท้จริงในค่ำคืนนี้ของกษัตริย์แห่งแคว้นชางอี้
กองไฟบนพื้นยิ่งสว่างขึ้นเรื่อยๆที่สุดดาวเด่นแห่งค่ำคืนนี้ก็มาถึงโดยมีกษัตริย์แห่งแคว้นชางอี้ช่วยประคองให้เดินเข้ามาอย่างช้าๆ
เวลานี้ หลิ่วจิ้งยังคงสวมผ้าแพรคลุมหัวเ้าสาวสีแดงอยู่และนางก็สวมชุดเ้าสาวสีแดงเพลิงทั้งตัวมาร่วมงาน ยามต้องแสงเปลวไฟในเวลาค่ำคืนยิ่งทำให้ทั้งตัวดูงดงามไร้ผู้เทียบเทียม
นางก้มหน้าขณะคล้องแขนชายที่อยู่ข้างกายโดยมีหงฉางคอยประคองอย่างระมัดระวังเพื่อให้เดินไปยังตำแหน่งกึ่งกลางวงล้อมได้โดยปลอดภัย
เดินไปได้ครึ่งทาง ชายที่อยู่ข้างกายพลันหยุดเดิน สะบัดท่อนแขนยาว ชี้ไปยังเก้าอี้ที่ค่อนข้างเก่าและผุพังซึ่งอยู่ถัดไปจากที่นั่งหลัก“ต้องขอให้องค์หญิงแห่งต้าเว่ยทรงอดทนเป็การชั่วคราวสักหน่อยไปประทับนั่งที่นั่นก่อนเถิด”
ผู้ที่เอ่ยคำก็คือกษัตริย์แห่งชางอี้ ทั่วป๋าเจิ้งนั่นเอง
“เพคะ” หลิ่วจิ้งย่อตัวลงคารวะเขาตามธรรมเนียมของต้าเว่ยก่อนจะเดินโดยมีชายกระโปรงโบกไหวสะบัดน้อยๆ ไปยังเก้าอี้ตัวนั้น ยามนางเยื้องยุรยาตรทำเอาทุกผู้ทุกคนที่พบเห็นพลันรู้สึกคล้ายว่านางหาได้เดินไปยังเก้าอี้ผุพังตัวนั้นไม่หากแต่เป็บัลลังก์ทองของ ฮองเฮา
ผู้คนที่อยู่เบื้องล่างพลันเอาหัวแนบกระซิบข้างหูกันขึ้นมาทันใด
แม้แต่อาเหมิ่งต๋าที่นั่งอยู่ข้างๆหั่วอี้ก็ยังอดจะโพล่งขึ้นมาคำหนึ่งไม่ได้ว่า “องค์หญิงแห่งต้าเว่ยผู้นี้ดูไปแล้วเป็นางปีศาจยั่วสวาทโดยแท้”
หากมิใช่ว่าหั่วอี้รู้ว่าเขาเป็คนมีนิสัยไม่ชมชอบหญิงงามก็เกรงว่าหั่วอี้คงจะลงไม้ลงมือกับเขาไปนานแล้ว
เขาโค้งมุมปากขึ้นถามว่า “ทำไมรึ? อาเหมิ่งต๋าก็สนใจนางด้วยหรือ?”
อาเหมิ่งต๋าโบกไม้โบกมือ “พี่ใหญ่ ท่านยังไม่รู้นิสัยข้าอีกรึ? ต่อให้นางปีศาจยั่วสวาทนี่มีรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ยั่วยวนใจคนจริงดังว่าแต่หากว่ามาอยู่กับข้า เกรงว่าอยู่ไม่พ้นสามวันก็ต้องอายุสั้นเสียแล้ว”
คำนี้ไม่ผิดจริงๆ หั่วอี้เคยชนะศึกและพาเชลยหญิงจากแคว้นอื่นๆกลับมามอบให้เขาหลายครั้งหลายหน แม้ว่าแต่ละคนจะมิได้งดงามทัดเทียมหวงฝู่จิ้งทว่าก็อ่อนโยนชวนหลงใหลเช่นกัน แต่เมื่อเขาพากลับไปไม่ถึงสามวันก็ได้ยินข่าวว่าตายเสียแล้ว
หั่วอี้หาคนมาสอบถามจึงรู้ว่าที่อาเหมิ่งต๋านำเชลยหญิงเ่าั้กลับไป ที่แท้แล้วล้วนเพื่อนำไปฝึกฝีมือแส้นับแต่นั้นมาเขาจึงไม่เคยมอบสตรีให้อาเหมิ่งต๋าอีกเลยเพราะทำเช่นนั้นก็มิเท่ากับเป็การทำลายทรัพยากรอันมีค่าไปอย่างไร้ประโยชน์หรอกหรือ?
ทั่วป๋าเจิ้งเข้าที่นั่ง และผู้ที่เข้ามานั่งเป็คนสุดท้ายก็คือผู้สำเร็จราชการแทนแห่งชางอี้ ทั่วป๋าฉาง พระอนุชา [2] ของทั่วป๋าเจิ้ง
ผู้ที่เพิ่งมานั้นเหลือบตาไปมองหลิ่วจิ้งหนหนึ่งท่ามกลางสายตาของผู้คนเรือนหมื่นที่มาร่วมงานจากนั้นสาวใช้สองคนจึงประคองให้เขานั่งลง
“เอาล่ะ ในเมื่อคืนนี้ทุกคนมาพร้อมกันแล้วเช่นนั้นก็เริ่มงานเลี้ยงของพวกเราอย่างเป็ทางการเถิด”ทั่วป๋าเจิ้งเอ่ยออกไปด้วยเสียงที่ดังกึกก้อง
คนผู้หนึ่งที่ดูคล้ายว่าเป็นายทหารคอยถือดาบยืนอยู่ข้างหลังเขาเมื่อเขานั่งลง ทหารผู้นั้นก็ประกาศเสียงลั่นว่า“เริ่มงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้อย่างเป็ทางการ การแสดงชุดแรก ระบำเก้าชั้นฟ้า”
______________________________
เชิงอรรถ
[1] ต้อนรับล้างเนื้อล้างตัวคือการอุปมาถึงการต้อนรับคนที่เพิ่งกลับมาจากการเดินทางไกลที่เนื้อตัวมักมีฝุ่นจากหนทางที่เป็ดิน จึงช่วยมาล้างฝุ่นบนตัวให้ยามกลับมาถึง
[2] พระอนุชา คือ น้องชายของกษัตริย์