หลังจากจัดการเื่ทุกอย่างจนกระจ่าง หมี่จิ้งเฉิงและหวังหย่วนฉิงก็เดินไปส่งตำรวจหลิวที่หน้าประตูบ้าน พอลับหลังคนก็หันมาสอบสวนเ้าตัวแสบทั้งสองทันที
"สารภาพมาซะดีๆ เื่มันเป็ยังไง ใครเป็คนเริ่ม ใครเป็คนตัดสินใจ"
หวังหย่วนฉิงหน้าตึงไปหมด แค่คิดว่าลูกถูกปล้นก็ใจสั่นไปถึงตับแล้ว ถ้าเกิดอะไรขึ้นมานิดหน่อย เธอจะอยู่ได้ยังไง ลูกสองคนนี้ ปกติก็ดูรู้เื่นะ ทำไมถึงกล้าทำอะไรบุ่มบ่ามขนาดนี้ได้
"แม่ครับ ใจเย็นๆ ก่อนนะ เดี๋ยวผมรินน้ำให้"
หมี่หลันเยว่ใช้มือเล็กๆ เกาะขาหวังหย่วนฉิง ประจบเอาใจ ส่วนหมี่หลันหยางก็รู้ความ รีบไปรินน้ำมาสองแก้ว ส่งให้พ่อกับแม่คนละแก้ว
หวังหย่วนฉิงก็รู้สึกว่าตัวเองดุเกินไป รีบดื่มน้ำดับอารมณ์
"พูดมา อย่าโกหก เล่ามาให้ละเอียดเลยนะ"
คำพูดนี้ฟังดูหนักหน่วง หมี่หลันเยว่รู้สึกผิด
"แม่คะ หนูไม่ได้โกหกนะคะ แค่ไม่ได้บอกให้แม่ฟังเท่านั้นเอง"
เธอคิดว่าการออกไปตั้งแผงขายหนังสือเป็การทำเื่ดีๆ แค่ไม่ได้ปรึกษาพ่อแม่ ก็ไม่น่าจะเรียกว่าโกหกนะ เธอหวังดีจริงๆ
"ยังกล้าบอกว่าไม่ได้โกหก พี่ลูกบอกว่าไปทำการบ้านบ้านเพื่อนทุกวัน แล้วลูกได้ไปรึเปล่า"
หมี่หลันเยว่ลืมเื่นี้ไปเสียสนิท พอหวังหย่วนฉิงถามแบบนี้ ก็อ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก เห็นน้องสาวโดนว่า หมี่หลันหยางก็รู้สึกไม่ดี
"แม่ครับ อย่าว่าน้องเลย เื่นี้ผมเป็คนตัดสินใจเอง น้องไม่เกี่ยว แค่ไปเป็เพื่อนผมเฉยๆ แม่จะดุก็ดุผมคนเดียวเถอะครับ ผมผิดเอง"
ร่างเล็กๆ ของหมี่หลันหยางยืนขวางหน้าน้องสาว
ถึงพ่อกับแม่จะตีเขา เขาก็ยอม แต่จะให้น้องสาวเสียใจไม่ได้
"ลูกนี่สุภาพบุรุษจริงๆ เลยนะ ทำผิดแล้วออกมาปกป้องน้อง แต่ไม่ได้แปลว่าลูกจะเป็ฮีโร่สักหน่อย"
หมี่หลันหยางโดนแม่ดุจนตัวลีบ แต่พอคิดถึงน้องสาวที่อยู่ข้างหลัง ก็รีบยืดตัวตรง หมี่จิ้งเฉิงมองอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้าอย่างชื่นชม
ไม่ว่าลูกชายจะผิดหรือไม่ผิด การที่ปกป้องน้องได้ขนาดนี้ก็น่าชมแล้ว ยิ่งเื่ยังไม่จัดการให้ชัดเจน จะด่าว่าลูกผิดเลยก็ไม่ได้ เขารู้ว่าภรรยาเป็ห่วงลูกที่ถูกปล้นวันนี้ ก็เลยใกลัวจนแสดงออกเกินไป
"หลันเยว่ มาหาพ่อมา มาเล่าให้พ่อฟังหน่อยสิ ลูกไปเปิดแผงหนังสือได้ยังไง ขายมานานแค่ไหนแล้ว พ่อจำได้ว่าพี่ลูกอ้างไปทำการบ้านบ้านเพื่อน น่าจะเดือนหนึ่งแล้วมั้ง"
หมี่หลันเยว่พยักหน้าอย่างรู้สึกผิด
"พ่อคะ หนูขอโทษ หนูไม่ควรปิดบังพ่อกับแม่ แต่หนูไม่ได้ตั้งใจค่ะ เพราะหนูรู้ว่าถ้าบอกไป พ่อกับแม่ก็ไม่ให้หนูไปแน่ๆ หนูอยากทำให้พ่อกับแม่เห็นว่าสิ่งที่หนูทำมันถูกค่ะ"
ไหนๆ เื่ก็แดงขึ้นมาแล้ว หมี่หลันเยว่ก็เลยไม่คิดจะปิดบังอีก แต่ก็อยากจะขอให้พ่อแม่เห็นด้วยกับการขายหนังสือของเธอ
"หนูทำแผงหนังสือมาเดือนหนึ่งแล้วค่ะ ส่วนทำไมถึงไป เื่มันยาวค่ะ..."
ได้ยินลูกสาวลากเสียงยาว หมี่จิ้งเฉิงก็ไม่ได้ขัด เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าเื่มันจะยาวขนาดไหน
"เื่มันเริ่มั้แ่ตอนนั้นที่พี่ชายพาหนูไปดูหนังสือการ์ตูนที่ห้องของพี่เขา..."
เื่ราวมันไม่ได้สั้นอย่างที่คิด หมี่จิ้งเฉิงและหวังหย่วนฉิงไม่คิดเลยว่าลูกสาววางแผนอะไรไว้มากมายขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าอยากทำแค่ชั่วครั้งชั่วคราว ั้แ่ให้แม่ซื้อหนังสือให้ ก็วางแผนมาตลอด แค่ตอนนั้นยังเด็กเกินไป
คิดว่าลูกสาววางแผนมาปีกว่าเพื่อวันนี้ สองคนก็ตกตะลึง
"ลูกเริ่มอยากเช่าหนังสือการ์ตูนั้แ่ตอนนั้นเลยเหรอ"
หมี่จิ้งเฉิงยังรู้สึกว่าตอนนั้นลูกสาวอายุยังไม่สี่ขวบเลย หรือเกือบสี่ขวบแล้ว เขารู้สึกว่าสมองตัวเองเริ่มสับสน
"ไม่ได้อยากเช่าค่ะ ตอนนั้นแค่เห็นว่าเพื่อนๆ ชอบอ่านหนังสือการ์ตูนกัน แล้วหนูก็ชอบด้วย ก็เลยให้แม่ซื้อให้ค่ะ"
"แต่ต่อมา ไม่ว่าจะมีหนังสือการ์ตูนเยอะแค่ไหน ก็รู้สึกว่ามันไม่พออ่าน หนูเลยคิดอยากเช่าหนังสือขึ้นมา แผงหนังสือของหนูไม่ได้มีแค่ให้เช่าอย่างเดียว แต่ยังเอาไว้แลกหนังสือกับคนอื่นด้วย แบบนี้หนูกับพี่ชายก็จะมีหนังสือการ์ตูนอ่านมากขึ้นค่ะ"
หมี่หลันเยว่ไม่ได้โง่ที่จะพูดความจริงออกไปทั้งหมด เธออ้างว่าอยากอ่านหนังสือกับพี่ชายเยอะๆ ก็จะได้รับความเห็นใจจากพ่อกับแม่มากขึ้น
"ดูสิลูกคนนี้ หนังสือไม่พอก็บอกแม่ก็ได้ จะต้องออกไปเสี่ยงอันตรายทำไม"
ในสายตาของหวังหย่วนฉิง ความปลอดภัยสำคัญที่สุด จะเสียเงินหน่อย เพื่อซื้อความปลอดภัยก็ยังดี จะต้องให้ลูกออกไปเสี่ยงอันตรายขายหนังสือทำไม พอคิดถึงเื่ที่ลูกถูกปล้น เธอก็ใจหายใจคว่ำ กลัวไปหมด แต่ก็ซึ้งใจกับความคิดของลูก
"แล้วปล่อยเช่าหนังสือได้เงินมาบ้างรึเปล่า"
หมี่จิ้งเฉิงไม่ได้อ่อนไหวเหมือนหวังหย่วนฉิง เขาสังเกตเห็นว่าลูกสาวตื่นเต้นกับการเช่าหนังสือมาก ไม่ใช่แค่ได้หนังสือมาเฉยๆ เพราะตอนที่ภรรยาซื้อหนังสือใหม่ให้ก็ไม่เห็นจะตื่นเต้นขนาดนี้ ความตื่นเต้นแบบนี้มันซ่อนอยู่ แต่เก็บไม่อยู่
พอได้ยินพ่อถามแบบนี้ หมี่หลันเยว่ก็ทนไม่ไหวแล้ว ในเมื่ออยากให้พ่อแม่เห็นด้วย ก็ต้องเอาของดีๆ มาล่อ
"พ่อคะ ตอนแรกหนูกับพี่ชายแค่คิดจะหาหนังสือมาอ่านให้เยอะขึ้น แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะทำเงินได้จริงๆ"
หมี่หลันเยว่หยิบกระเป๋าหนังสือของพี่ชายมา เทหนังสือการ์ตูนกับผ้าพลาสติกออกมาไว้ข้างๆ แล้วคว่ำกระเป๋า เทเหรียญกับธนบัตรออกมาบนพื้น
"พ่อคะ ดูสิ นี่คือเงินของหนูกับพี่ชายวันนี้ค่ะ"
เห็นเงินเหรียญกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด ทั้งสองคนก็ไม่รู้จะพูดอะไร
"นี่แค่วันนี้วันเดียวเหรอ"
ถึงจะเป็เงินเหรียญ แต่ดูแล้วก็มีอยู่สองสามหยวนได้
"ใช่ค่ะๆ แค่วันนี้ เรามานับกัน ดูซิว่าวันนี้ได้เงินเท่าไหร่"
หมี่หลันหยางกับหมี่หลันเยว่ก้มหน้าก้มตานับเงินอยู่ขอบเตียง คนหนึ่งนับเหรียญ คนหนึ่งนับธนบัตร ธนบัตรมีน้อยจึงนับได้เร็ว
"พ่อครับ ธนบัตรมีห้าเหมาแปดเฟินครับ"
หมี่หลันหยางชูธนบัตรในมือ บอกพ่อเสียงดัง เห็นว่าแม่ถึงจะอยากรู้ แต่ก็ยังทำหน้าบึ้งอยู่ ก็เลยฉลาดเปลี่ยนเป้าไปที่พ่อแทน
"พ่อคะ เหรียญมีสองหยวนสองเหมาเจ็ดเฟินค่ะ"
หมี่หลันเยว่นับเสร็จแล้ว เธอแบ่งเหรียญ หนึ่งเฟิน สองเฟิน ห้าเฟิน ออกเป็กองๆ ละสิบเหรียญ ให้เห็นชัดๆ ว่ามีเงินเท่าไหร่
"ทุกวันได้เยอะขนาดนี้เลยเหรอ"
ฐานะของที่บ้านก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าทำให้ชีวิตดีขึ้นได้ ใครก็ไม่อยากพลาดโอกาส แต่ไม่คิดเลยว่าคนแรกที่หาเงินมาเพิ่มให้ครอบครัวได้จะเป็เด็กสองคนนี้
"เกือบๆ ค่ะ ตอนแรกๆ ก็ได้แค่สองหยวนกว่าๆ แต่หลังๆ มาก็ได้วันละสามหยวนกว่าๆ วันนี้ถือว่าน้อย เพราะโดนแย่งหนังสือการ์ตูนไป ทำให้เสียเวลาเช่ากับอ่านหนังสือ เงินวันนี้ก็เลยไม่ถึงสามหยวน"
"พ่อคะ หนูคำนวณไว้แล้ว เงินที่หนูกับพี่ชายหามาได้ พอเป็ค่าเล่าเรียนของหนูกับพี่ชาย แล้วก็น้องชายในปีหน้า พ่อกับแม่จะได้เก็บเงินในบ้านไว้ใช้จ่ายยามจำเป็บ้าง เพราะมีเงินมันก็อุ่นใจกว่านี่คะ"
ฟังลูกสาวพูดจาฉะฉาน หมี่จิ้งเฉิงก็รู้สึกละอายใจ ครอบครัวก็ลำบากจริง แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดที่ต้องให้ลูกออกมาหาเลี้ยง แต่ลูกกลับเริ่มวางแผนเพื่อครอบครัวก่อนแล้ว นี่ทำให้หมี่จิ้งเฉิงรู้สึกว่าตัวเองเป็พ่อที่ไม่ดีพอ
"อย่าเพิ่งพูดถึงเื่เงินเลย ลูกสองคนใจกล้าเกินไป ออกไปขายของแบบนี้ ไม่เคยคิดถึงอันตรายเลยเหรอ วันนี้แค่โดนแย่งหนังสือ ถ้ามีคนมาปล้นเงิน จะทำยังไง คิดไว้บ้างรึเปล่า"
หมี่หลันเยว่ไม่เคยคิดถึงเื่นี้จริงๆ ตอนนี้มันเป็่ต้นทศวรรษที่ 70 คนยังซื่อๆ กันอยู่ จะมีคนปล้นไหม? ก็คงมีแหละ แต่มีน้อยมาก ทำให้หมี่หลันเยว่แทบจะมองข้ามอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการขายของไป ตอนที่พี่ชายวิ่งตามคนแย่งหนังสือไปถึงได้คิดถึงเื่ความน่ากลัวขึ้นมา
"พ่อคะ หนูไม่ได้คิดถึงเื่อันตรายจริงๆ ด้วยค่ะ นี่เป็ความผิดของหนู แต่ต่อไปหนูกับพี่ชายจะระวังตัว จะไม่ทะเลาะกับใครเื่เงิน ถึงจะโดนแย่งหนังสือหรือแย่งเงิน ก็ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าตัวเอง หนูจะดูแลตัวเองให้ดีค่ะ"
อะไรกัน ยังไม่ได้พูดอะไรเลย ลูกก็รีบดักคอแล้ว
"เื่วันนี้ ลูกยังไม่เห็นอันตรายอีกเหรอ ลูกสองคนยังเด็กเกินไป ไม่มีทางป้องกันตัวเองได้ พ่อไม่เห็นด้วยที่หนูจะขายของต่อไป"
หมี่จิ้งเฉิงปฏิเสธข้อเสนอของลูกสาวทันที เขารู้สึกว่าเงินมากแค่ไหนก็ไม่สำคัญเท่าความปลอดภัยของลูก
"พ่อคะ เช่าหนังสือมันได้เงินเยอะจริงๆ นะ ให้หนูกับพี่ชายไปเถอะ อีกไม่นานก็จะเข้าหน้าหนาวแล้ว หนูขายได้อีกแค่เดือนเดียวเองนะคะ ถ้าพ่อไม่ให้ไป..."
"วันนี้มีตำรวจมาช่วยเรา พวกวัยรุ่นที่ไม่เอาไหนพวกนั้นไม่กล้ามาวุ่นวายอีกแล้ว พ่อเชื่อหนูเถอะนะคะ"
หมี่หลันเยว่ไม่อยากพลาดโอกาสหาเงินที่หามาได้ยากนี้ การหาเงินมันก็ต้องมีความเสี่ยงบ้าง แต่ก็ไม่ควรกลัวจนเกินเหตุ
"ไม่ได้ พ่อว่ามันไม่สมควร"
หมี่จิ้งเฉิงใจอ่อนเพราะลูกอ้อนวอน แต่ความคิดที่ห่วงความปลอดภัยของลูกก็ยังสำคัญกว่า
"พ่อคะ ไม่มีอะไรที่ไม่ควรหรอกค่ะ เงินนั่นแหละสมควรที่สุด เดือนที่แล้วหนูกับพี่ชายหาเงินได้ตั้งเจ็ดสิบกว่าหยวนนะคะ"
"เท่าไหร่นะ?"
หมี่จิ้งเฉิงใจเต้นแรง เมื่อกี้ลูกสาวบอกว่าเฉลี่ยวันละสองหยวนกว่าๆ เขายังไม่ได้คิดรวมเลย วันละสองหยวนกว่าๆ เดือนนึงก็เจ็ดสิบกว่าหยวนน่ะสิ
"เจ็ดสิบกว่าหยวนค่ะ เดี๋ยวหนูเอาให้ดู พ่อคะ มันได้เงินเยอะจริงๆ นะ ให้หนูทำต่ออีกเดือนเดียวนะคะ แค่เดือนเดียว ขอร้องละค่ะ"
หมี่หลันเยว่อ้อนวอนไม่หยุด เขย่าแขนพ่ออย่างแรง อยากให้พ่อเข้าข้างตัวเอง
"ก็ได้ๆ ยังไงการหาเงินก็ไม่ใช่เื่เสียหาย งั้นเราทำกันอีกเดือนเดียว แต่พ่อจะไปอยู่เป็เพื่อนด้วย"
ได้ยินพ่อตกลง ก็ไม่สนแล้วว่าพ่อจะไปอยู่เป็เพื่อนด้วยรึเปล่า ขอแค่ได้ทำต่ออีกเดือนนึง นั่นก็คือเงินอีกเจ็ดสิบกว่าหยวนแล้ว สองเดือนก็ได้เงินร้อยห้าสิบร้อยหกสิบหยวนแล้ว ปกติทั้งบ้านเก็บเงินทั้งปีก็ยังไม่ได้เท่านี้ ไม่แปลกที่หมี่จิ้งเฉิงจะใจอ่อน