ชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนความหวังในใจของทุกคนพลันจุดประกาย ในที่สุดหนานกงเยวี่ยกับจิ้นหวังเฟยพลันอดกลั้นไม่ไหว รีบเร่งเข้าไปหารถม้าที่เคลื่อนเข้ามา
“เฉิงเอ๋อร์...ลูกชายแม่ พ่อบ้าน คุณชายใหญ่เป็อย่างไรบ้าง?”
หนานกงเยวี่ยวิ่งเหยาะๆ ในที่สุดก็มาถึงหน้ารถม้า นางเห็นพ่อบ้านขับรถม้ามาด้วยตัวเอง นางรีบเร่งเดินไปพร้อมกับรถม้า พลางเอ่ยถามสถานการณ์อย่างร้อนใจ
พ่อบ้านขมวดคิ้ว นึกถึงสถานการณ์ของเหนียนเฉิงในรถม้า ทว่ากลับไม่รู้ว่าจะรายงานอย่างไร
ท่าทีตอบสนองนี้ไม่เพียงแต่หนานกงเยวี่ยที่มีสีหน้าเปลี่ยนไป จิตใจของจิ้นหวังเฟยซึ่งอยู่ด้านข้างเองก็ตึงเครียดขึ้นเช่นกัน เพิ่งจะกลับมาถึงหน้าประตู รถม้าหยุดลง จิ้นหวังเฟยแทบจะรอที่จะเลิกม่านขึ้นไม่ไหว ชั่วขณะที่ม่านเปิด ทว่าอย่างไรก็ไม่อาจคาดเดาว่าจะมีชายหนุ่มคนหนึ่งออกมาจากรถม้า
ชายคนนั้น ร่างกายสูงแปดชุ่น[1] กำยำสูงโปร่ง ผิวซีดขาวราวกับสาลี ทว่าใบหน้าแน่วแน่กลับมืดมน
นี่มัน...
บรรดาอนุภรรยาจวนเหนียน รวมถึงหนานกงเยวี่ยจำเขาได้ั้แ่แรกเห็น
วันที่เหนียนเฉิงแต่งงานกับจ้าวอิ้งเสวี่ย บุคคลที่ฟันเหนียนเฉิงต่อหน้าผู้คน มิใช่เขาหรอกหรือ?
และในอ้อมแขนของเขา ปรากฏกายของหญิงสาวที่ถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อผ้าของบุรุษ ใบหน้าของหญิงสาวแอบอิงในอ้อมแขนของชายหนุ่ม จึงไม่มีผู้ใดเห็นชัดเจน แต่รอยแผลเป็ที่เผยให้เห็นบนมือ ทำให้รู้ชัดถึงตัวตนของหญิงสาวผู้นั้นทันที
จ้าวอิ้งเสวี่ย!
มีเพียงร่างกายของนางเท่านั้นที่มีรอยแผลเป็เยี่ยงนี้
ทว่าในยามนี้ นางถูกชายหนุ่มโอบอุ้มเช่นนี้ สถานการณ์นี้มัน...
ทันใดนั้น ผู้คนต่างหันไปมองหน้ากัน
สีหน้าของหนานกงเยวี่ยพลันแปรเปลี่ยน นางไม่ยอมละทิ้งโอกาสไปแน่นอน จึงกล่าวสร้างปัญหาทันที “นี่มันเกิดเื่อันใดขึ้น? สตรีออกเรือนแล้ว ให้บุรุษอื่นนอกจากสามีมาโอบอุ้มเยี่ยงนี้ นี่... นี่มัน...นี่มัน...เื่ฉาวโฉ่อันใด!”
บุรุษผู้นี้ เกรงว่าคงจะเป็ชายชู้ของจ้าวอิ้งเสวี่ย!
วันนั้น เขาใช้มีดมาทำร้ายเฉิงเอ๋อร์ ทำร้ายเฉิงเอ๋อร์จนต้องทนทุกข์เยี่ยงนั้น วันนี้เขายังมาส่งถึงจวนอีกหรือ?
คำพูดเช่นนี้ของหนานกงเยวี่ย บรรยากาศก็ยิ่งแปลกประหลาดขึ้นมา จิ้นหวังเฟยเหลือบมองหนานกงเยวี่ยด้วยสายตาเฉียบคมดุจดาบ
ราวกับว่าอากาศกำลังลุกเป็ไฟ เหนียนเย่าเอ่ยปากอย่างเร่งรีบ “ฉาวโฉ่ไม่ฉาวโฉ่อันใด? นี่มันเวลาเช่นไร ยามนี้ยังมาพูดเื่นี้ทำอันใดอีก? เกิดอันใดขึ้นกับเฉิงเอ๋อร์และท่านหญิงอิ้งเสวี่ยกันแน่?”
เหนียนเย่ากล่าวไกล่เกลี่ย นึกถึงจ้าวอิ้งเสวี่ย จิ้นหวังเฟยจึงรีบถอนสายตากลับทันที เหลือบมองจ้าวอิ้งเสวี่ยที่อยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่ม “แท้จริงแล้วเกิดเื่อันใดขึ้นกันแน่?”
ฉวี่ชางกัดฟันแน่น บนใบหน้าซึ่งเดิมทีมีสีหน้าเคร่งขรึม ฉายแววโกรธเกรี้ยว ทั่วทั้งร่างกายแผ่ซ่านไปด้วยความดุดันและน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเดิม
เกิดอันใดขึ้นงั้นหรือ?
ท่านหญิง นาง...
ครั้นครุ่นคิดถึงสถานการณ์ ยามที่ตนเพิ่งจะเจอท่านหญิงเป็ครั้งแรก ในใจของฉวี่ชางพลันรู้สึกปวดร้าว เขามิได้กล่าวอันใด และอุ้มจ้าวอิ้งเสวี่ยก้าวเท้ายาวเดินเข้าไปในจวนอย่างตามใจ
ผิงเอ๋อร์ซึ่งเดินตามฉวี่ชางออกมาจากรถม้า ร้องไห้ทั้งน้ำตา
สถานการณ์นี้ ผู้คนรอบข้างจ้องมอง ดูเหมือนพวกเขาเองก็คาดเดาถึงสถานการณ์ของจ้าวอิ้งเสวี่ยได้ว่าไม่ดีนัก จิ้นหวังเฟยตระหนักได้ถึงบางสิ่ง ร่างกายอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน นางพลันกลับมาได้สติ ดวงตาสั่นเครือ รีบเร่งฝีเท้าตามชายหนุ่มไป
ตรงประตูจวน จิ้นอ๋องรวมถึงข้ารับใช้บางส่วนจึงทยอยตามเข้าไปในจวน
หนานกงเยวี่ยเฝ้ามองจิ้นหวังเฟย รวมถึงผู้คนรอบข้างที่รีบเร่งไล่ตามแผ่นหลังของจ้าวอิ้งเสวี่ย ชั่วพริบตาั์ตาฉายแววว่าแผนการสำเร็จ เกิดเื่อันใดขึ้นงั้นหรือ?
การลงโทษที่จ้าวอิ้งเสวี่ยประสบมาหลายวันนี้ หึ...เพียงแค่ครุ่นคิด ในใจของหนานกงเยวี่ยพลันตื่นเต้นขึ้นมาอย่างยิ่ง
จ้าวอิ้งเสวี่ย นางมิได้ใช้อำนาจบาตรใหญ่หรอกหรือ?
เวลานี้ยังไม่ถูกเก็บกวาดเลย!
ทว่าต่อจากนี้...ก็ยังมีนางที่สบายใจ!
หนานกงเยวี่ยขมวดคิ้ว ถอนความคิดกลับมา หลังจากนั้นจัดแจงพาเหนียนเฉิงลงมาจากรถม้า และพาไปยังหออี๋ชุน
แทบทุกคนต่างตรงไปยังเรือนหรูอี้และหออี๋ชุน เหนียนอีหลานซึ่งติดตามผู้คนในฝูงชนมาอย่างเงียบๆ โดยตลอด ยามที่เดินตามฝูงชนผ่านสวนบุปผา นางจงใจชำเลืองหันไปมองทางหอชิงยวี่ สายตานั้นแฝงความนัยล้ำลึก
…
ภายในเรือนหรูอี้ จ้าวอิ้งเสวี่ยถูกจัดวางให้นอนลงบนเตียง ในห้องที่ว่างเปล่ามีจิ้นอ๋องกับจิ้นหวังเฟย รวมถึงผิงเอ๋อร์และฉวี่ชางที่อุ้มจ้าวอิ้งเสวี่ยเข้ามาเพียงสี่คนเท่านั้น
ชั่วขณะที่จ้าวอิ้งเสวี่ยถูกวางลงบนเตียง จิ้นหวังเฟยก็อดกลั้นไม่ไหว นางก้าวไปข้างหน้า และเปิดเสื้อด้านนอกของจ้าวอิ้งเสวี่ย นางเห็นเสื้อผ้าที่ฉีกขาดยับย่นอยู่ข้างใน รวมถึงผิวที่เผยออกมาให้เห็น ยามที่เห็นร่องรอยฟกช้ำดำม่วง เสียงปังดังลั่นในหัว พลันสูญเสียสติไปชั่วขณะ
นี่มัน...อิ้งเสวี่ย...
นางใช้ชีวิตอยู่ในใต้หล้านี้มาหลายปี เป็ทั้งภรรยา และเป็มารดา เื่ที่ควรจะเจอก็เจอมาหมดแล้ว ร่องรอยบนตัวของอิ้งเสวี่ยไม่มีทางที่นางจะไม่รู้ว่าคืออันใด
บุรุษ... อิ้งเสวี่ยนาง...
“อา...” จิ้นหวังเฟยร้องลั่นออกมาออกมาอย่างขมขื่น ราวกับมีมีดเชือดเฉือนหัวใจ “อิ้งเสวี่ย...อิ้งเสวี่ยของแม่...”
หลายวันมานี้ แท้จริงแล้วอิ้งเสวี่ยต้องพบเจอเื่อันใดมากันแน่?!
เสียงนี้ดังออกไปนอกห้อง ผู้คนที่ได้ยินล้วนขนลุกเกรียวไปทั้งตัวอย่างอดไม่ได้ เพราะเสียงร้องอันน่าสังเวช พวกเขาต่างมองหน้ากันและสงสัยว่าท่านหญิงอิ้งเสวี่ยที่อยู่ในห้อง แท้จริงมีสภาพเป็เช่นไร
ในหออี๋ชุน หนานกงเยวี่ยกับเหนียนอีหลานต่างได้ยินเสียงร้องลั่นน่าสังเวชนี้เช่นกัน เสียงร้องน่าสังเวชดังเข้าหูพวกนาง ทว่าในใจของพวกนางกลับเบิกบานใจอย่างบอกไม่ถูก
จิ้นหวังเฟยรู้สึกปวดใจหรือ?
แม้แต่จิ้นหวังเฟยยังปวดใจ แล้วเหตุใดจ้าวอิ้งเสวี่ยจะไม่เ็ปได้เล่า?!
เพียงแต่ความเ็ปในยามนี้เป็เพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
ในห้องเรือนหรูอี้ จิ้นอ๋องยืนนิ่ง มือห้อยข้างลำตัวยืนยู่นอกห้อง ใบหน้าเต็มไปด้วยความมืดมน
ด้านในห้อง จิ้นหวังเฟยกุมมือจ้าวอิ้งเสวี่ย เฝ้ามองใบหน้าซีดเซียวของจ้าวอิ้งเสวี่ย ดวงตาทั้งสองข้างราวกับสูญเสียิญญา ไร้ชีวิตชีวา
ผิงเอ๋อร์ดูแลทำความสะอาดเรือนร่างของจ้าวอิ้งเสวี่ย ั้แ่ต้นจนจบ แม้ผิงเอ๋อร์จะพยายามอดกลั้นอย่างสุดความสามารถ ทว่ากลับยังคงมิอาจอดกลั้นที่จะสะอื้นไห้
ในที่สุด จ้าวอิ้งเสวี่ยเริ่มขยับเปลือกตา ชั่วขณะที่สติค่อยๆ หวนกลับมา จ้าวอิ้งเสวี่ยรู้สึกได้ถึงััของคนอย่างชัดเจน จึงพยายามขัดขืนตามสัญชาตญาณ
"ไป...ออกไป ปล่อยข้า...ปล่อยข้าไป..."
จ้าวอิ้งเสวี่ยโบกมือพัลวัน ความทรงจำเ่าั้พลันผุดเข้ามาในหัว ดูเหมือนนางจะใช้เรี่ยวแรงอย่างเต็มที่ คิดอยากจะสะบัดทุกอย่างตรงหน้าออกไป แรงผลักนั้นผลักผิงเอ๋อร์ออกไปไกล
ผิงเอ๋อร์ทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นอย่างซวนเซโดยไม่คำนึงถึงความเ็ปที่หกล้มลงไปแม้แต่น้อย “คุณหนู...คุณหนูตื่นแล้วเ้าค่ะ”
"ตื่นแล้ว...อิ้งเสวี่ย..." จิ้นหวังเฟยซึ่งเดิมทีกำลังกุมมือของจ้าวอิ้งเสวี่ย ทว่าภายใต้การขัดขืนของนางเมื่อครู่นี้จึงทำให้มือถูกสะบัดทิ้ง นางอยากจะกุมมือของจ้าวอิ้งเสวี่ยอีกครั้ง และบอกกับจ้าวอิ้งเสวี่ยว่านางไม่เป็อันใดแล้ว ทว่าทันทีที่ััร่างกายของนาง ร่างกายของจ้าวอิ้งเสวี่ยกลับสั่นสะท้าน และตื่นใอย่างน่าประหลาดใจ นางพยายามขดร่างกาย สองมือสะบัดโบกไปมากไม่หยุด ราวกับ้าจะตัดทุกอย่างจากภายนอก
"ไปให้พ้น...ไปให้พ้น... อย่าแตะต้องข้า...อย่าแตะต้องข้า..." จ้าวอิ้งเสวี่ยพึมพำ สายตาสั่นเครือ จ้องมองทุกคนอย่างระแวดระวัง ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นกลัว
ท่าทีเช่นนี้อยู่ในสายตาของจิ้นหวังเฟย จิตใจของนางก็ยิ่งรู้สึกราวกับมีมือใหญ่เข้ามาบีบเคล้น
“อิ้งเสวี่ย...นี่แม่เอง ลูกไม่เป็อันใดแล้ว ลูกปลอดภัยแล้วนะ ไม่มีผู้ใดจะทำร้ายลูกได้แล้ว แม่จะไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำร้ายลูกได้อีก” จิ้นหวังเฟยกัดฟันแน่น น้ำตาคลอเบ้า แม้แต่เสียงยังสั่นเครือ
จิ้นหวังเฟยตำหนิตัวเองในใจอย่างมาก นางไม่ควรปล่อยให้อิ้งเสวี่ยเข้ามาในจวนเหนียน ครั้นครุ่นคิดถึงร่องรอยบนร่างกายของอิ้งเสวี่ยที่บุรุษพวกนั้นทิ้งไว้
มือของจิ้นหวังเฟยจึงยิ่งกำหมัดแน่น
[1] แปดชุ่น หมายถึง ส่วนสูงประมาณร้อยแปดสิบ