แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็ศิษย์อาจารย์กันแล้ว แต่ไป๋อี้เซิน กลับตัดสินใจจะสั่งสอนนางเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ส่วนที่เหลือให้เป็หน้าที่ของโชคชะตาและความสามารถของเด็กสาวเอง เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาได้สรุปและบรรจุทุกสิ่งไว้แล้วในตำราทักษะทั้งหลาย นั่นคือผลลัพธ์แห่งประสบการณ์และภูมิปัญญาที่สั่งสมมาหลายสิบปี
บางทีชื่อเสียงของ หมอเทวดา อาจสิ้นสุดลงพร้อมตัวเขา แต่ประกายไฟที่ส่งต่อให้ศิษย์น้อยคนนี้ อาจกลายเป็เพลิงพายุที่สั่นะเืใต้หล้าในวันข้างหน้า… รุ่งเช้าบรรยากาศในห้องโถงอาหารยังคงครึกครื้น เต็มไปด้วยบุตรหลานของตระกูลฉิน แต่ในมุมหัวโต๊ะกลับอบอวลด้วยความสงบสุขจากการสนทนาของสองผู้าุโ แม่ทัพฉินเทียนหง หัวเราะเสียงดัง ก่อนเอ่ยถามด้วยมาดเ้าบ้านที่เปี่ยมไมตรี“ท่านไป๋อี้เซิน เมื่อคืนท่านพักผ่อนสบายหรือไม่”
ไป๋อี้เซินที่นั่งอย่างสงบ เพียงยิ้มบาง ๆ ใบหน้าชราที่เต็มไปด้วยริ้วรอยดูอ่อนละมุนลงราวกับเบิกบานอย่างแท้จริง“แม่ทัพฉิน ข้าต้องขอบใจท่านนัก… การเดินทางครั้งนี้มิได้เสียเปล่า ข้ารู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจ มันเป็ความรู้สึกที่ข้าไม่ได้ััมานานนับสิบปี”
ถ้อยคำอ่อนโยนนั้นทำให้ผู้คนในห้องโถงต่างพากันพึมพำแสดงความเลื่อมใส ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นหมอเทวดาผู้นี้เอ่ยคำชื่นชมเช่นนั้น ทว่าท่ามกลางบุตรหลานมากมายและสายตาที่คอยเฝ้ามอง ไป๋อี้เซินมิได้แม้แต่เหลือบมองไปยังร่างเล็กที่นั่งอยู่ท้ายสุดของโต๊ะ ราวกับนางไร้ตัวตน ความจริงแล้วในใจเขาเองสั่นไหวทุกครั้งที่คิดถึง แต่เพื่อเก็บงำความลับที่อาจพลิกชะตาของเด็กสาว เขาจำต้องปกปิดสายตา มิให้ผู้ใดสืบรู้ได้ว่า หมอเทวดาผู้ยิ่งใหญ่ ได้มอบประกายไฟแห่งวิชาให้กับบุตรีที่ถูกดูแคลนของตระกูลฉินแล้ว
กาลเวลาล่วงเลยไปเพียงหนึ่งเดือนหลังจากที่ ไป๋อี้เซิน ละทิ้งจวนแม่ทัพ ข่าวร้ายก็กระจายไปทั่วทุกหัวเมืองหมอเทวดาผู้เป็ตำนานได้สิ้นลมอย่างสงบ ภายใต้แสงเช้าของวันใหม่ แต่ความรู้สึกที่หลั่งไหลกลับไม่ใช่เพียงความเศร้าโศก หากยังปะปนไปด้วยความโลภและความโกรธเกรี้ยว
ภายในหอิญญาที่ตั้งป้ายบูชา เสียงสวดภาวนาขอให้ดวงิญญาของท่านสงบ ลอยคลอเบา ๆ จากปากบ่าวไพร่และผู้คนในตระกูลใหญ่ ทว่าลึกลงไปในแววตาของเหล่าขุนนางและผู้ทรงอำนาจกลับแฝงความไม่พอใจที่ปิดไม่มิด
“ไอ้เฒ่าผู้นี้…ช่างเห็นแก่ตัวนัก!” เสียงกระซิบแ่เบาดังขึ้นเป็ระยะ“วิชาแพทย์ที่เสกสรรปั้นชีวิตคนได้ กลับดับสูญไปพร้อมกับลมหายใจของมัน!”“เราทุ่มเทให้ลูกหลานไปกราบขอฝากตัว แต่กลับไร้ค่าเสียเปล่า!”
ถ้อยคำเ่าั้ไม่ได้เปล่งต่อหน้าสาธารณชน แต่หลุดรอดออกมาในกลุ่มเล็ก ๆ ราวกับของเสียที่ปนเปื้อนอยู่ในอากาศ ทุกคนต่างแสร้งทำสีหน้าเศร้าเคล้าน้ำตาอยู่ต่อหน้าป้ายิญญา แต่ริมฝีปากกลับพร่ำด่าทอสาปแช่งผู้ตายอย่างไร้เยื่อใย
ท่ามกลางเสียงซุบซิบและความวุ่นวาย แม่ทัพฉินเทียนหง ยืนอยู่ด้านหน้า มือใหญ่กำปั้นแน่น ดวงตาที่แข็งกร้าวในสนามรบกลับสั่นไหวด้วยความรู้สึกสับสน เขาเอ่ยเสียงหนักแต่แฝงสั่นเครือ“อาจารย์ไป๋อี้เซิน… ข้ารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการจากไปของท่าน ไม่คาดเลยว่าท่านจะรีบด่วนละทิ้งโลกนี้ไปเช่นนี้…”
คำพูดที่หลุดจากริมฝีปากมีทั้งความอาลัยและความเสียดายปะปนกัน แม้ในส่วนลึกของหัวใจยังคงเต็มไปด้วยความโลภหากวิชาแพทย์และวิชาหลอมโอสถอันสะท้านแผ่นดินตกอยู่ในตระกูลฉิน อำนาจในอนาคตย่อมไร้ผู้ต่อต้าน ทว่าด้วยเกียรติและความเคารพ เขาก็ยังสั่งให้บุตรหลานทุกคนมากราบไหว้ป้ายิญญาของหมอเทวดา เพื่อแสดงน้ำใจอย่างสมฐานะ
ในท่ามกลางแถวบุตรหลานที่คุกเข่าเรียงราย ฉินเซียนหรู ยืนมองป้ายิญญาอย่างเงียบงัน ใบหน้าเล็กเรียบนิ่ง แต่ในแววตานั้นกลับเต็มไปด้วยความเหม่อลอยและปวดร้าวลึก ๆ หากโลกภายนอกเห็น ก็คงคิดว่าเป็เพียงเด็กสาวผู้หนึ่งที่กำลังทำพิธีกราบไหว้เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ แต่แท้จริงแล้ว หัวใจของนางกำลังแตกสลาย
ผู้ที่ควรจะเศร้าเสียใจที่สุดคือเธอ ศิษย์เพียงผู้เดียวของไป๋อี้เซิน ทว่าแม้แต่น้ำตาสักหยด นางยังไม่อาจปลดปล่อยออกมาได้ เพราะสถานะนั้นต้องปิดเป็ความลับ เพื่อความปลอดภัยของตนเอง เด็กหญิงวัยเพียงสิบปี หากถูกเปิดเผยว่าเป็ศิษย์สืบทอดของหมอเทวดา คงไม่มีทางรอดพ้นเงาร้ายและเล่ห์กลของผู้คนได้
มือเล็กกำแน่นซ่อนใต้แขนเสื้อ ั์ตาของนางทอดมองป้ายิญญาก่อนจะก้มศีรษะลงช้า ๆ“ท่านอาจารย์ ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง…”
ถ้อยคำนี้ถูกกล่าวขึ้นภายในใจอย่างหนักแน่น มันไม่ใช่เพียงสัญญา แต่คือปณิธานถึงแม้โลกทั้งโลกจะหันหลังให้ นางก็จะก้าวเดินต่อไปด้วยสองเท้าของตนเอง สืบต่อประกายไฟที่อาจารย์ทิ้งไว้ให้กลายเป็เพลิงที่เผาผลาญ์และปฐีในวันข้างหน้า เส้นทางของนางอาจก้าวไกลกว่าหมอเทวดาจนไม่อาจเทียบเคียงได้ เพราะพร์ของนางหาใช่หยุดอยู่เพียงศาสตร์แห่งโอสถและการรักษา หากแต่ยังรวมไปถึง พร์ทางปราณ ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในโลหิตและิญญา
นางมิได้เป็เพียงผู้เยียวยา แต่ยังอาจเป็ผู้ลิขิตชะตาชีวิตและความตายได้ในเวลาเดียวกัน เส้นทางเบื้องหน้า คือเส้นทางที่นางต้องเป็ผู้เลือกเองจะเป็ผู้ยื่นมือโอบอุ้มสรรพชีวิต หรือจะเป็ผู้ตัดลมหายใจของผู้คนราวกับเทพแห่งความตาย
ยามค่ำคืน แสงหมู่ดาวพร่างพรายปกคลุมทั่วฟากฟ้า เงาไม้ทอดยาวพลิ้วไหวตามสายลม ฉินเซียนหรู ยืนอยู่กลางลานกว้าง ร่างเล็กของนางเคลื่อนไหวอ่อนช้อยราวกับระบำแห่ง์ ทว่าในทุกก้าวย่างกลับแฝงไปด้วยพลังลมปราณที่หนักแน่น
นางหลับตาลง ฝ่ามือเล็กขาวผ่องค่อย ๆ ยกขึ้น และเพียงวูบเดียวที่นางซัดพลังออกไป สายหมอกจาง ๆ ก็พวยพุ่งปกคลุมต้นไม้ใหญ่เบื้องหน้า ใบไม้ที่เคยเขียวขจีสั่นไหวรุนแรง ก่อนจะแห้งกรอบร่วงหล่น รากกิ่งลำต้นพลันเหี่ยวเฉาราวกับโดนดูดกลืนชีวิตไปสิ้น ั์ตาของเซียนหรูสะท้อนแสงดาวระยับ เสียงกระซิบแ่เบาหลุดจากริมฝีปาก“วิชาของท่านอาจารย์… ช่างลึกล้ำยิ่งนัก”
ศาสตร์ที่ถูกถ่ายทอดเพื่อเยียวยาและต่อชีวิต ถูกนางพลิกแพลงจนกลายเป็ศาสตร์แห่งการสังหาร พลังรักษาที่ควรบ่มเพาะความมีชีวิต ถูกบิดให้กลายเป็ม่านหมอกแห่งพิษซึ่ง่ชิงชีวิตในพริบตาเดียวถึงแม้ร่างกายภายนอกยังเป็เพียงเด็กสาววัยสิบปี แต่ลมปราณภายในได้หวนคืนสู่ความยิ่งใหญ่ดังเดิมแล้ว ทุกการเคลื่อนไหวสะท้อนถึงจิติญญาที่เติบโตเกินวัยผู้ที่สามารถประสานทั้ง วิถีแห่งการรักษา และ วิถีแห่งการทำลาย เข้าด้วยกันในคราเดียว
ใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เส้นทางของเซียนหรูได้ถูกขีดไว้แล้ว…
