เปรี้ยง!
เสียงอสนีบาตคำรามก้องขึ้นเหนือท้องนภาอันแสนกว้างใหญ่
ติ๋ง!
น้ำหยาดหนึ่งหยดกระทบบนพื้นหินในเมืองหลานหลิง
เสียงนั้นราวเป็สัญญาณสั่งการบางอย่าง
ทันใดนั้น หยาดพิรุณที่เร้นกายอยู่ในมวลเมฆครึ้มพลันสาดเทลงมาอย่างหนักราวกับคลื่นั์ก็ไม่ปาน
น้ำฝนทำให้ใบหน้าของซูฉางอันเปียกชุ่มไปหมด
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ วินาทีที่พบว่าฉู่ซีฟงมีแผลเหวอะอยู่ทั่วกายหยดน้ำตาก็ชโลมให้ใบหน้าของเขาเปียกชุ่มไปหมดแล้ว
เขามองไปที่บุรุษซึ่งมีสภาพค่อนข้างสะบักสะบอมตรงหน้ามองร่างที่โอนเอนไปมาเล็กน้อย จากนั้นจึงเตรียมจะยื่นมือเข้าไปช่วยประคอง
ทว่าจู่ๆ ชายคนนั้นก็ยื่นมือออกมาข้างหนึ่งมือนั้นแทรกฝ่าสายฝนที่หล่นลงมาจากท้องนภาแล้วยื่นมาปัดมือที่ซูฉางอันยื่นออกไปในที่สุด
“หนีไป!” ชายคนนั้นตวาดลั่นขึ้น
จากนั้น เขาก็หมุนตัวกลับไปอย่างเด็ดเดี่ยว
ดาบและร่างของเขาะเิแสงสีม่วงที่สว่างเจิดจ้าจนแสบตาขึ้นในเสี้ยววินาที
ในที่สุดซูฉางอันก็มองเห็นแผ่นหลังที่มีกริชแหลมปักอยู่เต็มไปหมดราวกับหนามเม่นของคนตรงหน้าเสียทีเด็กหนุ่มสะดุ้งใ เขารู้ดีว่าเดิมที กริชพวกนี้ควรจะปักอยู่บนร่างของตนต่างหาก
เขาอยากจะพูดบางอย่างออกมา แต่คำพูดเ่าั้ก็ถูกเสียงกู่ร้องคำรามของสายวิรุณและหมู่อสนีทับถมจนเลือนหายไปหมด
สิ่งเดียวที่เขารู้สึกในตอนนี้ก็คือแผ่นหลังตรงหน้าช่างคุ้นตาเหลือเกิน มันทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยมากราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อนเช่นนั้น
เขาพึมพำขึ้นอย่างลืมตัว
“ท่านอาจารย์...”
เสียงของเขาเบามากยิ่งเมื่ออยู่ท่ามกลางสายฝนและเสียงสายฟ้าเยี่ยงนี้เสียงนั้นก็เบาจนแทบจะไม่ได้ยินอยู่แล้ว
ทว่าร่างของฉู่ซีฟงกลับชะงักนิ่งไปอย่างกะทันหันคล้ายเ้าตัวรับรู้ถึงอะไรบางอย่างเช่นนั้น เขาหันหน้ากลับมาเล็กน้อยแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้หันกลับไปมองซูฉางอันเลยแม้เพียงครู่เดียว
เพียงแต่สายตาของเขากลับมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวมากขึ้นกว่าเดิมในพริบตาฉู่ซีฟงเดินตรงเข้าไปหามายารัตติกาลกับพรตกระดูกแล้ว
ก้าวแล้วก้าวเล่า เขาเพิ่มความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆเร็วจนน่าตกตะลึง เร็วจนคล้ายเป็สายฟ้าเลยทีเดียว
ดาบของเขาถูกผู้เป็นายยกขึ้นสูงแสงจากสายฟ้าสะท้อนให้ตัวดาบเปล่งประกายไปด้วยลำแสงอันแสนอำมหิตสายฝนตกกระทบลงบนแผ่นดาบจนเกิดเสียงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องดุจดั่งบทเพลงที่ถูกบรรเลงขึ้นเช่นนั้นเป็บทเพลงที่ทำให้รู้สึกฮึกเหิมและเศร้าใจเหลือเกิน ราวเป็การชื่นชมต่อวีรบุรุษแต่ก็คล้ายเป็การขับขานบทเพลงของชายอกสามศอก
ซูฉางอันชะงักนิ่งไปเล็กน้อยเขามองไปที่แผ่นหลังของชายตรงหน้า มองดูเืสดที่ไหลลงมาเป็ทางเืสีแดงหลอมรวมกับสายฝนที่สาดลงมาจนกลายเป็สายธารขนาดเล็กที่รินไหลออกไปในที่สุดแม้จะมีรองเท้าคั่นอยู่แต่เขาก็รับรู้ถึงความร้อนที่คุกรุ่นอยู่ในสายเืนั้นได้อย่างชัดเจน
เขาลืมการหลบหนีไปจนหมดสิ้น หรือจะพูดอีกแบบเขาจะหนีเอาตัวรอดไปคนเดียวได้อย่างไรเล่า?
มายารัตติกาลเองก็ชะงักอึ้งไปด้วยเช่นกัน นางรู้ดีว่ากริชของตนทรงพลังมากเพียงไหนนอกจากนักรบแห่งดาราจักรแล้วยังไม่เคยมีใครถูกกริชของตนเล่นงานไปมากกว่าสิบเล่มแล้วยังสามารถประคองร่างยืนอยู่ได้เลย
ทว่าชายตรงหน้ากลับทำได้เขาไม่เพียงประคองร่างกายให้ยืนอยู่ได้เท่านั้น แต่ยังพุ่งเข้ามาหานางด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อพร้อมกับดาบคู่ใจได้เสียอีก
นางเลิกคิ้วขึ้นหลายครั้ง ไฟแห่งโทสะลุกโชนไปทั่วหัวใจหากไม่ใช่เพราะเพิ่งฟื้นคืนชีพได้ไม่นาน มีหรือที่นางจะอ่อนแอมากถึงเพียงนี้
นางไม่ชอบสถานการณ์ตรงหน้าเอาเสียเลย ไม่ชอบคนเช่นนี้ เกลียดสายตาที่ลุกโชนไปด้วยเปลวไฟเยี่ยงนั้นเสียเหลือเกิน
นางสบถเสียงขึ้นในลำคออย่างเ็าก่อนระลอกพลังที่ทั้งเย็นะเืและมืดมนจะแผ่กำจายออกมาจากร่างของนางแล้วกระจายไปตามเส้นด้ายสีใสที่โยงอยู่กับกริชที่ปักอยู่บนร่างของฉู่ซีฟงอย่างรวดเร็วมันเป็พลังอันเป็เอกลักษณ์ของทายาทแห่งเทพทมิฬ ซึ่งสามารถกลืนกินพลังิญญาเืเนื้อ หรือแม้แต่จิติญญาของสิ่งมีชีวิตใดๆ ในโลกย่อมได้ทั้งนั้น
ร่างของฉู่ซีฟงเปลี่ยนมาช้าลงอย่างกะทันหันขณะที่สีหน้าก็เปลี่ยนมาเหี้ยมเกรียม ราวกำลังอดทนกับความเ็ปอย่างแสนสาหัสอยู่ความเ็ปนั้น ทำให้เขาหน้าซีดเผือดไปในทันที เขารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าพลังิญญาภายในร่างกำลังลดลงด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อเลยทีเดียวแน่นอน เขารู้ว่าอาการทั้งหมดนี้เกิดขึ้นด้วยฝีมือของสตรีนางนั้นและรู้ดีว่าวิธีการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดก็คือการจบชีวิตของสตรีนางนั้นลงด้วยดาบเดียวดังนั้น เขาจึงพยายามเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนไหวขึ้นอีกครั้ง แต่จู่ๆฝีเท้าก็หนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ และสมองก็เบลอไปหมด ร่างกายของเขายังคงช้าลงเรื่อยๆจนในที่สุดเขาก็หยุดลงในจุดที่อยู่ห่างจากสตรีผู้นั้นเพียงไม่ถึงหนึ่งจ้างเท่านั้น
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึงแต่ก็แฝงไปด้วยความไม่พอใจที่จะหยุดลงเพียงเท่านี้ ดังนั้นเขาจึงพยายามใช้ดาบในมือแทงไปที่สตรีผู้นั้นแต่ความเร็วที่เขาแสดงออกมาได้ในตอนนี้กลับเชื่องช้าเสียเหลือเกินช้าจนแม้แต่เด็กสามขวบก็ยังหลบเลี่ยงไปได้เลย
เคร้ง!
เสียงหนึ่งดังขึ้น กริชเล่มหนึ่งพุ่งเข้ามาหา ทำให้ดาบของเขาถูกกระแทกจนลอยกระเด็นออกไปจากมือ
เขาหันกลับไปมองอย่างตกตะลึง มองดูดาบของตนกระเด้งกระดอนไปตามพื้นหินที่เต็มไปด้วยหยาดฝนจนในที่สุดก็กระแทกกับพื้นดินจนเกิดเสียงดังขึ้นและร่วงลงในจุดที่ห่างไกลออกไปในที่สุด
เขารู้สึกราวหัวใจกำลังจมดิ่งลงไปในทะเล รู้สึกราวของที่แสนสำคัญถูกพรากออกไปจากร่างเช่นนั้น
สติของเขาพร่าเลือนอย่างกะทันหันราวได้ย้อนเวลากลับไปในตอนนั้นอีกครั้ง
เขามองเห็น...
ในวันที่มีฝนตกหนัก ไม่ต่างไปจากวันนี้
เด็กชายที่มีอายุเพียงห้าถึงหกปีกำลังระบำดาบอยู่กลางสายฝน
ดาบนั้นมีขนาดใหญ่มาก ใหญ่กว่าร่างของเขาเสียด้วยซ้ำไปดังนั้นการระบำดาบจึงนับเป็เื่ที่ยากลำบากเหลือเกินสำหรับเขาแต่เขาก็มีความมุ่งมั่นที่จะระบำดาบมากไม่แพ้กัน น้ำฝนสาดกระทบลงบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอ่อนเยาว์ของเขาทำให้ชุดคลุมตัวเล็กบนร่างเปียกชุ่มไปหมด ทว่าเด็กน้อยกลับทำราวไม่รับรู้ถึงมันยังคงระบำดาบด้วยความพยายามต่อไป
และในตอนนั้นเอง ท่ามกลางม่านแห่งสายฝน คนชราในชุดผ้าแพรสีดำคนหนึ่งถือดาบเอาไว้ในมือพลางเดินเข้ามาหาอย่างเชื่องช้า
เด็กน้อยดวงตาเป็ประกายขึ้นมาทันที เขาวางดาบในมือลงแล้ววิ่งเหยาะๆ เข้าไปหาคนชราอย่างรวดเร็วใบหน้าอันแสนน่ารักประกายรอยยิ้มขึ้นราวกำลังรอฟังคำชื่นชมจากอีกฝ่าย เขาอ้าปากแล้วพูดด้วยเสียงใส “ท่านปู่! วันนี้ข้าฝึก...”
เพียะ!
ทว่า คำพูดของเขากลับถูกขัดด้วยฝ่ามือที่เหวี่ยงเข้ามาฝ่ามือนั้นเหวี่ยงเข้ามากระแทกลงบนแก้มอย่างแรงทำให้ใบหน้าที่อ่อนเยาว์มีรอยเืปรากฏขึ้นเล็กน้อยเขามองไปยังคนชราเบื้องหน้าอย่างไม่เข้าใจ คนชราก้มหน้าลงต่ำทำให้เด็กน้อยมองเห็นโฉมหน้าของเขาได้ไม่ชัดเจนนักจึงมองไม่เห็นว่าใบหน้านั้นกำลังแสดงสีหน้าอย่างไรไปด้วย
มีแต่เสียงของคนชราเท่านั้นที่ดังขึ้นข้างหู
มันเป็คำพูดที่ทำให้เขารู้สึกหนาวสั่นไปจนถึงกระดูกดำเลยทีเดียวความเ็าจากสุ้มเสียงทำให้เขาจดจำมันอย่างฝังใจ และไม่เคยลืมมาตลอดสามสิบปี
เสียงนั้นพูดขึ้นเช่นนี้...
“คนตระกูลฉู่ เสียชีพได้ แต่ห้ามเสียดาบเด็ดขาด!”
พลันเสียงคำรามของสายอัสนีปะทุขึ้นที่ข้างหู
ความทรงจำของฉู่ซีฟงกลับมาที่เมืองหลานหลิงอีกครั้งเขามองไปที่ดาบซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่กลางสายฝน
มันเป็ดาบที่มีชื่อเสียงเป็อย่างมาก ดาบยาวสามฉื่อตัวดาบขาวสะอาดราวกับหิมะ หยดน้ำไม่อาจเกาะติด และหยดเืก็มิอาจลดทอนความเงางามของมันลงได้แม้เพียงเสี้ยวมันเคยเป็ดาบของบรรพบุรุษของเขา ดาบเล่มนั้นเปื้อนเืของผู้คนมามากจนนับไม่ถ้วนทว่าสิ่งที่ทำให้มันกลายเป็ดาบที่มีชื่อเสียงไปทั่วเพราะบรรพบุรุษของเขาเคยใช้มันสังหารใครคนหนึ่ง คนผู้ นั้นเป็คนของตระกูลเซี่ยโหวซึ่งมีศักดิ์เป็พี่ชายขององค์จักรพรรดิแห่งแผ่นดินต้าเว่ยในตอนนี้นั่นเอง
ชื่อของมันฟังดูธรรมดามากแต่กลับทำให้ผู้คนในใต้หล้าหวาดกลัวไปตามๆ กัน
มันมีนามว่า โลหิตเซี่ยโหวนั่นเอง!
มันเป็อาวุธที่ฉู่เซียวหานประมุขแห่งเจียงตงมอบให้นภาหมอง ฉู่ต้วนเยว่ก่อนฉู่ต้วนเยว่จะส่งต่อมาให้ฉู่ซีฟงในภายหลัง
และในตอนนี้ ฉู่ซีฟงทำมันหล่นหายไปเสียแล้วหล่นหายเข้าไปในม่านพิรุณที่โหมกระหน่ำลงมาในเดือนเก้าหล่นหายไปกับพื้นหินของเมืองหลานหลิงที่ถูกฝนสาดกระทบจนเปียกชุ่ม
“คนตระกูลฉู่ เสียชีพได้ แต่ห้ามเสียดาบเด็ดขาด!”
ฉู่ซีฟงพึมพำขึ้น
“เมื่อเสียดาบ ก็เท่ากับเสียชีพ...”
เขาค่อยๆ คุกเข่าลงบนพื้นดินอย่างเชื่องช้าแสงประกายในแววตาก็ค่อยๆ มอดดับลงไปเรื่อยๆ
และในที่สุดก็มีเสียงดังสนั่นขึ้น
ฉู่ซีฟงล้มลงไปกองอยู่บนพื้นดิน
เขาล้มลงอย่างกะทันหันเหลือเกินกะทันหันจนซูฉางอันแทบไม่อยากจะเชื่อเลย
ชายที่เป็ดั่งเทพเ้า คนที่ใช้ร่างกายกำบังและปกป้องเขามาโดยตลอดกลับล้มลงไปกองในเมืองที่ไร้ชื่อเสียงเช่นเมืองหลานหลิงอย่างนั้นหรือ...
ซูฉางอันรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องเอาเสียเลยนักดาบที่เก่งกาจอย่างฉู่ซีฟงจะล้มลงไปง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไง
ทว่าร่างนั้นล้มลงไปกองอยู่บนพื้นดินแล้วจริงๆ จู่ๆความรู้สึกที่ยากจะอธิบายก็ะเิขึ้นกลางหัวใจราวมีอะไรบางอย่างอัดแน่นอยู่กลางใจราวมีค้อนที่หนักเป็หมื่นจินทุบลงบนสมองอย่างต่อเนื่อง เขารู้สึกเ็ปเหลือเกินแต่ก็ไม่รู้ว่าจะแสดงความรู้สึกนั้นออกมาได้อย่างไรทำได้เพียงมองชายที่นอนอยู่บนพื้นดินด้วยตาไม่กะพริบ ขณะที่น้ำตาก็ผสมเข้ากับหยดฝนแล้วไหลลงไปเบื้องล่างอย่างบ้าคลั่ง
มายารัตติกาลก้มมองชายตรงหน้าราวผู้ที่อยู่เหนือกว่าราวกับจักรพรรดิที่กำลังมองไปยังขุนนางของตน สายฝนทำให้เส้นผมสีดำสลวยของนางเปียกปอนใบหน้าที่แสนงดงามของนางไม่ได้ผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย แม้นว่าฉู่ซีฟงจะล้มลงไปแล้วก็ตามเพราะชายคนนี้ ทำให้นางหวนคิดถึงเื่ราวในอดีต ที่นางไม่้าจดจำมากที่สุด
นางถ่ายทอดคำสั่งด้วยความคิด ทันใดนั้นกริชมากมายที่ปักอยู่บนร่างของฉู่ซีฟงก็ถูกถอนกลับออกมาอย่างพร้อมเพรียงทำให้สายเืพรั่งพรูออกมา คล้ายเป็บุปผาแห่งเืที่บานสะพรั่งท่ามกลางสายฝนจากนั้นกริชอีกเล่มก็พุ่งออกไปจ่ออยู่ที่ลำคอของฉู่ซีฟงราวอสรพิษ นางรู้ดีว่าหากเพียงเจาะกริชลงไปบนนั้นเพียงครั้งเดียวชายที่นอนอยู่ตรงหน้าก็จะหลับใหลไปตลอดกาลเหมือนกับเขาคนนั้นเมื่อร้อยปีก่อน
แต่วินาทีนั้น จู่ๆ นางก็เกิดลังเลขึ้นมา
ฝนยังคงโหมลงมาไม่หยุด
ท่ามกลางท้องนภาที่หมองหม่นใบหน้าของหญิงสาวประกายความลังเลใจออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ต่างไปจากฟ้าฝนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เลย
เวลาเลยผ่านไปสักพัก ในที่สุดนางก็เก็บกริชนั้นกลับเข้ามาแล้วส่งเส้นด้ายเส้นหนึ่งออกไปอย่างกะทันหันเส้นด้ายสีใสพุ่งตรงไปที่ร่างของซูฉางอันซึ่งกำลังยืนเหม่ออยู่อย่างรวดเร็วทันใดนั้น ด้ายเส้นเล็กก็พันธนาการร่างของซูฉางอันเอาไว้ราวกับมีชีวิตจิตใจเป็ของตัวเองเช่นนั้น
“ฆ่าเขาซะ” สตรีผู้นั้นบอกกับพรตกระดูกที่อยู่ในร่างสัตว์ประหลาดจากนั้นก็ออกแรงะโเล็กน้อย พาตัวเองกับซูฉางอันทะยานออกไปทันที
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ประตูลับสีดำบานหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางห้วงอากาศอันแสนว่างเปล่าสตรีผู้นั้นพาซูฉางอันเร้นกายหายเข้าไปในประตูลึกลับบานนั้นทันที
“ยังลืมเขาไม่ได้อีกสินะ”พรตกระดูกประกายรอยยิ้มหยอกล้อขึ้นบนใบหน้าที่อยู่ในรูปสัตว์ประหลาดของตน“ผู้หญิงช่างเป็อะไรที่ยุ่งยากเสียจริง”
เขาปรายตามองฉู่ซีฟงที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นดินเล็กน้อยจากนั้นจึงประกายรอยยิ้มอำมหิตขึ้นที่มุมปาก
“สุดท้าย งานของคนเลวก็มาตกอยู่กับข้าอยู่ร่ำไป”เขายื่นลิ้นที่เต็มไปด้วยของเหลวเหนียวหนืดและกลิ่นคาวออกมาเลียริมฝีปากของตัวเอง
หางยาวถูกยกขึ้นสูงกล้ามเนื้อในนั้นเริ่มเกิดการเคลื่อนไหวขึ้นจากนั้นส่วนปลายของหางก็ยาวมากขึ้นเรื่อยๆ โดยส่วนแหลมที่ปลายหางซึ่งเปล่งประกายไปด้วยแสงสีเขียวที่น่าสยดสยองก็ขยับเข้าไปใกล้ร่างของฉู่ซีฟงมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว
“เป็ร่างกายที่ไม่เลวเลยหากเอามาทำเป็หุ่นเชิดตัวใหม่ก็น่าจะดีไม่เบา น่าเสียดายที่ข้าไม่มีเวลาแล้ว”เขาทอดถอนใจออกมาอย่างเสียดาย จากนั้นจึงหรี่ดวงตาสีแดงฉานลงจนกลายเป็เส้นตรงรังสีสังหารปะทุขึ้นอย่างกะทันหัน เขาพุ่งปลายหางตรงไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วกำลังจะแทงเข้าไปในหัวของฉู่ซีฟงแล้ว
ชิ้ง!
ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ๆ เสียงคำรามแห่งดาบก็ดังขึ้น
พรตกระดูกหัวใจกระตุกวูบ เขาร้องว่าแย่แล้วขึ้นในใจแต่ทุกอย่างกลับสายเกินไปเสียแล้ว ลำแสงสีม่วงกรีดผ่านไปอย่างรวดเร็วเพียงเท่านั้น ท่อนหางที่ยาวถึงสามฟุตก็ถูกตัดจนขาดออกไปทันทีปลายแหลมของหางถูกแทนที่ด้วยรอยตัดที่เรียบเนียนและคมเฉียบแทน
เขาจมเข้าสู่ความตื่นตะลึง พลางถอยกลับไปด้านหลังหนึ่งก้าวแล้วมองไปในทิศที่ลำแสงสีม่วงพุ่งเข้ามา ราวรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง
ดาบที่เปล่งประกายไปด้วยสายฟ้าสีม่วงกำลังลอยและตั้งตระหง่านอยู่กลางอากาศ
เขามีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมาทันที
“จิติญญาแห่งดาบอย่างนั้นรึ?” เขาพึมพำขึ้น
ดาบเล่มเดิมส่งเสียงคำรามดังสนั่นอีกครั้งราวเป็การโต้ตอบคำพูดของเขา...
ห้วงเวหาถูกบดบังด้วยสายฟ้าที่สาดประกายแสงท่ามกลางเมฆครึ้มอย่างต่อเนื่องมันลอยวนเวียนอยู่กลางกลุ่มเมฆ แล้วส่งเสียงคำรามที่น่าหวาดผวาขึ้นเป็ระยะๆ
ในที่สุดสายฟ้าก็พุ่งเข้ามาท่ามกลางดวงตาที่เบิกกว้างอย่าหวาดผวาของพรตกระดูก
สายฟ้านั้นเร็วเหลือเกินเร็วจนแม้แต่พรตกระดูกที่มีพลังแข็งแกร่งก็ยังไม่อาจตอบสนอง หรือหลบเลี่ยงใดๆ ได้แต่มองสายฟ้าระลอกนั้นพุ่งเข้าไปในร่างของฉู่ซีฟงอย่างต่อหน้าต่อตาเท่านั้น
วินาทีที่สายฟ้าััโดนร่างฉู่ซีฟงก็ลุกพรวดขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าดวงตาของเขายังคงหลับพริ้มอยู่ดังเดิม แลดูสงบและเคลิบเคลิ้มไม่ต่างไปจากเด็กน้อยที่กำลังนอนหลับอยู่เลย
ดาบที่มีนามว่าโลหิตเซี่ยโหวราวจะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างมันเปลี่ยนไปเป็ลำแสงแล้วพุ่งเข้าไปอยู่ในมือของฉู่ซีฟงราวเป็เด็กน้อยที่ตามหาพ่อแม่จนเจอก็มิปาน ชายคนนั้นยืนตระหง่านอย่างสงบเขาไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าสายฝนจะโหมกระหน่ำลงมามากสักเพียงใดก็ตามปานเป็นักพรตระดับสูงที่บรรลุในศาสตร์แห่งธรรมแล้วอย่างไรอย่างนั้น
เหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นทำให้พรตกระดูกใจนพูดไม่ออก
เปรี้ยง!
เสียงสายฟ้ากู่ร้องคำรนขึ้นอีกครา
ดวงตาที่เคยหลับพริ้มของฉู่ซีฟงพลันเบิกกว้างขึ้น เขาจ้องเขม็งไปที่ร่างของพรตกระดูกตรงหน้าโดยไม่ยอมกล่าวสิ่งใดออกมาแม้แต่คำเดียว
พรตกระดูกถอยไปทางด้านหลังโดยสัญชาตญาณ อย่างไรเสียร่างนี้ก็เป็เพียงหุ่นเชิดอีกอันของเขาเท่านั้น ต่อให้จะถูกสังหารลงไปจริงๆอย่างมาก จิติญญาของเขาก็แค่ได้รับาเ็เล็กน้อยเท่านั้นเขาไม่เห็นต้องใกลัวมากขนาดนี้เลย
ทว่าระลอกแห่งพลังิญญาที่กระจายออกมาจากร่างของฉู่ซีฟงในตอนนี้กลับทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวเหลือเกินหวาดกลัวจากก้นบึ้งของจิตใจ เขารู้สึกชาไปทั้งหัว ไอเย็นแล่นขึ้นประกายวาบั้แ่หัวจรดเท้าเขาอ้าปากกว้าง ราวกำลังจะพูดอะไรออกมาแต่เสียงที่ทรงอำนาจราวเป็เสียงจากแดน์ก็ดังขึ้นเสียก่อน
ฉู่ซีฟงเปิดปากขึ้นเพียงเล็กน้อย แล้วกล่าวขึ้นดังนี้...
“นักดาบแห่งตระกูลฉู่ เมื่อชักดาบออกมาแล้ว ย่อมไม่มีทางปล่อยให้ศัตรูรอดไปได้”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้