นี่เป็การเริ่มต้นหาคู่ครั้งใหม่ในสัปดาห์ที่สองของซูหรงหรง
วันนี้ซูหรงหรงที่แต่งตัวสวยงามราวกับกุลสตรีนั่งอยู่ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งฝ่ายตรงข้ามเธอคือผู้ชายรูปร่างผอมกะหร่องที่กำลังจิบกาแฟและใช้สายตามองเธอขึ้นๆ ลงๆเหมือนคนที่กำลังพิจารณาซื้อสินค้าสักชิ้นหนึ่งอยู่
“คือว่า...ฉันคิดว่า...พวกเราไม่เหมาะสมกัน”
ซูหรงหรงที่กำลังคิดจะลุกขึ้น จู่ๆก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคย
“เอ๊ะ นั่นซูหรงหรงไม่ใช่เหรอ”
เสียงหวานที่ฟังดูไพเราะดังมาแต่ไกล ไม่ต้องมองหน้าเธอก็รู้ได้ทันทีว่าเ้าของเสียงนั้นคือใคร
เฉินหย่าถิง !
ท่าทีของซูหรงหรงดูสงบเยือกเย็นขึ้นมาอย่างฉับพลันเฉินหย่าถิงที่พ่ายแพ้ให้แก่เธอคราวที่แล้วรีบปรี่เข้ามาทางซูหรงหรงอย่างจงใจ
ความจริงแล้วเฉินหย่าถิงนับว่าเป็ผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่งรูปร่างของเธอสามารถดึงดูดสายตาคู่ดูตัวของซูหรงหรงได้ไม่ยากถ้าให้พูดตามสถานการณ์ตอนนี้ เหมือนเขาจะโดนสะกดไปเรียบร้อยแล้วเสียมากกว่า
“นี่หรงหรง ฉันพูดกับเธอจริงๆ นะ ว่าถึงแม้เธอจะอกหัก แต่เธอก็ไม่เห็นจำเป็จะต้องรีบเร่ขายตัวเองเลยนี่แต่ก็นะ ฉันว่ายังไงเธอก็ขายไม่ออกหรอก”
“เอาอย่างนี้มั้ยล่ะหรงหรงฉันช่วยเธอหาผู้ชายสักสองสามคนดีมั้ยรู้สึกว่าสายตาในการเลือกคนของเธอมันค่อนข้าง...”
กู้แหยนเจ๋อที่ได้ทีก็เย้ยหยันวงแขนตวัดโอบเฉินหย่าถิงเข้ามาไว้ในอ้อมแขน ดวงตาบ่งบอกถึงความพึงพอใจ
มันจะมีอะไรที่มีความสุขไปกว่าการเห็นผู้ชายที่เคยรักได้พบเจอกับคนที่เลวสมกันแบบนี้อีกหรือ?
ไม่ว่าไปที่ไหนก็เจอแต่พวกเขาถึงแม้จะผ่าน่เวลาเลวร้ายนั้นมา แต่มันก็ยังคงเจ็บอยู่ลึกๆแถมตอนนี้ก็ยังได้มาเห็นภาพบาดตาที่คนทั้งคู่กำลังพลอดรักกันอย่างโจ่งแจ้ง...ไม่กลัวฟ้าผ่ากันหรือไงนะ?
ซูหรงหรงหยิบเงินออกมาจากกระเป๋า 100 หยวน ก่อนจะวางลงบนโต๊ะ
“หลบไป...”
“...หมาตัวผู้ตัวเมีย”
ซูหรงหรงที่กำลังจะเดินผ่านพวกเขาไปกระซิบขึ้นมาเบาๆ
“แก!”
เฉินหย่าถิงโกรธจนหน้าเปลี่ยนเป็สีแดงก่ำเธอจูงมือกู้แหยนเจ๋อออกไป
…
แสงอาทิตย์ยามเช้าเริ่มทอแสงลงมาตกกระทบที่ต้นปอปลาร์เงาของใบไม้พลิ้วไหวไปมาอยู่ที่ขอบหน้าต่าง
“นี่อะไร?”
จ้านอี้หยางเงยหน้าออกจากกองเอกสารแล้วมองไปยังการ์ดเชิญสีแดงที่อยูในมือของพลทหารตรงหน้าก่อนจะเอ่ยถามด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“นี่...นี่คือการ์ดเชิญครับ”
พลทหารที่ถูกบุคคลผู้ซึ่งเป็ที่น่าเกรงขามและขึ้นชื่อเื่ความเข้มงวดนามจ้านอี้หยางคนนี้ถามทำให้ใจเริ่มสั่นจนเต้นรัวด้วยความกลัว กลัวเสียจนคำที่พูดออกมาเริ่มตะกุกตะกัก
“การ์ดเชิญอะไร?”
คิ้วของจ้านอี้หยางขมวดเข้าหากันอย่างไม่สบอารมณ์น้ำเสียงที่ไม่แสดงออกถึงความเบิกบานใจแล้วยังเต็มไปด้วยความข่มขวัญเอ่ยขึ้น
“รีบพูดออกมาให้ชัดเจน อย่าอ้ำๆ อึ้งๆ”
พลทหารตื่นใกลัวกับอารมณ์ฉุนเฉียวของจ้านอี้หยางเขายืนตัวตรงแน่ว ก่อนจะรายงานออกมารวดเดียวจบ
“รายงานท่านพลเอก หัวหน้าเหล่าทัพมีคำสั่งว่าเนื่องจากบริเวณเขตกองทัพเรามีพลทหารชายโสดเป็จำนวนมาก ดังนั้นเพื่อจัดการกับปัญหาเหล่านี้จึงออกคำสั่งให้จัดงานนัดบอร์ดหาคู่ให้กับพลทหารที่ยังโสดโดยเชิญหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานมาร่วมงานที่กองทัพของเราครับผม”
“หัวหน้าเหล่าทัพยังกำชับอีกว่าท่านพลเอกจะต้องเข้าร่วมงานดังกล่าว หากไม่ร่วมงานถือว่าเป็การขัดคำสั่ง จะต้องได้รับโทษตามกฎของกองทัพเน้นย้ำอีกครั้งว่า พลทหารทุกคนต้องเข้าร่วมงาน จบการรายงานครับ!”
พลทหารได้เห็นใบหน้าที่เรียบเฉยยิ่งกว่าตอนแรกของจ้านอี้หยางแล้วยิ่งหวาดกลัวจนทำให้เขารีบพูดรีบเดินออกมาจากห้องทำงานของจ้านอี้หยาง
ความจริงแล้วพลทหารไม่กล้าบอกว่างานนัดบอร์ดครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อจ้านอี้หยางโดยเฉพาะ
จ้านอี้หยางเป็นายพลที่นับว่าเยี่ยมยอดคนหนึ่งเขาทำงานอย่างหนักเพื่อกองทัพ ฝีมือของเขานับว่าเป็คนที่มีพร์อย่างยิ่งเื่เดียวที่น่าเสียดายคือเขายังไม่มีวี่แววว่าจะแต่งงานแม้ว่าอายุจะปาเข้าไป 30 ปีแล้วก็ตาม
ผู้หญิงข้างกายสักคนเขาก็ไม่มีหัวหน้าเหล่าทัพพากันเดือดเนื้อร้อนใจแทนเขาเสียเหลือเกิน เขาไม่ควรจะทุ่มทุกอย่างให้กับกองทัพจนพลาดโอกาสที่ดีในชีวิตไปดังนั้นการนัดบอร์ดจึงเป็วิธีการที่ดีที่สุด
จ้านอี้หยางชายตามองการ์ดเชิญที่พลทหารเมื่อครู่ทิ้งไว้ให้อย่างไม่แยแส
ถึงแม้ว่าตอนนี้อายุของเขาจะเข้า 30 ปีแล้ว แต่ทั้งชีวิตของเขาก็มอบให้กับการทำงานในกองทัพ เื่รักๆ ใคร่ๆนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขาไม่คิดจะเสียเวลาไปกับเื่ไร้สาระพวกนี้ในหัวเขาคิดเพียงแค่พอถึงเวลาก็แต่งงานกับผู้หญิงสักคนแล้วก็มีลูกด้วยกันก็พอ
ในเมื่อครั้งนี้เป็คำสั่งของหัวหน้าเหล่าทัพเขาก็จะปฏิบัติตามแต่ว่า...จะหาผู้หญิงที่ใช่เจอหรือไม่นั้น เขาไม่รับประกัน
จ้านอี้หยางโยนการ์ดเชิญลงลิ้นชักอย่างไม่ใส่ใจเขาละสายตามาดูรายงานเกี่ยวกับการทหารต่อและทำราวกับว่าคำเชิญเข้าร่วมงานนัดบอร์ดไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่าไรนัก
…
ในขณะเดียวกัน ซูหรงหรงกำลังนอนแผ่หลาบนโซฟาอย่างเกียจคร้าน
“นี่มันอะไร?”
ซูหรงหรงเพ่งพินิจการ์ดเชิญที่อยู่ในมือแล้วเอ่ยถามแม่ของตนด้วยความสงสัย