“แบบนี้เอง” จางเจียอี้มองอันนาด้วยสายตาที่เหมือนกำลังศึกษาสิ่งมีชีวิตนอกโลกการแข่งขันทั้งรายการ สามารถจ้องเขม็งไปที่คนคนเดียวได้คนแบบนี้ต้องมีสมาธิแกร่งขนาดไหน “ฟู่ซีคนนั้นคือคนที่ร่วมเข้าแข่งขันรายการพรุ่งนี้ฉันจะเป็ซุปเปอร์สตาร์พร้อมกับหลานอันเป็ลูกชายของฟู่เซ่าคัง (ประธานบริษัทแห่งหนึ่ง) รูปร่างหน้าตาดีมาก ปัจจัยอื่น ๆก็ใช้ได้ แต่เป็คนไม่ซื่อสัตย์ รางวัลอันดับที่ 3 ในการแข่งขันนั้น พ่อเขาก็เป็คนซื้อมา”
“แบบนี้นี่เอง” อันนาใช้มือเคาะสกอร์บอร์ดเหมือนได้กลิ่นเปลวไฟแห่งา รู้สึกคึกคักสนุกสนานขึ้นมาทันทีพลางกะพริบตาโตมองไปที่จางเจียอี้แล้วพูดว่า “ผู้กำกับจางละครเื่ << ความฝันที่ล่องลอย >> นี่ขาดตัวละครไหนหรือเปล่า?”
จางเจียอี้ถูกเธอมองจนรู้สึกตัวสั่นเทาแล้วพูดว่า “ขาด คุณจะเล่นบทรับเชิญไหมล่ะ?”
“อืม” อันนารีบผงกหัวซู่หยางที่ยืนอยู่ข้างหลังรู้สึกว่างเปล่าไปทั้งหัวจิติญญาแห่งการต่อสู้ของอันนาที่ร่วมวางแผนกับเขามากมายก่อนหน้านั้นเธอแค่พูดไปงั้น ๆ เองหรือ
“น่าทึ่งมาก นักแสดงหญิงยอดเยี่ยมอันนาผู้น่าเกรงขามจะมาร่วมแสดงละครทีวีเื่เล็ก ๆ แบบนี้” จางเจียอี้รู้สึกตกตะลึงละครเื่นี้อาจจะได้รับความนิยมอย่างมหาศาลก็ได้นักแสดงรับเชิญที่มาไม่ใช่นักแสดงโนเนมแต่เป็นักแสดงชื่อดังหรือว่าจะถึงเวลาที่เขาจะได้แจ้งเกิดแล้ว? (คนเขียนบท : ไม่คุณแค่ได้เกาะขาของเจาเยี่ย) “คุณจะมาแสดงบทนางเอกเหรอ?”
“ไม่ ๆๆ ฉันได้ยินซู่หยางบอกว่า ละครเื่นี้หานางเอกและนางรองได้หมดแล้วไม่ใช่เหรอ?” อันนาส่ายหัว ทำหน้าชั่วร้ายแล้วพูดว่า “หรือว่าคุณรู้สึกว่าคนที่หน้าตางามพริ้มเพราอย่างฉันคู่ควรกับบทนางเอกอย่างเดียว”
“คุณคิดมากไปแล้ว” จางเจียอี้ตบหน้าตัวเอง “งั้นคุณอยากจะแสดงบทอะไรล่ะ?”
“ฉันไม่รู้ สคริปต์ละครเื่นี้ฉันก็ไม่เคยอ่าน” อันนาขมวดคิ้ว แล้วก็ถามไปว่า “หรือไม่คุณก็จัดบทอะไรมาให้ก็ได้ขอแค่เหมาะกับฉันทำให้ฉันสามารถมีโอกาสไปอยู่ในทีมงานนั้นเพื่อดูการแสดงของลูกชายฉันก็พอ”
“อืม ถ้าผมคิดได้แล้วจะให้คนเอาสคริปต์ไปให้คุณกับหลานอันทีเดียวเลย” มีการคิดคำนวณปรากฏขึ้นในดวงตาจางเจียอี้เล็กน้อยเพื่อนที่ดีทั่วไปก็มีไว้ให้เกาะนี่แหละ ดีเลยในละครยังขาดคนเล่นบทฮองเฮาอยู่บทหนึ่ง
กู้หลานอันตามมาถึงประตูทางออกแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเจาเยี่ยก็เลยขึ้นลิฟต์แล้วลงตึกไป ยืนอยู่หน้าประตูมองออกไปทั่วสารทิศคาดว่าจะโชคดีแต่คิดไม่ถึงว่าเจาเยี่ยจะไม่รอกลับถูกแฟนคลับของใครก็ไม่รู้ที่อยู่ตรงประตูจ้องอยู่(นักแสดงคู่สามชายที่น่าสงสาร ตั้งใจเปิดเผยเส้นทางการเดินทางให้แฟนคลับรู้แต่แฟนคลับกลับเปลี่ยนใจเพราะคิดว่ามันผิดปกติ) รีบวิ่งล้อมเข้ามาทางเขาเขาจับหน้าผากอย่างระอา เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่ปลอดภัยแฟนคลับอาจจะเบียดกันจนเกิดอุบัติเหตุ กำลังจะวิ่งหนี ก็เห็นรถตู้ที่เจาเยี่ยที่ใช้เมื่อชาติที่แล้วขับมาพอดีความคิดแวบขึ้นมาทันที แกล้งทำใบหน้าร้อนรนแล้ววิ่งออกไป
เมื่อเห็นมีคนวิ่งตัดหน้ามา หลี่เสียวเหม่ย (ผู้ช่วยผู้จัดการผู้ชายของเจาเยี่ย)ก็รีบเหยียบเบรก มองว่าหยุดรถไกลจากเขาพอสมควร แต่ก็ยังได้ยินเสียงคนคนนั้นร้องว่า “อ๊าก” ดังออกมา
เมื่อได้ยินเสียง เจาเยี่ยที่หลับอยู่ตลอดก็ลืมตาตื่นขึ้นมา มองผู้ช่วยผู้จัดการด้วยใบหน้าสับสนวุ่นวายแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
“พี่เจา ผม...ผมชนถูกใครสักคนแต่เมื่อสักครู่ผมหยุดรถห่างจากเขามากเลยนะ ผม...ผมไม่ได้ตั้งใจ...ผม...” เสียวเหม่ยใจนเสียสติ พูดจาติด ๆ ขัดๆ
“ไม่เป็ไร อย่าพึ่งวิตก อาจจะเป็พวกมิจฉาชีพวิ่งชนรถขอค่าชดเชยก็ได้อาจจะไม่ได้มีอะไรร้ายแรง ลงรถไปดูสถานการณ์ก่อน” เจาเยี่ยปลอบโยนเขาแล้วตัวเองก็นำหน้าลงจากรถ พอเห็นกู้หลานอันที่อยู่หน้ารถ มือกุมขา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเ็ปแล้วปากเขาก็กระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ ถามด้วยเสียงเ็าว่า “กู้หลานอัน ทำไมเป็นาย มาอยู่ตรงนี้นายคิดจะทำอะไรน่ะ?”
“เจาเยี่ย ทำไมเป็นาย?” ราวกับไม่คาดคิดว่าคนที่ลงมาจะเป็เจาเยี่ยกู้หลานอันประหลาดใจจนปากหุบไม่ลง “เมื่อกี้ฉันโดนแฟนคลับไล่ตามรู้สึกกังวลจนรีบวิ่งออกมา ไม่คิดว่าจะถูกรถชนเข้า”
“เธอ...เธอไม่เป็อะไรใช่ไหม?” ผู้ช่วยผู้จัดการที่ตามลงมาถามด้วยเสียงตื่นตระหนก
“ไม่เป็อะไร แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงยืนไม่ขึ้น” กู้หลานอันใบหน้าย่น
เจาเยี่ยไม่แม้แต่จะมองดูเขา พลางคิดสิ่งที่เขาพูดว่าถูกแฟนคลับไล่ตามพลางมองไปที่แฟนคลับที่ถือมือถือจำนวนไม่น้อยวิ่งล้อมเข้ามาแล้วรีบพูดกับผู้ช่วยผู้จัดการว่า “ขึ้นรถเร็ว เราต้องไปแล้ว” ก็นำหน้าขึ้นรถไป ผู้ช่วยผู้จัดการนึกว่าเขาเรียกให้ตัวเองประคองกู้หลานอันขึ้นรถกำลังจะยื่นมือออกไปช่วย ก็เห็นกู้หลานอันหัวเราะคิกคักลุกขึ้นยืนเองแล้วพูดว่า “ผมลุกขึ้นเองได้ ผมยังมีขาอีกข้างที่ขยับได้”
ผู้ช่วยผู้จัดการ: ...ต้นปีมานี้กระแสสังคมยิ่งอยู่ยิ่งตกต่ำแม้แต่ดาราก็เริ่มเล่นเป็มิจฉาชีพวิ่งชนรถขอค่าชดเชยกันแล้ว
“นายขึ้นมาทำไม?” ขับรถหนีจากการล้อมของบรรดาแฟนคลับอย่างรวดเร็วแล้วเจาเยี่ยมองกู้หลานอันอย่างเมินเฉยแล้วถาม
“ไม่ใช่นายเรียกฉันขึ้นมาเหรอ?” กู้หลานอันทำหน้าใสซื่อ
“ฉันเรียกเสียวเหม่ย ต่อมรับรู้ของนายมีปัญหาแล้ว” เจาเยี่ยถอนสายตากลับมองออกไปยังที่ไกลๆ คนที่ไร้ยางอายถึงขนาดนี้ ั้แ่เกิดมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเคยพบเคยเห็น
“จริงเหรอ? แต่คนที่นายชนจนาเ็คือฉันนะนายไม่ให้ฉันขึ้นรถ งั้นนายเป็พวกก่อเื่แล้วหนีเหรอ?” กู้หลานอันทำตัวน่าสงสารขึ้นมาทันใด “เจาเยี่ยนายเป็ถึงดาราชื่อดังนายต้องเป็แบบอย่างที่ดีให้กับประชาชนคนทั่วไปสิพอเกิดเื่นายก็ต้องมีความรับผิดชอบ ทำไมยังหัดหนีเหมือนคนอื่นเขา?”
“คำถามคือฉันได้ก่อเื่หรือยัง?” เจาเยี่ยจ้องเขาด้วยสายตาดุเดือด “กู้หลานอันนายอย่าคิดว่าฉันดูไม่ออกว่านายเป็พวกวิ่งชนรถ”
“ใครเป็พวกมิจฉาชีพวิ่งชนรถกัน?” กู้หลานอันหลบสายตาถูกเปิดเผยแล้วก็ยังกัดฟันไม่ยอมรับ “ถึงอย่างไรฉันก็เป็สาธารณชนคนหนึ่งจะแกล้งเป็มิจฉาชีพให้รถชนได้ยังไงกัน? อีกอย่างนะ ถ้าฉันเป็พวกมิจฉาชีพจริง ฉันจะทำให้ตัวเองาเ็ทำไม?” กู้หลานอันพูดพลางเอื้อมมือไปจับขา ทำท่าทางเหมือนเ็ป
เจาเยี่ยพ่ายแพ้ให้กับท่าทางแบบนั้นของเขารีบถอนสายตาออกความรู้สึกเกือบพังทลาย “เมื่อกี้ขาที่นายจับไม่ใช่ข้างนี้นี่”
“หืม? จริงเหรอ?” กู้หลานอันรู้สึกเขินอายอยู่ครู่หนึ่งรีบเอื้อมมือไปจับขาอีกข้างแต่พอแตะโดนปุ๊บก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อสักครู่ข้างที่ตัวเองจับจริง ๆ คือข้างไหนหน้าก็แดงขึ้นมาพลางชี้ไปที่ขาข้างที่ตัวเองจับตอนแรกถามเจาเยี่ยอย่างมีความสุขว่า “นายแกล้งฉันเมื่อกี๊ข้างที่ฉันจับจริง ๆ คือข้างนี้”
“ฉันไม่ได้มีอารมณ์ขนาดนั้นฉันแค่ไม่อยากเห็นนายแกล้งทำท่าทางแบบนั้นแล้วทำให้ผู้ช่วยผู้จัดการของฉันกังวล” เจาเยี่ยไม่ยอมรับสีหน้าเก็บอารมณ์กู้หลานอันได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกหึงขึ้นมาทันทีความรู้สึกของผู้ช่วยผู้จัดการตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งกลับได้ไปอยู่ในหัวเขาเขาจ้องเขม็งไปที่หลี่เสียวเหม่ยที่กำลังขับรถอยู่ที่เห็นท่าทางของเขาแล้วกลับยิ่งเครียดขึ้นไปอีกชาติที่แล้วเจาเยี่ยก็ปฏิบัติต่อเ้าบอดี้การ์ดน้อยดีมาก(เจาเยี่ยทำดีกับหลี่เสียวเหม่ยเพราะว่าเขามาจากหมู่บ้านชนบท สภาพครอบครัวไม่ดีรอบตัวไม่มีญาติมิตร กู้หลานอันก็รู้ถึงสาเหตุนี้แต่ตอนนี้เขาหึงขึ้นสมองอย่างสิ้นเชิง) ในชาตินี้ก็ยังดีกับเขาขนาดนี้
รู้สึกได้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองจากเื้ัหน้าผากหลี่เสียวเหม่ยมีเหงื่อเย็น ๆ ผุดออกมา นี่เขาไปทำให้ใครขุ่นเคืองเนี่ยรู้สึกเหมือนกำลังจะถูกกำจัด ใครก็ได้มาช่วยเขาหน่อย
สังเกตได้ถึงสายตาของกู้หลานอันเจาเยี่ยมองและมองไปยังผู้ช่วยผู้จัดการที่นั่งอย่างกระสับกระส่ายแล้วถามกู้หลานอันว่า “กู้หลานอันนายอยากจะทำอะไรกันแน่?”
“อะไร ทำอะไร? ฉันไม่ได้จะทำอะไร?” กู้หลานอันแสดงออกเหมือนไม่รู้เื่
“ไม่ได้ทำอะไรแล้วนายวิ่งชนรถทำไม?” ถ้าไม่ใช่เพราะเจาเยี่ยสุขุมเยือกเย็นสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้คงโดนเขาบีบให้เป็บ้าแน่ ๆ