“เอาไว้เราหาทางออกไปจากที่นี่ได้เมื่อใด ข้าจะเล่าเื่ทั้งหมดให้เ้าฟัง”
เมื่อเอ่ยจบร่างสูงก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนคว้าร่างของกู้จิ่งเหยียนขึ้นพาดบ่า ราวกับว่าอาการาเ็ก่อนหน้านี้เป็เพียงการแสดงของเขาเท่านั้น สามวันต่อมา เฮ่อเหวินเจ๋อได้พากู้จิ่งเหยียนไปยังสถานที่นัดพบที่เขานัดแนะเอาไว้ก่อนแยกตัวกัน ทุกคนกลับมาพร้อมกับาแเต็มตัว แต่มิได้ร้ายแรงจนไม่สามารถเดินทางต่อได้ จากนั้นพวกเขาก็เตรียมตัวออกเดินทางไปยังแคว้นจิ้นทันที
“ทิ้งข้าเอาไว้ที่นี่ ข้าไม่คิดที่จะตามพวกเ้าไป”
กู้จิ่งเหยียนเอ่ยออกมาเสียงเรียบ เมื่อเห็นรถม้าคันใหญ่วิ่งมาหยุดที่ด้านหน้าของตน แต่รัชทายาทแคว้นจิ้นผู้เป็พี่ชายมีหรือที่จะยอมฟังคำพูดของเขา กู้จิ่งเหยียนถูกจับยัดเข้าไปด้านในก่อนตัวเขาจะก้าวตามเข้าไป
“เวลานี้ที่นั่นเป็ที่ที่ปลอดภัยที่สุด ข้ารู้ว่าเ้ากำลังห่วงสิ่งใด คนของข้าได้ย้อนกลับไปที่อำเภอถงอันแล้ว อีกไม่นานพวกเขาจะพานางตามมาแน่นอน”
เฮ่อเหวินเจ๋อไม่รู้ว่าลู่หยวนซีนั้นเวลานี้ยังคงสลบไสลไม่ได้สติและอีกเื่ที่เขาไม่รู้คือนางอยู่ที่เรือนของจ้าวหลี่เสวียน มีเพียงหมอชราและหลานสาวของเขาเท่านั้นที่อยู่เฝ้าดูอาการของนางที่นั่น ต่อให้พวกเขาพลิกแผ่นดินตามหานางอย่างไรก็ไม่มีทางหานางพบแน่นอน ย้อนกลับมายัง่เวลาปัจจุบัน กู้จิ่งเหยียนในชุดคลุมจิ้งจอกสีแดงเพลิง กำลังฝึกเดินอยู่ภายในตำหนักอันโอ่อ่าที่มีกระถางไฟลวดลายวิจิตรตั้งอยู่เป็ระยะเพื่อให้ความอบอุ่น ร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมสีดำทมิฬเดินเข้ามาด้านในด้วยท่วงท่าสง่างามสมกับเป็องค์รัชทายาทแห่งแคว้น เฮ่อเหวินเจ๋อมองน้องชายของตนเดินไปมาท่าทางโงนเงนคล้ายเด็กทารกที่กำลังหัดเดิน พลันกู้จิ่งเหยียนก็ล้มไปด้านหน้าแต่ร่างสูงในชุดคลุมสีดำรวดเร็วกว่า เขาพุ่งเข้าไปรับร่างของชายหนุ่มเอาไว้ได้ทันท่วงที
“เ้าควรพักผ่อนเสียบ้าง แม้เวลานี้ท่านหมอเทวดาจะบอกว่าอาการของเ้าดีขึ้นมากแล้ว แต่เ้าไม่ควรหักโหมเช่นนี้”
กู้จิ่งเหยียนเงยหน้าขึ้นมองบุรุษผู้มาใหม่ ก่อนสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของเขา
“ใครคือน้องชายของท่าน ข้าผู้ต่ำต้อยไหนเลยจะกล้าอาจเอื้อมเป็พี่น้องกับเชื้อพระวงศ์แห่งแคว้นจิ้นได้”
เฮ่อเหวินเจ๋อถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ เ้าเด็กคนนี้ยังไม่หายโกรธที่ตนล้อเลียนเขาเมื่อไม่กี่วันก่อนอีกอย่างนั้นหรือ สิบวันก่อน การเดินทางอันยาวนานที่กินเวลาถึงสองเดือนก็ได้สิ้นสุดลง รถม้าคันโตวิ่งเข้าสู่ประตูเมืองหลวงของแคว้นจิ้นได้อย่างปลอดภัย แม้จะมีการลอบสังหารอยู่เป็ระยะแต่พวกเขาทั้งหมดก็สามารถกลับมาได้โดยที่ไม่มีการสูญเสียชีวิตผู้ใดไป
ทันทีที่เฮ่อเหวินเจ๋อกลับมาถึงตำหนักรัชทายาทของตน เขาก็รีบตรงดิ่งไปเข้าเฝ้าเซี่ยฮองเฮาเพื่อกราบทูลเื่ที่ตนได้รับมอบหมายทันที เมื่อพระนางเซี่ยฮองเฮาได้พบหน้าพระโอรสองค์โตพระนางก็อดที่จะหลั่งน้ำตาออกมามิได้ ใบหน้าและร่างกายของเขาล้วนมีาแที่ยังมิได้ทำการรักษา แต่เขากลับรีบมาที่ตำหนักใหญ่เพื่อพบมารดาของตนเสียก่อน
“เหตุใดเสด็จแม่ถึงได้ทรงกันแสงเล่าพ่ะย่ะค่ะ ลูกกลับมาได้อย่างปลอดภัยพระองค์มิทรงยินดีอย่างนั้นหรือ”
เมื่อเห็นผู้เป็มารดาร้องไห้เขาก็อดที่จะเย้าแหย่ตามประสาบุตรชายมิได้ เซี่ยฮองเฮาส่งค้อนให้บุตรชายวงใหญ่ก่อนที่ดึงให้เขาลุกขึ้นและกอดชายหนุ่มเอาไว้ พระนางหลับตาลงซึมซับความอบอุ่นก่อนจะหวนนึกถึง่เวลายี่สิบกว่าปีก่อน แม้จะล่วงเลยมานานถึงเพียงนี้แต่พระนางก็มิเคยลืมเลยว่าตนเองและบุตรชายคนนี้ต้องหนีตายจากการไล่ล่าสังหารอย่างไร
“แม่ดีใจที่ลูกปลอดภัยกลับมา หากครั้งนี้หาน้องชายของลูกไม่พบก็ช่างเถิด มิต้องย้อนกลับไปที่นั่นอีกแล้ว แม่คนนี้ใจจะขาดเมื่อเห็นลูกชายคนเดียวต้องได้รับาเ็เพราะความเอาแต่ใจตน จากนี้ไปถือเสียว่า์ไม่้าให้พวกเราแม่ลูกได้อยู่พร้อมหน้า แม่จะไม่ดึงดันอีกต่อไปแล้ว”
เมื่อต้องเอ่ยถึงบุตรชายคนเล็กของตนที่จำต้องแยกจากั้แ่ยังเป็เพียงทารก เซี่ยฮองเฮาก็อดที่จะกรรแสงอีกครั้งมิได้ เฮ่อเหวินเจ๋อ กอดพระมารดาของตนเอาไว้แนบอกอย่างทะนุถนอม เขาเองก็จดจำได้เป็อย่างดีว่าพระมารดานั้นใช้ร่างกายเพื่อป้องกันคมหอกคมดาบให้ตนอย่างไร
“พ่ะย่ะค่ะ ครั้งนี้ลูกคงมิได้กลับไปที่นั่นอีกแล้ว”
เฮ่อเหวินเจ๋อดันร่างบางของมารดาออกห่าง ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่ทำให้พระนางฟังแล้วดีใจขึ้นมา
“เพราะลูกหาน้องชายพบแล้วพ่ะย่ะค่ะ และเขาก็พักอยู่ที่ตำหนักของลูกแล้วในเวลานี้”
คำพูดของบุตรชายคนโตของนางทำให้เซี่ยฮองเฮาแทบหูดับ ยี่สิบปีมานี้พระนางส่งคนไปที่แคว้นจ้าวนับครั้งไม่ถ้วน จนกระทั่งบุตรชายคนโตของนางเติบใหญ่ เขาจึงได้อาสาออกตามหาน้องชายของตน ไม่คิดว่าครั้งนี้เขาจะพาเด็กคนนั้นกลับมาด้วยตนเอง หยาดน้ำตาเม็ดโตของเซี่ยฮองเฮาไหลออกมาราวกับสร้อยไข่มุกสายขาด พระนางละล่ำละลักถามบุตรชายด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“ขะ...เขาเป็อย่างไรบ้าง โตขึ้นหน้าตาเหมือนแม่หรือว่าเสด็จพ่อของเ้า”
เฮ่อเหวินเจ๋อยกยิ้มก่อนส่งเสียงหึ!ออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงใบหน้าหล่อเหล่าแต่กลับมีนิสัยกวนบาทาจนทำให้คนอดที่จะแยกเขี้ยวใส่วันละหลายรอบมิได้
“เขามีใบหน้าที่เหมือนท่านมากกว่าพ่ะย่ะค่ะ เด็กคนนั้นเติบโตขึ้นเป็ชายหนุ่มรูปงามที่มากความสามารถ เพียงแต่...”
เฮ่อหวินเจ๋อมิได้เอ่ยต่อ เพราะไม่้าให้พระมารดาของตนต้องมารู้สึกกังวลเกี่ยวกับเื่ของเด็กหนุ่มในอดีต
“เอาเป็ว่าเขาหล่อเหลาไม่แพ้กระหม่อม แต่นิสัยไม่ค่อยดีนิดหน่อย อีกอย่างลูกยังมิได้บอกเขาเื่ชาติกำเนิดเพราะคิดว่าให้เขามาได้ยินจากปากของเสด็จแม่เองน่าจะดีกว่า”
พระนางเซี่ยฮองเฮาพยักหน้าทั้งน้ำตา ก่อนจะปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง ูเาไท่ซานที่ทับอยู่ในใจของนางมายี่สิบกว่าปีเวลานี้ได้ถูกยกออกแล้ว หลังจากที่สองแม่ลูกได้พูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกัน เฮ่อเหวินเจ๋อก็ขอตัวไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ผู้เป็บิดาที่ห้องทรงงาน