ภายในห้อง มีแสงเทียนให้ความสว่าง ทั้งยังส่งกลิ่นหอมอบอวล
หนีเจียเอ๋อร์ไม่อาจทนต่อสายตาร้อนแรงที่โจวชิงหวามองมาได้ จึงดันมือซึ่งโอบบ่าของตนออก แล้วเดินไปยังโต๊ะกลมเพื่อจิบชา ก่อนตอบ “นอกจากคำขอบคุณจากใจ ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดแล้ว”
ชายหนุ่มเดินตามหลังมากระซิบข้างหู “ทำมาไม่ทำกลับ ถือว่าเสียมารยาทนะ เ้าจะปล่อยผ่านเื่นี้ไปจริงๆ หรือ?”
ร่างอันเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง ดุจดั่งขุนเขาที่ทาบทับ ลมหายใจอุ่นๆ กระทบผิว จนหญิงสาวถึงกับหน้าแดงทุกครั้งที่เขาผ่อนลมหายใจ
หนีเจียเอ๋อร์พยายามผลักชายที่เกาะติดอยู่บนร่างออกไป ดื่มชาจนหมดจอก จากนั้นจึงเปลี่ยนเื่ทันที “ข้าย่อมไม่ปล่อยผ่านไปเฉยๆ แน่”
โจวชิงหวาดึงเสื้อคลุมสีดำขึ้นมา ขยับตัวไปนั่งฝั่งตรงข้ามหญิงสาว และพูดเสียงทุ้ม “เสี่ยวเอ๋อร์ เ้าจะจัดการเื่นี้คนเดียวได้อย่างไร? ให้ข้าช่วยดีกว่า”
หนีเจียเอ๋อร์เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง จึงไม่อยากทำตัวไร้ประโยชน์เหมือนชาติก่อน ที่เอาแต่พึ่งพาบุรุษผู้หนึ่ง ดังนั้น นางจึงปฏิเสธความช่วยเหลืออย่างหนักแน่น “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่เสี่ยงลุยน้ำลุยไฟแบบสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก”
โจวชิงหวาหรี่ตาลงเล็กน้อย มองหญิงสาวซึ่งเป็คนคุ้นเคย แต่ก็คล้ายจะแปลกหน้า ด้วยสายตาครุ่นคิด
นับแต่หนีเจียเอ๋อร์กล้าลุกขึ้นมาปฏิเสธคำขอแต่งงานของสวีเพ่ยหราน บางครั้ง เมื่อเขามองแววตาอีกฝ่าย ก็มักจะพบความเด็ดขาดและมุ่งมั่นที่ไม่สมอายุ... นางผ่านเื่เลวร้ายใดมา ถึงได้เปลี่ยนไปเป็คนละคนในชั่วข้ามคืนเช่นนี้
...
เพราะบุตรสาวถูกกักขังไว้ในห้องเก็บฟืน ดังนั้นเวลาเห็นนายท่านหนี เว่ยอี๋เหนียงจึงมักจะหลบหน้าเสมอ ซ้ำยังปิดประตูประท้วงถึงสองวันสองคืน จนเขารู้สึกอับจนหนทาง ได้แต่แก้ตัวด้วยการชดเชยให้หนีเจียเอ๋อร์เป็สองเท่า เพื่อเป็การง้อภรรยา
หนีเจียเอ๋อร์จึงใช้โอกาสนี้ ขอออกไปซื้อของนอกจวน นายท่านหนีไม่เพียงตอบตกลงอย่างง่ายดาย ยังให้เงินพิเศษ และอนุญาตให้นางเข้าออกจวนได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องขออนุญาต
ด้วยสิทธิพิเศษเช่นนี้ หญิงสาวจึงสามารถสืบหาความจริงได้อย่างรวดเร็ว แต่เพื่อมิให้เป็การแหวกหญ้าให้งูตื่น เลยทำเป็นิ่งเฉยต่อไป
“คุณหนู จะไม่ชวนคุณชายโจวไปด้วยจริงๆ หรือเ้าคะ? คุณชายโจวเป็ผู้เยี่ยมยุทธ์ หากเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยก็สามารถปกป้องท่านได้นะเ้าคะ” เสี่ยวเสวียนพยายามโน้มน้าวคุณหนูของตน อีกทั้งครั้งก่อน ก็ได้สัญญากับโจวชิงหวาไว้แล้ว ว่าหากมีอันตรายใดที่อาจจะเกิดขึ้นกับคุณหนู นางจะแจ้งให้เขาทราบทันที
หนีเจียเอ๋อร์ผลักอีกฝ่าย ให้หลบไปด้านข้างเบาๆ พลางก้าวออกจากประตูโดยไม่หันมามอง พร้อมพูดอย่างใจเย็น “ถ้าจะตามมา ก็อย่าพูดจาไร้สาระ!”
เสี่ยวเสวียนกัดปากด้วยความกังวล สุดท้ายก็เลือกที่จะติดตามไปเงียบๆ
สองนายบ่าวเดินผ่านถนนอันเจริญรุ่งเรือง ที่เต็มไปด้วยเสียงจอแจ ตรงไปยังบ้านไม้เตี้ยๆ ซึ่งชำรุดทรุดโทรมหลังหนึ่งแถบชานเมือง
มีเสียงไอดังลอดออกมาอย่างต่อเนื่อง ราวกับคนผู้นั้นกำลังจะขาดใจได้ทุกขณะ เมื่อมองผ่านประตูอันผุพัง ที่เปิดออกครึ่งหนึ่ง สภาพห้องที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายและทรุดโทรมจนน่าสังเวช ก็ทำให้หนีเจียเอ๋อร์ถึงกับขมวดคิ้ว แต่หญิงสาวก็ยังไม่หยุดฝีเท้า
เสี่ยวเสวียนจับแขนนาง พลางกระซิบ “คุณหนู มิได้นะเ้าคะ ถ้าเกิดติดโรคขึ้นมาจะทำอย่างไร? รออยู่ที่นี่ แล้วให้บ่าวเข้าไปถามเถอะเ้าค่ะ”
หนีเจียเอ๋อร์ส่ายหน้า ขณะพูดเบาๆ “ไม่เป็ไร ไปกันเถอะ”
“แค่กๆๆๆ ไม่ทราบว่านายหญิง... แค่กๆๆ!” พอเห็นหญิงสาว ผู้แต่งตัวหรูหรา หญิงชราที่มีใบหน้าซีดเซียวอมโรค ก็พยายามจะเอ่ยปากถาม แต่ไม่อาจพูดได้เต็มประโยค
ยังไม่ทันกล่าวจบ หนีเจียเอ๋อร์ก็รินน้ำให้นางดื่มหนึ่งแก้ว ก่อนสั่งให้เสี่ยวเสวียนนำเงินในกระเป๋าออกมา จากนั้นก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน “เอาเงินไป แล้วบอกที่อยู่ของสามีเ้ามา”
พอรู้ว่าอิ๋งเซียง บุตรสาวของตนเป็คนร้าย ที่นำภาพวาดไปวางไว้ในห้องอีกฝ่าย เพื่อใส่ร้ายป้ายสี หญิงชราก็รีบขอโทษขอโพยยกใหญ่ เสี่ยวเสวียนจึงพูดกับนางว่า “บอกบุตรสาวของเ้าด้วย ว่าคุณหนูหนีเจียเอ๋อร์ บุตรสาวของเสนาบดีกรมพิธีการ...”
หนีเจียเอ๋อร์รีบปรามสาวใช้ทันที “เสี่ยวเสวียน อย่าพูดถึงเื่นั้น”
ความผิดของอิ๋งเซียง ไม่จำเป็ต้องบอกให้มารดาผู้ชราของนาง ที่กำลังป่วยหนักได้รับรู้
หลังจากหนีเจียเอ๋อร์กลับไปสามวัน อิ๋งเซียงก็กลับมาบ้านพร้อมเงินที่หนีจวิ้นหว่านมอบให้ และเพิ่งรู้ว่าอาการของมารดาทรุดลงจนเข้าขั้นวิกฤติ แต่ดีขึ้นแล้ว เพราะกินยาจากร้านที่คุณหนูรองเป็ผู้แนะนำให้
ตนถูกบีบบังคับให้ใส่ร้ายอีกฝ่าย แต่กลับได้รับความเมตตาครั้งใหญ่ นางจึงตัดสินใจที่บอกความจริงแก่หนีเจียเอ๋อร์
ขณะหญิงสาวกำลังเบื่อหน่ายกับการอ่านหนังสือบทกลอนอยู่นั้น เสี่ยวเสวียนก็ก้าวเข้ามา พลางรายงานว่า “คุณหนู ตอนท่านไม่อยู่ อิ๋งเซียงฝากข้อความ นัดให้ท่านไปพบที่ศาลาในคืนนี้ นางมีเื่เกี่ยวกับภาพวาดจะบอกเ้าค่ะ”
นี่เป็เื่ที่ไม่คาดคิดมาก่อน หนีเจียเอ่อร์จึงเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ พร้อมยกยิ้มมุมปาก “อืม... รู้แล้ว!”
เสี่ยวเสวียนพูดด้วยรอยยิ้ม “นี่คงเป็ผลตอบแทนจากการทำความดี เงินของคุณหนู คงมิได้ไร้ประโยชน์เ้าค่ะ”
หนีเจียเอ๋อร์ไม่เชื่อว่าทำดีแล้วจะได้ดี เื่นี้ เกรงว่าจะไม่เป็จริงเสียแล้ว ยกตัวอย่างเช่นสวีเพ่ยหราน ในชาติก่อน ตนก็ไม่เคยปฏิบัติต่อเขาอย่างเลวร้าย แต่ดูสิว่าสุดท้ายแล้ว นางได้อะไรกลับมา...
สิ่งที่ได้รับ คือคนสกุลหนีมากกว่าร้อยคน ต้องถูกฝังอยู่กลางทะเลเพลิง ส่วนตัวเองก็ถูกสวีเพ่ยหรานบีบคอจนขาดใจตาย นางยังจำดวงตาอันเยียบเย็นของอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำ
หนีจวิ้นหวานผลุนผลันเข้าไปในห้องของสวีซื่อ ด้วยท่าทีตื่นตระหนก “ท่านแม่ อิ๋งเซียงไปที่เรือนของหนีเจียเอ๋อร์ โชคดีที่นางไม่อยู่ มิฉะนั้น สาวใช้ผู้นั้นคงหักหลัง สารภาพความผิดที่ข้าวางแผนใส่ร้ายหนีเจียเอ๋อร์ไปแล้ว ท่านแม่ จะทำอย่างไรกันดี หากเื่นี้ถึงหูท่านพี่หรานเข้าละก็...”
สวีซื่อหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาพันรอบปลายนิ้ว พลางแสร้งเช็ดน้ำตา “ดูเ้าสิ เป็แบบนี้ จะขึ้นเป็ใหญ่ในอนาคตได้อย่างไร?”
ผู้เป็บุตรสาวทำท่าจะร้องไห้ “ท่านแม่ ไม่มีเวลาแล้ว ท่านยังมีแก่ใจมาประชดลูกอีกหรือ? มาช่วยกันแก้ปัญหาเถอะ!”
ดวงตาของสวีซื่อ พลันฉายแววโเี้ “ไม่ต้องห่วง ยังมีแม่อยู่ทั้งคน ข้าไม่มีวันให้ลูกสาวของนางนั่น มาเป็ก้างขวางคอเ้าหรอก”
…
ตอนเที่ยง สวีซื่อสั่งให้บ่าวรับใช้เรียกอิ๋งเซียงเข้ามาพบ แล้วยัดถุงเงินใส่มืออีกฝ่าย ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าเมตตา “ได้ยินว่าแม่ของเ้าป่วยหนัก รับเงินนี่ไปเสีย บางทีมันอาจจะช่วยชีวิตมารดาของเ้าได้”
อิ๋งเซียงทำงานในจวนนี้มาห้าปี มีหรือจะไม่รู้ซึ้งถึงความโเี้ของสวีซื่อ จุดประสงค์ที่มอบเงินให้นาง คงมิได้หวังดีเช่นที่ปากว่าเป็แน่
เมื่อเห็นสาวใช้มีสีหน้าเคลือบแคลงใจ สวีซื่อจึงกล่าวต่อ “เอาเงินนี่ไป แล้วลืมเื่ที่ข้าสั่งให้นำภาพวาดไปไว้ที่ห้องของคุณหนูรองเสีย ไม่อย่างนั้น สิ่งที่ข้าจะมอบให้คงมิใช่เงิน แต่เป็...”
แววตาเย็นะเืของสวีซื่อ ทำให้อิ๋งเซียงตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว นางรีบคุกเข่าคำนับทันที “ขอบคุณนายหญิงที่เมตตา”
ระหว่างที่อิ๋งเซียงกำลังจะกลับบ้าน ทันใดนั้น มีบุรุษปิดหน้าตามิดชิด มาดักรออยู่ก่อนแล้ว
หนึ่งวันให้หลัง ข่าวสาวใช้ในจวนเสนาบดีกรมพิธีการจมน้ำตายในทะเลสาบ ก็แพร่สะพัดไปทั่ว ผู้คนต่างตื่นใ รวมถึงทุกคนในจวนสกุลหนีด้วย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้