แต่เื่ฐานลับขององค์ชายห้าทั้งหลายที่เขามั่นใจนั้นก็ล้วนมีความเสี่ยง ครั้งนี้ที่องค์ชายห้าตัดสินใจมาเล่นงานเขา อีกฝ่ายจะต้องวางแผนไว้อย่างดีแล้วแน่นอน
ไม่แน่ว่าฐานลับพวกนั้นอาจจะถูกย้ายไปนานแล้ว โชคดีที่ครั้งนี้ซูิเยว่ช่วยเขาเอาไว้ได้มาก ขอแค่เชียนซวินจือสืบความจริงมาได้ เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะเป็ฝ่ายโจมตีกลับ
“องค์ชายสาม” ในตอนนั้นเอง องครักษ์คนหนึ่งเข้ามารายงานด้วยท่าทางร้อนรน “ฮ่องเต้เสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของพวกหลิงชวนเปลี่ยนมาเย็นเยียบทันที
จี๋โม่หานเลิกคิ้ว ถึงไม่พูดก็เข้าใจได้ว่าตอนนี้เป้าหมายของฮ่องเต้คืออะไร อีกฝ่ายต้องได้ยินข่าวก็เลยอยากมาดู ฮ่องเต้คนนี้มีความคิดลึกล้ำ ไม่มีทางเชื่อข่าวลือที่กระจายด้านนอก
เขาออกคำสั่งอย่างเป็ลำดับขั้นตอน “หลิงชวน พยุงข้าไปนั่งบนเตียง จื๋อหลัน เ้าออกไปรับแขก”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
หลิงชวนพยุงจี๋โม่หานไปถึงในห้องก่อนจะถอดเสื้อนอกออกให้ จากนั้นก็พยุงเขานอนลงบนเตียง
จี๋โม่หานมักจะอยู่ในจวนเป็ประจำ ผิวจึงขาวกว่าคนปกติ บวกกับที่เขาััเซวียนอวี้มาหลายปี ภายในร่างกายจึงสะสมความเย็นเอาไว้ อุณหภูมิร่างกายจึงต่ำกว่าคนทั่วไป ดังนั้นแค่แสร้งทำเป็ป่วยใกล้ตายก็ง่ายดายมาก
หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว หลิงชวนก็ออกไปรอที่หน้าประตู ผ่านไปครู่หนึ่ง ด้านนอกประตูก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ฟังแล้วคงจะมีหลายคน
“ถวายบังคมฝ่าา” หลิงชวนเอ่ยเสียงดัง “วันนี้องค์ชายสามอาการทรุดหนักกะทันหัน ตอนนี้กำลังพักผ่อนอยู่ ไม่สามารถออกไปต้อนรับได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่เป็ไร” เสียงของฮ่องเต้ดังเข้ามา “วันนี้เจิ้นเพียงแค่มาเยี่ยม”
“เช่นนั้นเชิญฝ่าาเข้าไปด้านในได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
ด้านหลังฮ่องเต้มีองค์ชายห้าตามมาด้วย จี๋โม่หานที่อยู่บนเตียงนอนหลับตานิ่ง เมื่อเป็เช่นนี้ก็มองเห็นใบหน้าขาวซีดผิดปกติของเขาได้ดี ริมฝีปากซีดไร้สีเื หากไม่มีการขยับที่หน้าอกเล็กน้อย ก็แทบจะไม่รู้สึกถึงสัญญาณการมีชีวิตอยู่ของเขาเลย
สองมือของฮ่องเต้ไพล่ไว้ด้านหลังพลางขมวดคิ้ว ั์ตามีแววครุ่นคิดแล่นผ่าน ดูแล้วไม่เหมือนแกล้งทำ แต่จู่ๆ อาการมาทรุดเอาในสถานการณ์เช่นนี้มันก็น่าสงสัยอย่างชัดเจน
ส่วนองค์ชายห้าที่อยู่ด้านข้างก็กำหมัดแน่น แววตาดุร้ายจ้องคนที่อยู่บนเตียง เขาไม่เชื่อว่าจี๋โม่หานจะป่วยจริงๆ ตอนที่เจอกันเมื่อวานยังดีๆ อยู่เลย เหตุใดวันนี้ถึงมาป่วยใกล้ตายกะทันหันกัน
ดวงตาของหลิงชวนมองไปยังใบหน้าของฮ่องเต้โดยไม่เปลี่ยนสีหน้า เขาเดินมาด้านหน้าสองก้าวก่อนจะโค้งแล้วพูดเบาๆ “องค์ชายสาม ฮ่องเต้เสด็จมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
คนที่อยู่บนเตียงไม่ขยับ หลิงชวนร้องเรียกอีกครั้ง “องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ”
ตอนนี้คนที่อยู่บนเตียงเหมือนจะขยับเล็กน้อย คล้ายพยายามจะลุกขึ้นมา
หลิงชวนรีบหยิบหมอนมารองหลังจี๋โม่หานแล้วพยุงเขาให้ลุกขึ้นนั่งพิง แค่การเคลื่อนไหวง่ายๆ จี๋โม่หานก็ทำมันได้อย่างยากลำบาก อีกทั้งยังหายใจถี่รัว
จี๋โม่หานยังคงหลับตาดั่งเก่า หัวเอียงไปด้านนอกเล็กน้อย น้ำเสียงฟังดูอ่อนแรง “น้องไม่สามารถออกไปต้อนรับเสด็จพี่ได้ ขอฮ่องเต้โปรดให้อภัยด้วย”
“พูดเหมือนเป็คนอื่นคนไกลไปได้ ได้ยินว่าเ้าป่วยหนัก เจิ้นก็เลยรีบมาเยี่ยมเ้า” คำพูดของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความรู้สึก ราวกับกำลังเป็ห่วงเขาจริงๆ
จี๋โม่หานหัวเราะเสียงเย็นในใจ เขายิ้มออกมาอย่างยากลำบาก “เช่นนั้นก็ทำให้ฝ่าาเป็ห่วงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เมื่อวานน้องยังดีๆ อยู่เลย เหตุใดวันนี้จู่ๆ ก็ป่วยหนักขึ้นมา?”
จี๋โม่หานพลันยกมือขึ้นมาปิดปากไอทันที ไออยู่ครู่หนึ่งราวกับปอดจะขาดและหายใจไม่ทัน ทำเอาคนฟังตรงนั้นเ็ปใจ
หลิงชวนมององค์ชายสามด้วยความกังวลแล้วอธิบายให้ฮ่องเต้ฟัง “เื่เป็เช่นนี้พ่ะย่ะค่ะฝ่าา ที่จริงร่างกายขององค์ชายสามแย่ลงทุกวันั้แ่ก่อนหน้านี้แล้ว ตามหาหมอดีๆ มากมายมาตรวจก็แล้ว แต่ก็ตึงมือไม่มีวิธีรักษา ทำได้แต่กินยาประทังอาการไป เช้าวันนี้จู่ๆ องค์ชายสามก็อาการทรุดหนัก หมอที่จวนมาตรวจแล้วพบว่าพิษที่ดวงตาขององค์ชายสามนั้นปล่อยไว้นานเกินไป ตอนนี้ได้กระจายออกไปกัดกินเส้นเืหัวใจ ยาจึงไม่อาจรักษาได้แล้ว”
ราวกับตอบรับคำพูดของหลิงชวน จี๋โม่หานก็กลั้วหัวเราะเย้ยหยันตัวเอง “ร่างกายของข้าเป็เช่นนี้ั้แ่พลาดพลั้งที่าตงฉือตอนนั้นแล้ว เดิมทีข้าควรจะตายั้แ่ตอนนั้น แต่ก็ยังมีชีวิตมาได้นานขนาดนี้ ข้าเองก็พอใจแล้ว”
“เ้าพูดอะไรของเ้าน่ะ” ความสงสัยในดวงตาของฮ่องเต้ลดลงไปหลายส่วน เป็เพราะว่าสีหน้าของจี๋โม่หานในตอนนี้ดูป่วยใกล้ตายแล้วจริงๆ “วันนี้เจิ้นพาหมอหลวงมาตรวจอาการให้เ้าด้วย ด้านนอกล้วนแต่เป็หมอหลอกลวง เชื่อไม่ได้”
จี๋โม่หานปิดปากไออีกสองที เส้นเืเขียวที่ขมับก็นูนขึ้นมา “เช่นนั้นข้าก็ขอบพระทัยเสด็จพี่แล้ว”
“หมอหลิน” ฮ่องเต้โบกมือเรียกหมอหลวงด้านหลัง “เ้ารีบมาตรวจดูอาการองค์ชายสาม ต้องตรวจดีๆ หากมีตรงไหนผิดพลาดไปสักนิด เจิ้นจะไม่ปล่อยเ้าไว้”
“พ่ะย่ะค่ะๆ ๆ” หมอหลินหวาดกลัว “กระหม่อมจะตรวจองค์ชายสามให้ดีพ่ะย่ะค่ะ”
เขาพูดไปก็เดินขึ้นไปด้านหน้า ดวงตามองจี๋โม่หานที่หายใจรวยรินบนเตียงแล้วถาม “องค์ชายสาม กระหม่อมขอตรวจชีพจรให้ท่าน”
จี๋โม่หานยกมือออกมาก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย “รบกวนแล้ว”
หมอหลินพูดไปก็ถลกแขนเสื้อของจี๋โม่หานขึ้น เผยให้เห็นแขนขาวไร้สีเื จากนั้นก็วางสองนิ้วลงไปตรวจชีพจรอย่างละเอียด
สายตาของทุกคนต่างจ้องไปยังมือที่ตรวจชีพจรไม่วางตาพร้อมกับกลั้นหายใจ บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันตา
พวกหลิงชวนกำหมัดแน่น ในฝ่ามือมีเหงื่อออก กลัวว่าหมอหลินจะมองออกว่าเป็กลอุบายของซูิเยว่
ฮ่องเต้กับองค์ชายห้าเองก็สนใจการตรวจในครั้งนี้ ทั้งสองคนขมวดคิ้วแน่นแล้วสังเกตการกระทำของหมอหลวงหลินทุกรายละเอียด
ผ่านไปครู่หนึ่ง หมอหลินก็ยังคงอยู่ในท่าทางนั้น คิ้วกลับค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน ทั้งยังแอบเห็นเหงื่อที่ซึมออกมาเป็ชั้นบางๆ
ทุกคนภายในห้องต่างเป็กังวลจนระมัดระวังขึ้นมา
ฮ่องเต้ถาม “เป็อย่างไรบ้าง?”
หมอหลินเก็บมือกลับมาแล้วเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก ท่าทางหวาดกลัวเล็กน้อย “กระหม่อมไร้ความสามารถ ชีพจรขององค์ชายสามนั้นอ่อนมาก ใกล้....ใกล้จะสิ้นพระชนม์แล้วจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
เขาพูดไปก็ยังตัวสั่นไม่หยุด กลัวว่าผลการตรวจในครั้งนี้จะทำให้ฮ่องเต้พาลโกรธเขา
เมื่อเอ่ยคำนี้ออกมา หัวใจของพวกหลิงชวนก็วางใจลง ดูเหมือนว่าแผนนี้ของซูิเยว่จะได้ผล แม้แต่หมอหลวงในวังก็ยังมองไม่ออก
ส่วนฮ่องเต้กับองค์ชายห้าก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นกว่าเดิม เหตุใดถึงเป็เช่นนี้
ใบหน้าของฮ่องเต้แสดงความโมโหขึ้นมา เขาสะบัดแขนเสื้ออย่างแรงแล้วพูดเสียงเข้ม “ไร้ประโยชน์!”
หมอหลินคนนั้นตัวสั่นหนักขึ้นกว่าเดิม
ฮ่องเต้หมุนตัวไปมองหมออีกคน “หมอจ้าว เข้ามา”
หมอจ้าวในตอนนี้ก็หวาดกลัวเป็อย่างมาก หมอหลินพูดออกมาเช่นนี้แล้ว คาดว่าถึงเขาไปตรวจอีกครั้งก็ตรวจไม่เจออะไรอยู่ดี แต่ฮ่องเต้เรียกชื่อของเขาออกมาแล้ว เขาทำได้แค่เดินเข้าไป