บทที่ 14 เืศักดิ์สิทธิ์ตื่นขึ้น
หลินชางชักกระบี่ออกมา ไป๋อวี้เองก็ชักออกมาพร้อมสู้เช่นกัน หน้าที่เขาตอนนี้คือการขัดขวางไม่ให้หลินชางเข้าไปสมทบกับมู่เหย่
“เ้าพวกมดปลวกสมควรตาย” หลินชางฟันกระบี่ใส่ไป๋อวี้
ไป๋อวี้ตั้งกระบี่เป็แนวขวางตั้งรับ ต่อให้รับไม่ไหวก็ต้องรับให้ไหว หากปล่อยให้หลินชางเข้าไปสมทบกับมู่เหย่ ทั้งเขาและฉินชูมีโอกาสสูงที่จะโดนจัดการ
ในขณะที่ฉินชูพุ่งเข้าไปทางด้านหลังมู่เหย่ เขาได้ใช้ขาทั้งสองข้างเกี่ยวเอวทางด้านหลังของมู่เหย่ ส่วนแขนขวาก็เกี่ยวล็อกคอ มือซ้ายกดหน้าผากและผลักไปด้านหลังหมายจะหักคอ
หัวของมู่เหย่ถูกฉินชูกดง้างไปด้านหลัง มือทั้งสองข้างไม่อาจคว้ากระบี่ได้ มีแต่ต้องพยายามออกแรงงัดแขนและมือของฉินชูให้ออกเท่านั้น
ความพยายามทั้งหมดล้วนล้มเหลว มือทั้งสองข้างของมู่เหย่ไม่อาจสู้แรงมหาศาลของฉินชูได้
กรอบ!
เสียงกระดูกหักดังลั่น คอมู่เหย่ก็ถูกฉินชูหักทิ้ง
หลังจากจัดการมู่เหย่เสร็จ ฉินชูก็ลุกขึ้น ชักกระบี่ออกมาและพุ่งเข้าสังหารหลินชางทันที
ณ ตอนนี้หลินชางที่กำลังไล่ต้อนไป๋อวี้จนจนมุมก็หันมารับการโจมตีของฉินชูแทน
ตอนที่ฉินชูเก็บมู่เหย่เป็่เวลาอันพอเหมาะยิ่งนัก เพราะไป๋อวี้ที่มีตบะอยู่แค่ขั้นหนิงหยวนระดับสองไม่สามารถต้านทานหลินชางที่มีตบะอยู่ขั้นเจินหยวนระดับกลางๆ ได้ ไป๋อวี้อยู่คนละชั้นกับหลินชางอย่างเห็นได้ชัด
“พวกแกต้องตายเท่านั้น” หลินชางโกรธจัด มู่เหย่ที่มากับเขา ตอนนี้ถูกฉินชูฆ่าตายแล้ว
ฉินชูจ้องมองหลินชาง ไป๋อวี้เข้ามายืนสมทบอยู่ข้างๆ จากนั้นทั้งสองก็พุ่งเข้าโจมตีหลินชางพร้อมกัน
หลินชางช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก ทุกการโจมตีของไป๋อวี้ล้วนถูกสวนกลับมาจนต้องล่าถอย ฉินชูก็รับมือกับหลินชางไม่ไหวเช่นกัน ถึงแม้ฉินชูจะมีร่างกายแข็งแกร่งเป็พิเศษและไม่เคยถูกโจมตีจนสั่นคลอน แต่อานุภาพการโจมตีจากกระบี่ของหลินชางแต่ละครั้งทำเอาเขาถึงกลับผละถอย
และเมื่อกระบี่ปะทะกัน กระบี่ของฉินชูก็ถูกหลินชางปัดเป่าไปอย่างง่ายดาย
กระบี่ของฉินชูถูกปัดออกจนหลุดวิถีจู่โจม หลินชางพลันพลิกข้อมือใบดาบทัดหูขนานพื้น ปลายกระบี่เล็งไปที่หน้าอกของฉินชูอย่างแม่นยำ จากนั้นก็พุ่งเข้าไปหมายเสียบแทง
“เ้าคิดว่าข้ากลัวหรือไง” ไฟคลั่งลุกโหม ร่างกายของฉินชูไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังพุ่งออกไปข้างหน้าอีก ต่อให้ต้องสู้จนตัวตาย เขาก็ไม่กลัว
ขณะพุ่งออกไปข้างหน้า มือซ้ายของฉินชูก็พุ่งเข้าจับกระบี่ของหลินชาง จากนั้นกระบี่ที่มือขวาก็ฟาดฟันเข้าไปที่คอของหลินชาง
เมื่อถูกคว้าจับกระบี่จนกระบี่หยุดการเคลื่อนไหว หลินชางก็รีบชักออกมา แต่ไม่สำเร็จ เพราะฉินชูกำกระบี่ของเขาเอาไว้แน่น
“งั้นแกตายก่อนแล้วกัน” เพื่อบีบฉินชูให้ถอย หลินชางจึงเค้นพลังทั่วทั้งร่างผลักเข้าไปที่กระบี่ ทำให้กระบี่เฉือนมือฉินชูจนปลายกระบี่แทงเข้าที่หน้าอกลึกเกือบสามนิ้ว
ในตอนนี้หลินชางไม่มีโอกาสหลบกระบี่ของฉินชูได้อีกต่อไป คอของเขาถูกฟันจนขาดกระเด็น
ไป๋อวี้พุ่งเข้ามาฟันมือขวาที่จับกระบี่ของหลินชางจนขาด ก่อนถีบร่างไร้หัวของหลินชางกระเด็นลอยไป
ฉินชูยกมือซ้ายที่โชกเืขึ้นมาก่อนจะค่อยๆ ดึงกระบี่ออกจากกลางหน้าอก
ครั้นกระบี่หลุดออกจากร่างกาย ทันใดนั้นพลังงานสีทองอร่ามก็เปล่งแสงสว่างออกมาจากหน้าอกของเขา ในตอนนี้ฉินชูรู้สึกเหมือนมีลูกไฟปะทุขึ้นกลางอกของตัวเองและกำลังแผ่ซ่านไปทั่วร่างอย่างรุนแรง
ฉินชูพยายามนั่งสมาธิและทำตามตำรายุทธ์ไร้นามเพื่อสงบร่างกายลง
ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ในที่สุดพลังงานที่หน้าอกของฉินชูก็สงบลง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งเดียวที่เขารู้ก็คือการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขาจะต้องเป็เพราะเืศักดิ์สิทธิ์แน่นอน เขาตระหนักว่าหลังจากนี้ตัวเองจำเป็ต้องหาตำราเพื่อตามอ่านเื่ราวของมันเสียแล้ว
“ลูกพี่เป็ยังไงบ้าง” ไป๋อวี้ยืนถือกระบี่เฝ้าระวังอยู่ข้างๆ เขากลัวว่าจะมีคนอื่นตามมาอีก
“ข้าไม่เป็ไร เก็บของมีค่าบนตัวพวกเขามาให้หมด และเอาสิ่งของที่บ่งบอกถึงตัวพวกเขาทิ้งไป พวกเราห้ามพกของแบบนั้นติดตัวเด็ดขาด” ฉินชูพูดกับไป๋อวี้
ไป๋อวี้พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ต่อมาก็เก็บสิ่งของมีค่าบนตัวหลินชางกับมู่เหย่และนำมาวางไว้ด้านหน้าฉินชู มีเข็มขัดเก็บของสองเส้น กำไลช่องมิติสองวงและกระบี่สองเล่ม
“ทางสำนักจะมอบเข็มขัดเก็บของให้ลูกศิษย์สายนอก ส่วนลูกศิษย์สายในจะได้กำไลช่องมิติ และของมีค่าของพวกเขาคงอยู่ข้างใน” ไป๋อวี้พูดกับฉินชู
จากนั้นฉินชูก็เอาของที่อยู่ในเข็มขัดเก็บของและกำไลช่องมิติออกมาทั้งหมด ในนั้นมีเม็ดโอสถอยู่จำนวนหนึ่ง เป็โอสถหนิงหยวนและโอสถเจินหยวน เป็เม็ดโอสถเสริมบำรุงขั้นที่สองกับขั้นที่สาม นอกจากนั้นยังมีทองก้อนและเงินอยู่จำนวนหนึ่ง
“ต้องใช้กำไลช่องมิติอย่างระวัง ห้ามให้คนอื่นเห็นเด็ดขาด เพราะตอนนี้พวกเราเป็แค่ศิษย์รับใช้ ถ้าคนอื่นเห็นว่าพวกเรามีสิ่งนี้อยู่ ประจวบเหมาะกับการที่หลินชางและมู่เหย่หายตัวไป แบบนั้นต้องกลายเป็เื่ใหญ่แน่นอน” ฉินชูแบ่งเม็ดโอสถกับเงินทองให้ไป๋อวี้ครึ่งหนึ่งพร้อมกับพูดขึ้น
แต่ไป๋อวี้กลับ้าแค่หนึ่งในสามของทรัพย์สินทั้งหมด การที่พวกเขาชนะมาได้ก็เพราะฉินชูเป็หลัก ดังนั้นอะไรที่ไม่ใช่ของเขา เขาจะไม่รับมัน
ฉินชูมองไป๋อวี้โดยไม่พูดอะไร หลังจากรู้จักกันมาสักพักหนึ่ง เขาก็เริ่มชินกับนิสัยของไป๋อวี้แล้ว
เมื่อแบ่งเม็ดโอสถกับเงินทองกันเสร็จเรียบร้อย ฉินชูกับไป๋อวี้ก็แบ่งกำไลช่องมิติกันคนละวง เพราะพวกเขาสามารถใช้กำไลช่องมิติเก็บของได้ แล้วค่อยเอามันเก็บใส่ในเข็มขัดเก็บของอีกที นอกจากนี้ ทั้งสองยังเก็บอาวุธของหลินชางกับมู่เหย่ไปด้วย มันเป็กระบี่ที่ตีขึ้นจากเหล็กกล้าที่ทางสำนักชิงหยุนมอบให้ ไม่มีอะไรเป็พิเศษ ฉินชูคิดว่ามันสู้กระบี่เก่าๆ ที่ลู่หยวนมอบให้เขาไม่ได้สักนิด
ขุดหลุมเสร็จก็นำศพของหลินชางกับมู่เหย่ฝังลงดิน หลังจากนั้นฉินชูกับไป๋อวี้ก็จากไป เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็เหมือนเพียงการหยุดพักขั้นเวลาเท่านั้น พวกเขายังต้องทำภารกิจต่อ ยังต้องพักอาศัยในสำนักชิงหยุนและยัง้าสะสมแต้มคุณูปการต่อไป
เมื่อทิ้งระยะห่างจากเขตอันตรายอย่างเหมาะสม ไม่ได้ดันทุรังเข้าไปในเขามี่หยุน ภัยอันตรายจึงมีไม่มาก ทำให้ฉินชูกับไป๋อวี้ตามเก็บสิ่งของส่งมอบในภารกิจได้ค่อนข้างราบรื่น
กลางวันทำภารกิจ ตกกลางคืนแยกกันเข้าฌานฝึกตน นับวันพลังของฉินชูก็พุ่งสูงขึ้นเป็เส้นตรง เพราะมีพลังปราณหนุนเสริม ทำให้พลังโจมตีของกระบวนท่ากระบี่พื้นฐานของเขาทรงพลังกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า
ครึ่งเดือนผ่านไป ฉินชูกับไป๋อวี้ก็ออกจากบริเวณรอบนอกของเขามี่หยุนและมุ่งหน้ากลับสำนักชิงหยุน
“พวกเราจะแบ่งส่งมอบภารกิจสองครั้ง รอบแรกพวกเราจะส่งมอบของที่เก็บไว้ในเข็มขัดเก็บของก่อน โดยถ่ายของสิ่งที่เก็บมาไว้ในเส้นของผู้ดูแลหานและเราจะใส่เส้นของผู้ดูแลหานไปส่งมอบภารกิจ จากนั้นกลับไปพักที่หอศิษย์รับใช้สักระยะหนึ่ง ถ่ายโอนของจากกำไลช่องมิติออกมาแล้วค่อยไปส่งมอบอีกรอบ” ฉินชูอธิบายให้ไป๋อวี้ฟัง
ทั้งสองคนเดินทางมาถึงยอดเขาชิงหยุน ครั้งนี้สายตาที่จ้องมองมาที่พวกเขาไม่ใช่สายตาดูถูกแต่เป็สายตาอาฆาตราวกับจับจ้องศัตรู
ภายใต้การปั่นหัวยุยงจากคนในกลุ่มของหลิ่วเจ๋อ ทำให้ชื่อของฉินชูเป็ที่รู้จักของลูกศิษย์ที่อาศัยอยู่บนยอดเขาชิงหยุน เมื่อรู้ว่าฉินชูท้าสู้กับลูกศิษย์สายนอกและสายในบนยอดเขาชิงหยุนแล้ว พวกเขาก็ไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้
ฉินชูกับไป๋อวี้ไม่สนใจสายตาพวกนั้นแม้แต่น้อย ส่งมอบภารกิจเสร็จ ฉินชูก็ได้รับแต้มคุณูปการมาเพิ่มห้าพันแต้ม ไป๋อวี้ได้มาเพิ่มสามพันกว่าแต้ม
“พวกเราเอาตำรายุทธ์ไปคืนกันก่อนแล้วกัน” เมื่อออกจากหอคุณูปการ ฉินชูกับไป๋อวี้ก็มาที่หอคัมภีร์
ครั้งนี้ไม่มีใครเข้ามาขวางสักคน พวกเขามาถึงประตูหอคัมภีร์อย่างราบรื่น นอกจากนั้นพวกเขาเองก็จดจำเนื้อหาในตำรายุทธ์ได้หมดแล้ว
ขณะทั้งสองกำลังคืนตำรายุทธ์ ผู้เฒ่าที่นั่งสมาธิอยู่ด้านซ้ายได้ลุกขึ้นมองพินิจฉินชู ดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัย ส่วนผู้เฒ่าที่นั่งสมาธิอยู่ด้านขวา ฉินชูไม่เคยเห็นเขาลืมตาขึ้นมาเลยสักครั้ง นั่งนิ่งสนิทราวกับตายไปแล้วก็ไม่ปาน ทว่าครั้งนี้เขากลับลืมตาขึ้นมามองฉินชู
“ตำรายุทธ์... ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ศิษย์ผู้น้อยนำกลับมาคืนในสภาพเดิมขอรับ” ฉินชูถูกสองผู้เฒ่าจ้องมองจนขนลุก เขารู้สึกว่าสายตาของผู้เฒ่าทั้งสองท่านจ้องมองเขาราวกับหมาป่าที่กำลังจ้องตะครุบกระต่าย
เมื่อวางตำรายุทธ์ลงบนโต๊ะ ฉินชูก็รีบพาไป๋อวี้จากไปทันที
น่ากลัวเหลือเกิน การถูกสายตาของผู้เฒ่าทั้งสองท่านเพ่งมองพินิจแบบนั้น ฉินชูคิดว่าไม่น่าใช่เื่ดีเลย
เมื่อกลับมายังหอศิษย์รับใช้ ฉินชูก็ถอดเสื้อผ้าลงไปแช่ในอ่างน้ำโอสถ เหลือแค่หัวโผล่มาเหนือน้ำนิดเดียว มันช่างสบายตัวยิ่งนัก
ทันใดนั้นเอง ผู้เฒ่าที่เอาแต่นั่งสมาธิอยู่ทางด้านซ้ายของประตูหอคัมภีร์ก็ปรากฏตัวขึ้น “เ้าหนูอย่างเ้าช่างรู้จักดื่มด่ำกับชีวิตดีจริงๆ”