ไป๋เจินจูพาศิษย์พี่ทั้งสองมาเพื่อช่วยห่อสินค้าส่งไปยังสถานีรถไฟ
เซี่ยเสี่ยวหลานจะให้เงินค่าถุงน่องสองร้อยคู่แก่ไป๋เจินจู แต่ไป๋เจินจูกลับไม่รับ “เธอขายหมดแล้วค่อยให้เถอะ ขายไม่ได้ก็ส่งกลับมาให้ฉัน”
หลี่เฟิ่งเหมยตามมาหยางเฉิงครานี้ก็ถือว่าได้เปิดทัศนะให้กว้างไกลยิ่งขึ้นแล้วและยังได้เตร็ดเตร่ไปทั่วหยางเฉิงอีกทั้งเห็นการแสดงออกขณะเหมาเสื้อผ้าของเซี่ยเสี่ยวหลานด้วยไม่ใช่ว่าแบบไหนก็ขายได้ ร้านค้าส่งอยากขายเสื้อผ้าที่ขายไม่ออกให้คุณทั้งหมดใจจะขาดคนรับซื้อต้องมีวิจารณญาณของตนเอง... เซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่านั่นคือ ‘สุนทรียภาพ’ ตนเองคิดว่าสวยงามนั้นไม่นับ แต่ต้องเป็เหล่าลูกค้าคิดว่าสวยงามถึงเรียกว่ามีสุนทรียภาพ
สุนทรียภาพต้องบ่มเพาะอย่างค่อยเป็ค่อยไป
เมื่อก่อนหลี่เฟิ่งเหมยซุกตัวอยู่แต่ในชนบทจะสั่งสมประสบการณ์ได้เท่าไรกันโทรทัศน์ก็ไม่มี ไม่สามารถเข้าถึงการรับข้อมูลข่าวสารภายนอกได้เลย
เสื้อผ้าการแต่งกายของผู้หญิงในหมู่บ้านนั้นให้ความสำคัญกับการทำงานคล่องตัวและทนทานต่อความสกปรกผู้หญิงในซางตูเ่าั้ไม่เหมือนกัน พวกเธอใส่ใจทั้งสีสันและรูปแบบแถมยังเลือกเฟ้นวัสดุอีกด้วย เมื่อมาถึงหยางเฉิง ต้นฤดูใบไม้ผลิมาเยือนแล้วเสื้อผ้าบนกายของเหล่าสุภาพสตรีทั่วทุกถนนตรอกซอกซอยมีหลากหลายมากมายทำให้หลี่เฟิ่งเหมยได้เปิดหูเปิดตามากขึ้น
นิตยสารหนึ่งกองซึ่งรับมาจากเฉินซีเหลียง หลี่เฟิ่งเหมยพลิกอ่านทีละเล่มๆ
ระดับการศึกษาของเธอนั้นไม่สูง ตัวอักษรที่พบบ่อยยังพอรู้จักดูรูปภาพอย่างเดียวไม่มีปัญหาแต่ต้องเข้าใจว่าทำไมคนเขาจับคู่เสื้อผ้าแบบนี้ด้วยหรือเปล่า? ต้องอ่านและต้องทำความเข้าใจ หลี่เฟิ่งเหมยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก
“กลับไปป้าจะซื้อพจนานุกรมสักเล่ม”
หลี่เฟิ่งเหมยคิดไม่ถึงว่าตนเองที่อายุสามสิบกว่าแล้วยังต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่อีกครั้ง
แต่เซี่ยเสี่ยวหลานบอกแล้ว ไม่ใช่แค่เธอที่ต้องเรียนหลิวเฟินก็ต้องเรียนรู้ด้วยเช่นกัน บอกว่าอีกหน่อยทำธุรกิจใหญ่โตเธอและหลิวเฟินต้องเข้าใจการบริหารดูแล ทั้งสองคนยังอายุไม่ถึง 40 ปี ความเร็วในการซึมซับความรู้ไม่สามารถเทียบเท่าคนหนุ่มสาวได้ทว่าดีกว่าไม่เรียนเลย
สิ่งที่เซี่ยเสี่ยวหลานพูด หลี่เฟิ่งเหมยคิดว่าถูกต้องยิ่งนัก
ถ้ามิใช่เพราะเซี่ยเสี่ยวหลานเรียนหนังสือเก่งจะรอบรู้มากมายขนาดนี้ที่ไหน?
ไป๋เจินจูเชิญชวนเซี่ยเสี่ยวหลานไปดูเผิงเฉิงหลายหน “ฉันช่วยเธอทำหนังสือข้ามแดนเอง”
“ไม่ได้ ที่ซางตูยังรอสินค้ารอบนี้อยู่...”
เซี่ยเสี่ยวหลานมีท่าทีลังเล หลี่เฟิ่งเหมยเห็นดังนั้นก็ปิดนิตยสารในมือของตน “ป้าเอาสินค้ากลับซางตูเอง เสื้อผ้าควรตั้งราคาเท่าไรอย่างไรก็พอรู้ราคาส่งป้าใช้ปากกาจดไว้ ไม่ผิดพลาดแน่นอน! ป้าว่าใจหลานอยากไปมากเหมือนกันก็ไปสักรอบเถอะ ไม่เช่นนั้นหลานกลับซางตูไปยังนึกถึงตลอดเรียนหนังสือจิตใจจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเอาได้”
ปล่อยหลี่เฟิ่งเหมยกลับซางตูคนเดียวหรือ?
พอครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลตอนออกเดินทางมาทั้งสองคนพกเงินสำหรับซื้อสินค้า ตอนกลับไปเงินก็ได้ถูกเปลี่ยนเป็เสื้อผ้าแล้วสินค้าถุงโตหลายใบขนาดนั้นไม่อาจหอบหิ้วติดตัวได้ จึงจัดการฝากส่งสินค้าหลี่เฟิ่งเหมยไม่ต้องดูแลสัมภาระ ไม่ได้พกเงินติดตัวมากสิ่งเดียวที่ต้องกังวลก็คือความปลอดภัยของคน อย่ารับประทานอาหารและน้ำที่คนแปลกหน้าส่งให้อย่าลงรถระหว่างทาง ตอนนี้ชีวิตสุขสบายขึ้นทุกวันหลี่เฟิ่งเหมยไม่มีทางโดนพวกค้ามนุษย์ที่ปากบอกว่าจะพาเธอไปหาเงินก้อนใหญ่ลวงหลอกได้เดินทางกลับซางตูคนเดียวมิใช่ภารกิจยากระดับนรกอะไรนักสุดท้ายเซี่ยเสี่ยวหลานจึงตกลงตามไป๋เจินจูไปเขตเศรษฐกิจพิเศษเผิงเฉิง
ส่งหลี่เฟิ่งเหมยขึ้นรถไฟ เซี่ยเสี่ยวหลานอยู่ในหยางเฉิงต่อคนเดียว รอคอยให้หนังสือผ่านแดนเศรษฐกิจพิเศษเสร็จสิ้น
“ถ้าสองวันยังทำเื่ไม่สำเร็จ ฉันก็จะแอบเข้าไป”
ไป๋เจินจูก็ไม่มีความมั่นใจเต็มร้อยว่าจะสามารถช่วยเซี่ยเสี่ยวหลานทำหนังสือข้ามแดนได้ถ้าเวลาเลื่อนยืดเยื้อออกไปมาก ลักลอบแทรกซึมตัวเข้าไปเสียยังดีกว่าผู้คนมากมายเข้าออกเขตพิเศษโดยการใช้เส้นทางเถื่อนไป๋เจินจูใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยที่เผิงเฉิงเป็ระยะเวลาหนึ่ง จึงพอรู้จักเส้นทางลัดอยู่บ้าง
ศิษย์พี่สองคนของไป๋เจินจูเดินทางติดตามอยู่สองวันเซี่ยเสี่ยวหลานเตรียมอั่งเปาไว้ให้ทั้งสอง ศิษย์พี่ว่านอ้วนเตี้ยรู้สึกกระอักกระอ่วนที่จะรับศิษย์พี่หลี่สูงผอมกลับรับอั่งเปาไปอย่างสดชื่นเบิกบาน “คุณผู้หญิงเซี่ย คุณไปเผิงเฉิงพวกเราก็ควรตามไปด้วยสินะ”
ศิษย์พี่หลี่เปลี่ยนกระทั่งคำเรียก ปฏิบัติต่อเซี่ยเสี่ยวหลานราวกับเป็บุคคลระดับหัวหน้าแล้ว
พวกหัวหน้าใหญ่ฮ่องกงล้วนมีผู้คุ้มกันคอยติดตาม ทางหยางเฉิงนี้ยังไม่นิยมนักแต่ก็เคยได้ยินมาบ้าง
ทำงานผู้คุ้มกันให้คนอื่นเป็คนประเภทไหน?
ทหารปลดประจำการ นักเลง หรือคนที่เคยเรียนศิลปะการป้องกันตัวเหมือนนายว่านและนายหลี่สองคนนี้
คนที่ไป๋เจินจูแนะนำ เซี่ยเสี่ยวหลานค่อนข้างไว้วางใจ ตอนนี้ระบบต่างๆ ที่วางไว้ในเขตพิเศษยังไม่สมบูรณ์ไป๋เจินจูใช้ชีวิตได้ ไม่ได้หมายความว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไปแล้วก็จะได้รับการปฏิบัติเหมือนกันหากข้างกายติดตามโดยชายสองคน วางมาดเข้าไว้ อันธพาลแบบเคออีสฺยงนั้นยังต้องรู้สึกเกรงกลัวต่อสถานะเื้ัของเธอ...อ่อนเยาว์พริ้มเพรา อีกทั้งมีเงินติดตัว คิดจะไปหยางเฉิงคนเดียวหรือ?
ถ้าคนอื่น้าทั้งเงินและคนจะทำอย่างไร!
“เช่นนั้นก็ได้ คราวนี้คงต้องรบกวนทั้งสองตามไปเผิงเชิงด้วย เื่กินอยู่ฉันรับผิดชอบเองหลังกลับหยางเฉิงจะมอบค่าตอบแทนให้ ฉันไม่มีทางอยุติธรรมต่อทั้งสองคนแน่นอน!”
ศิษย์พี่หลี่กระตือรือร้นเสนอตัวมาก ศิษย์พี่ว่านก็ตกลงเช่นกัน
พออยู่ตามลำพัง ศิษย์พี่ว่านก็กล่าวกับศิษย์พี่หลี่ “ไม่ใช่บอกว่าจะเรียนรู้ทำธุรกิจจากศิษย์น้องหรือ? ฉันเห็นนายระริกระรี้จะทำหน้าที่คนคุ้มกันให้เด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้นพวกเราเรียนวิชาตั้งหลายปี เพื่อเป็ผู้คุ้มกันให้คนอื่นหรือ? แบบนั้นไม่สู้เรียนรู้จากเคออีสฺยง...”
ศิษย์พี่หลี่ยิ้มแย้ม “เรียนรู้เป็อันธพาลแบบเคออีสฺยงรวบรวมนักเลงหัวไม้เละเทะกองหนึ่งหลอกลวงผู้คนที่สถานีรถไฟ? ศิษย์พี่ ถ้านายกับฉันใจเด็ดพอจะเข้าสู่วงการมืดก็คงไม่ตกต่ำถึงขั้นต้องพึ่งพาศิษย์น้องช่วยเหลือเื่เงินหรอกหนังหน้าฉันไม่ได้หนาเท่าอาวั่งนะ บอกว่าหลังแต่งงานชีวิตไม่ค่อยราบรื่นขอร้านผลไม้ที่ศิษย์น้องสร้างมาด้วยความลำบากไป! เป็นักเลงมีความหมายอะไรเคออีสฺยงก็กลัวคุณผู้หญิงเซี่ยคนนี้ไม่ใช่หรือ? เป็คนคุ้มกันให้เธอไม่ขายหน้าใครเงินที่เธอจ่ายก็สามารถทำให้ฉันเลี้ยงดูคนในครอบครัวได้!”
ศิษย์พี่หลี่หยิบอั่งเป่าออกมา ด้านในมีต้าถวนเจี๋ยสิบใบ
เขายัดเงินใส่กระเป๋า “ต่อให้นายอยากเรียนทำธุรกิจพระพุทธรูปจริงตั้งอยู่ดันไม่กราบไหว้ [1]จดจ้องศิษย์น้องไปมีประโยชน์อะไร ศิษย์น้องเก่งเื่ต่อสู้ก็จริง แต่ความคิดไปเผิงเฉิงไม่ใช่สิ่งที่คุณผู้หญิงเซี่ยเสนอหรอกหรือ?”
ตามผู้มีความสามารถถึงจะได้เรียนรู้ความสามารถ
คำสาธยายของศิษย์พี่หลี่ทำเอาศิษย์พี่ว่านไร้ซึ่งความหมองใจอีกต่อไป
อายุน้อย หน้าตาสะสวย ทั้งยังเป็เพียงหญิงสาวคนหนึ่งเท่านั้น ทว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ะเืต่อความสามารถของเซี่ยเสี่ยวหลานหากบอกว่าขายเสื้อผ้าทำรายได้งดงาม มองเซี่ยเสี่ยวหลานรับซื้อสินค้าถุงน้อยถุงใหญ่จะกระทำตามก็ไม่ทำให้มีความสามารถแบบนั้นอยู่ดีชายสองคนแยกแยะสีสันเสื้อผ้าเป็ก็ไม่เลวแล้ว ผู้ชายที่ทำธุรกิจเสื้อผ้าและยังต้องศึกษานิตยสารแฟชั่นเหมือนเฉินซีเหลียงคนนั้นจะหาได้สักกี่คนในประเทศจีนในปี 84?
นายว่านและนายหลี่ทั้งสอง้าเปลี่ยนแปลงฐานะปัจจุบันที่เป็อยู่ ทว่าพวกเขาไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนดี
ดั่งที่ศิษย์พี่หลี่พูดไว้ ไม่ฉลาดเฉลียวก็ต้องตามเฉลียวและฉลาดแม้เรียนรู้ทักษะจากคนฉลาดไม่ครบถ้วน แค่ทำงานของตนให้ดีคนฉลาดย่อมต้องมอบข้าวสักจานให้กินอยู่วันยังค่ำ
เฉินซีเหลียงส่งคณะของเซี่ยเสี่ยวหลานกลับไปตนเองครุ่นคิดอยู่บ้านเป็เวลานาน หลังจากนั้นก็ขี่รถจักรยานยนต์ออกจากบ้านไป
เขาจะไปโรงงานผลิตเสื้อผ้าเฉินอวี่ ที่นี่ถือว่าเป็โรงงานใหญ่ประจำหยางเฉิงพี่เขยของเฉินซีเหลียงคือสมาชิกของโรงงานเสื้อผ้าเฉินอวี่ มีพี่เขยคนนี้กำกับเฉินซีเหลียงถึงสามารถมีสินค้าที่ดีกว่าคนอื่น เดิมทีเฉินซีเหลียงก็ทำงานอยู่ในโรงงานทว่าในปี 80 เขาได้ริเริ่มลองนำเสื้อผ้าบางส่วนออกไปฝึกขายด้านนอกด้วยตนเองจนถึงปี 82 ถึงได้ลาออกจากงานประจำเสียเลยกลายเป็ผู้ทำธุรกิจส่วนตัวโดยสมบูรณ์
เขารับสินค้าในราคาโรงงาน ไม่ขัดต่อกฎเกณฑ์ อย่างมากคือว่าให้สิทธิเขาได้จองสินค้าก่อนพี่เขยของเขาจะมีทำอะไรได้ ชีวิตน้องชายไม่ราบรื่นภรรยาที่บ้านก็คงโวยวายอีกเฉินอวี่คือโรงงานใหญ่ สามารถผลิตสินค้าชั้นยอดสำหรับส่งออกได้จริงแต่่นี้พี่เขยเฉินซีเหลียงรู้สึกกังวลเหลือเกินเขาเชื่อคำแนะนำของเฉินซีเหลียงและสร้างวัสดุขนแพะูเาทอผสมขนแกะออกมาหนึ่งล็อตผลิตเสื้อนอกชายหลักหมื่นตัวในคราเดียว—เสื้อผ้านั้นผลิตออกมาแล้วลูกค้าต่างชาติรับซื้อต่างพากันเปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย ไม่รับสินค้ากลุ่มนี้พี่เขยเฉินซีเหลียงอยากขายเสื้อนอกในประเทศอีกรอบเพื่อถอนทุนคืน ทว่าราคาโรงงานสูงถึงเพียงนั้นแถมเป็ขนแพะูเาทอผสมขนแกะ ตัวแทนจำหน่ายในประเทศจึงไม่กล้ารับ่ต่อ
ั้แ่เลือกเนื้อผ้าจนการออกแบบ ล้วนมีเฉินซีเหลียงกุนซือหัวสุนัข [2] คนนี้ร่วมมือด้วย เขาไม่ได้โกหกเซี่ยเสี่ยวหลาน ราคานำเข้าเสื้อนอกนี้สูงจริงๆราคาโรงงานก็คือ 65 หยวนต่อหนึ่งตัวเสื้อหนึ่งตัวเฉินซีเหลียงได้กำไรเพียง 5 หยวนตัวเขาเองไม่ได้มีสินค้าค้างมากมายเท่าไร แต่เฉินอวี่มีสินค้าค้างเป็หมื่นตัว...พี่เขยของเฉินซีเหลียงอยู่อย่างไม่เป็สุข เฉินซีเหลียงผู้อาศัยพี่เขยกินพอจินตนาการออกว่าเขาโกรธเคืองเพียงใด
ตอนนี้โชคดีแล้วที่มีหนทางขายเสื้อผ้าล็อตนี้ออกไป
ราคาโรงงาน 65 หยวนต่อหนึ่งตัวพวกคุณยังคิดว่าแพงเกินควรถึงเวลานั้นบวกราคาส่งอีกตัวละ 20 หยวนจะทำให้ทุกคนอยากซื้อแต่ซื้อไม่ได้ เพราะสินค้าขาดตลาดเลยเชียว!
เฉินซีเหลียงจอดรถจักรยานยนต์ไว้หน้าประตูโรงงาน ในห้องคนเฝ้าประตูมีศีรษะหนึ่งโผล่ออกมา “พอได้ยินเสียงคันเร่งนั่น ฉันก็รู้ว่าเป็นายนี่เองมาหาผู้อำนวยการเหอหรือ?”
เฉินซีเหลียงก็ทำให้เหล่าพนักงานอิจฉาเหมือนกันรถจักรยานยนต์หนึ่งคันราคาตั้งสามพันหยวนเมื่อปีกลายเฉินซีเหลียงก็มีโอกาสได้ขี่แล้ว เห็นได้ชัดว่าทำเงินได้ดีไม่เบา
ทว่าทุกคนไม่กล้าลาออกจากอาชีพอย่างง่ายดายตามเฉินซีเหลียงพวกเขามิได้เป็น้องชายของภรรยาผู้อำนวยการโรงงานเสียด้วย หากทำธุรกิจขาดทุนการงานก็เสียไปแล้ว จะเป็เหตุให้ผู้เฒ่าผู้แก่ลูกเด็กเล็กแดงในครอบครัวจะอดตายเอาน่ะสิ!
เฉินซีเหลียงโยนบุหรี่หนึ่งซองให้ยามหน้าประตูเพื่อให้เขาเฝ้าดูรถจักรยานยนต์ของตนเอง ตัวเขาเข้าประตูถลาไปหาเหอฉงเซิง
“พี่เขย ผมมีวิธีขายเสื้อนอกขนแพะพวกนั้นออกแล้วแต่ต้องรออีกหลายเดือนนะ... โอ๊ย พี่อย่าเพิ่งลงมือสิ ฟังผมพูดจบก่อนค่อยตี! พี่เขย! พี่เขยอย่าทำแบบนี้!”
เชิงอรรถ
[1]ในที่นี้ศิษย์พี่ว่าน้าเปรียบเทียบว่าเซี่ยเสี่ยวหลานมีความสามารถอย่างแท้จริงจึงควรเรียนรู้จากเธอ เหมือนการกราบไหว้บูชาพระพุทธรูปจริง
[2]狗头军师 กุนซือหัวสุนัข หมายถึง ผู้ที่มักให้คำแนะนำผู้อื่นทั้งที่คำแนะนำไม่ดีหรือผู้ที่ตั้งใจให้คำแนะนำไม่ดีแก่คนอื่นโดยเฉพาะ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้