ความสัมพันธ์ระหว่างอวิ๋นอี้และหรงซิวเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ ย่อมตกอยู่ในสายตาของทุกคน เมื่อก่อน เื่การไล่ตามหรงซิวของซูเมี่ยวเออร์ เป็ที่รู้จักกันดีในฝูงชน
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อไม่นานมานี้ หลงซิวกับซูเมี่ยวเออร์ก็เกือบจะกลายเป็สามีภรรยากันอีกด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสามนั้นช่างละเอียดอ่อนยิ่งนัก
สายตาของทุกคนกองรวมอยู่ระหว่างอวิ๋นอี้และซูเมี่ยวเออร์ จ้องมองหรงซิวบ้างเป็ครั้งคราเพื่อดูว่าเขาจะตอบสนองเช่นไร
อย่างไรก็ดีซูเมี่ยวเออร์ที่ยืนอยู่หน้าประตูมาจนถึงเพลานี้ สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความคับข้องใจ และดูเหมือนว่ากำลังจะร้องไห้
หรงซิวไร้เยื่อใยเช่นนั้นจริงหรือ?
จากนั้นหลังจากผ่านไปเกือบจะชั่วยาม หรงซิวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ก็เอาแต่กระซิบอันใดบางอย่างกับอวิ๋นอี้ ทั้งสองคนพากันยิ้มแย้ม มองดูรักใคร่ สนิทสนมกันนัก
ดูเหมือนพวกเขาจะลืมซูเมี่ยวเออร์ไปจนหมดสิ้น!
เพราะั้แ่ต้นจนจบ ดวงตาของหรงซิว ไม่เคยขยับออกไปจากใบหน้าของอวิ๋นอี้เลย!
ขัดใจนัก!
ดูเหมือนข่าวลือจะน่าเชื่อถือ ต่างบอกว่าหรงซิวกับพระชายาทรงรักกันยิ่งนัก ไม่เกินจริงเลยทีเดียว ระหว่างดูเื่ซุบซิบ ทุกคนก็พิจารณาไปด้วย
อวิ๋นอี้ไม่รู้ว่า บุรุษผู้นี้กำลังคิดอันใดอยู่ ตอนนี้นางกำลังต่อสู้กับเขา
หลงซิวกล้าฉวยโอกาสนางในที่สาธารณะ ทั้งโอบเอวนาง ทั้งยังลูบคลำมิยอมหยุดเสียที
“หากท่านไม่หยุด ข้าจะโกรธจริงแล้วนะเพคะ!” นางไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆ นอกจากจะขู่และจ้องที่เขาอย่างดุดัน
หรงซิวเลิกคิ้วแล้วพูดช้าๆ “อยากให้ไทเฮาเห็นว่าเราเข้ากันไม่ได้หรืออย่างไร?”
เมื่อพูดถึงไทเฮา นางก็ปวดหัว
ไม่รู้ว่าหญิงชรามีความแค้นอันใดกับนางมากมาย ทันทีที่เห็นนางเข้าก็เริ่มจับผิดทันที
กระดูกของนางยังไม่เย็น ก็แทบรอไม่ไหวที่จะหานางสนมให้หรงซิวแล้ว บางทีหากไทเฮาได้เห็นตนเองปฏิเสธหรงซิวเข้า อาจจะคิดเื่อันใดขึ้นมาอีกก็เป็ได้
อวิ๋นอี้หัวหมุนไปหมด เมื่อถูกหรงซิวเตือน นางก็ใจเย็นลง
นางโบกมือ “ก็ได้ ก็ได้ แต่ขอพูดให้ชัดเจนก่อนนะเพคะ พวกเราเพียงแค่แสดงละครกันที่นี่ ท่านอย่าล้ำเส้นเป็อันขาด”
หรงซิวยิ้มอย่างไม่ค่อยเห็นด้วยนัก เขาพูดตาหยี “ตกลง”
ทันทีที่ทั้งสองพูดจบ ก็มีการเคลื่อนไหวเข้ามาจากทางหน้าประตู พวกเขาหันไปมองพร้อมกันก็เห็นว่าเป็องค์ฮ่องเต้ที่กำลังเสด็จมา
ทุกคนในวังลุกขึ้นทันที คุกเข่าลงกับพื้น แล้วพูดออกมาพร้อมกันว่า “คารวะฝ่าา! ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นๆ ปี!”
อวิ๋นอี้ถูกหรงซิวลากมาคุกเข่าด้วยตั้งนานแล้ว
นางไม่กล้าเงยหน้า กัดฟันพูดเสียงต่ำ “เจ็บ...”
เมื่อครู่ที่กระแทกลงมา เข่าทั้งสองของนางกำลังจะแตกแล้ว
“เดี๋ยวกลับไปนวดให้เ้า” หรงซิวที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ หันหน้ามาปลอบนางด้วยเสียงเบา “เชื่อฟังนะ”
เสียงของเขาแ่เบา ระยะห่างที่จงใจเข้าใกล้ ทำให้น้ำเสียงยิ่งฟังดูมีเสน่ห์ขึ้นไปอีก
อวิ๋นอี้ขนลุกไปหมด ตอบแบบตะกุกตะกักไป
หลังจากการโค้งคำนับ องค์ฮ่องเต้ก็เสด็จไปยังพระที่นั่ง ทรงประทับลงก่อนจะบอกให้ทุกคนลุกขึ้น
อวิ๋นอี้มองไปที่บุรุษผู้นั้น
เขาดูอายุราวๆ สี่สิบห้าสิบปี ดวงตาของเขาแหลมคมยามที่กวาดตามองดูผู้คน เฉียบแหลมราวกับเหยี่ยว นี่คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของราชวงศ์ต้าอวี่ หรือที่รู้จักกันในพระนามฮ่องเต้อวี่ซวน
ฮ่องเต้อวี่ซวนกวาดสายตามองผู้คนอย่างกระตือรือร้น อวิ๋นอี้ก็รู้สึกได้ว่า ในขณะนั้นมีผู้คนมากมายรีบยืนนิ่งหลังตรงทันที
จากนั้นพระองค์ก็ทรงโบกมือและประกาศให้เริ่มอาหารเย็นได้
มีอาหารนำมาขึ้นโต๊ะตลอด สาวใช้ที่รูปลักษณ์กิริยางดงามเยื้องย่างเข้ามาราวกับมัจฉากระโจน หลังจากนำอาหารขึ้นโต๊ะแล้ว ก็มีสตรีเต้นระบำและร้องเพลง สบายอารมณ์ยิ่งนัก
หลังจากที่ฮ่องเต้อวี่ซวนเสวยเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็ทรงวางตะเกียบลงก่อนจะเริ่มตรัสขึ้น
เนื้อหานั้นไม่มีอันใดมากไปกว่าการล่าสัตว์ฤดูวสันต์ในปีนี้
เขากล่าวชมเชยหรงซิวก่อนว่า การล่าสัตว์ปีนี้จัดได้อย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย หรงซิวยืนขึ้นฟังด้วยความเคารพ ดูเหมือนกับนักเรียนประถมอย่างไรอย่างนั้น
อวิ๋นอี้รู้สึกว่าเขาช่างน่ารักนัก มุมปากของนางพลันยกยิ้มขึ้น
ไม่รู้ว่าบุรุษผู้นั้นสังเกตเห็นหรือไม่ เขากวาดสายตามองมา อวิ๋นอี้ก็รีบละสายตาออกทันที
คำกล่าวของฮ่องเต้อวี่ซวนยังคงดำเนินต่อไป น้ำเสียงของพระองค์ดูองอาจ ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่คนนอกอย่างอวิ๋นอี้ หลังจากฟังอยู่พักหนึ่ง ก็อดไม่ได้ที่จะยกนิ้วให้ฮ่องเต้อวี่ซวน
เขาเป็ฮ่องเต้ที่มีความสามารถ
ตรรกะชัดเจนมีจิตใจที่เป็ผู้ใหญ่
อวิ๋นอี้อดคิดเื่ที่กู่ซือฝานบอกนางเกี่ยวกับฮ่องเต้อวี่ซวนไม่ได้ ว่าเขาเป็คนประเภทที่โเี้แต่พูดน้อย
ในการต่อสู้เพื่อสืบทอดตำแหน่งในปีนั้น ฮ่องเต้อวี่ซวนมิได้เป็อันใดเลย
แต่สุดท้ายเขาก็เดินผ่านถนนที่เต็มไปด้วยโลหิต เหยียบย่ำศพของเหล่าพระเชษฐาพระอนุชาจนสามารถขึ้นครองราชย์ได้
สถานการณ์จริงๆ ตอนนั้นคือเช่นไร คนส่วนใหญ่มิอาจรู้ได้ชัด รู้เพียงว่าคืนนั้นในวังเต็มไปด้วยธารโลหิต เมื่อรุ่งสาง คนที่ขึ้นครองราชย์ก็คือฮ่องเต้อวี่ซวน
อวิ๋นอี้กลับมาคิดดูอีกครั้ง เริ่มปะติดปะต่อกับฮวงจุ้ยหน้าตาของฮ่องเต้อวี่ซวน ก็เห็นด้วยอีกครั้ง เป็หน้าชนิดที่โเี้แต่กล่าววาจาไม่มากจริงดังว่า
ในงานเลี้ยงมิได้มีเื่ผิดพลาดอันใด
ในตอนท้ายของมื้ออาหาร ฮ่องเต้อวี่ซวนทรงยืนขึ้นเพื่อร่วมดื่มกับทุกคน "หวังว่าพรุ่งนี้พวกเ้าจะได้คะแนนที่เป็ที่น่าพึงพอใจ!"
บุรุษจำนวนนับไม่ถ้วนกระตือรือร้นยกแก้วเหล้าขึ้นสูง ส่งเสียงโฮ ตอบรับเสียงดัง
ลมยามค่ำค่อยๆ พัดโชย สีสันยามค่ำคืนยิ่งเข้มขึ้น ไม่ว่างานเลี้ยงจะรื่นเริงมากเพียงใด แต่ก็ต้องจบลง นอกจากนั้นพรุ่งนี้ยังเป็วันแรกของเทศกาลล่าสัตว์ ทุกคนจะต้องเตรียมตัวและสติให้ดีเพื่อที่จะสร้างความประทับใจให้เหล่าผู้คนในวันรุ่งขึ้น
ไม่นานนัก ผู้คนในวังก็เหลือเพียงไม่กี่คน
อวิ๋นอี้กินอิ่มดื่มด่ำอย่างเต็มที่ จนอึดอัดไปหมด
หลังจากนั่งพักผ่อนอยู่นาน นางก็ยืดตัวขึ้นมาแล้วสะกิดหรงซิวที่นั่งข้างนางเบาๆ “ไปกันเถิด เรากลับไปพักผ่อนกันเพคะ”
“ได้”
หรงซิวยืนขึ้นก่อน แล้วจึงยื่นมือออกไปทางอวิ๋นอี้
อวิ๋นอี้เลิกคิ้วขึ้น ไม่มีผู้ใดอยู่ใกล้ๆ ไม่จำเป็ต้องแสร้งทำเป็สนิทสนมกันแล้วนี่ นางกลอกตาแล้วลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง
ผู้ใดจะรู้ว่าการที่ต้องคุกเข่านั่งเป็เวลานานจะทำให้ขาชา
เมื่อยืนขึ้นก็เซไปมา ควบคุมตัวเองไม่ได้ โอนเอนจะล้มลง!
กรี๊ด!
แย่แล้ว แย่แล้ว!
อวิ๋นอี้คร่ำครวญในใจ หลับตาลง แต่กลับร่วงหล่นสู่อ้อมกอดอันแข็งแรง
"อยากอยู่ในอ้อมกอดข้าหรือ?" หรงซิวหัวเราะ "อวิ๋นเออร์ ข้าไม่คิดเลยว่าเ้าจะแสดงเก่งเช่นนี้"
แสดงอันใดเล่า!
นางขยับปากกำลังจะอธิบาย ก็ถูกเขาคว้ามือและขาของนาง อุ้มขึ้นมาแล้วเดินออกไป
“วางข้าลงนะ!” อวิ๋นอี้กระซิบ
"ไม่วาง" หรงซิวยิ้ม เขารู้แล้วว่าจะยอมอ่อนข้อกับอวิ๋นอี้ไม่ได้
ยามนี้สาวน้อยผู้นี้ช่างเฉลียวฉลาด พูดเหตุผลมาได้ร้อยแปด หากไม่ระวัง จะถูกนางพูดจนกลืนตัวตนเข้าไป ถึงตอนนั้นยิ่งคิดก็จะยิ่งสับสน
ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้านาง ต้องใช้ไม้แข็ง
อุ้มขึ้นมาแล้วก็วิ่งเลย จับขึ้นมาแล้วก็จูบเลย จากนั้นหากนางจะเอะอะโวยวาย ก็ค่อยเกลี้ยกล่อมนางทีหลัง
หรงซิวค่อนข้างพอใจกับประสบการณ์ที่เขาสรุปมาได้
ทั้งสองเดินออกจากประตูวังมุ่งหน้าไปยังกระโจมในความมืด ทะเลาะกันตลอดทาง แต่ทั้งคู่ยังถือว่าสบายใจ
จนกระทั่งพวกเขาไปถึงทางเข้ากระโจม และเห็นซูเมี่ยวเออร์เข้า สีหน้าของพวกเขาทั้งสองพลันมืดมนลง
ซูเมี่ยวเออร์มิได้สวมเสื้อผ้าที่ใส่ในงานเลี้ยง แต่สวมเสื้อผ้าสีขาว แม้ว่าจะเป็่ปลายฤดูวสันต์แต่คิมหันต์ก็ยังไม่เริ่ม ในตอนกลางคืนยังมีความหนาวเย็นที่น่ารำคาญใจอยู่
ที่น่าใคือ ซูเมี่ยวเออร์สวมเพียงชุดขาวบางๆ บนไหล่ของนางคลุมผ้าบางๆ ไว้อีกชั้นเพียงเท่านั้น
นางอุ้มจิ้งจอกขาวไว้ในอ้อมกอด
หรงซิวเงียบ ตั้งใจจะเดินอ้อมนางแล้วจากไป ซูเมี่ยวเออร์ยอมที่ไหนกัน นางรีบก้าวเข้าไปข้างหน้าขวางเขาเอาไว้ทันที
นางร้องไห้ออกมา แต่กลับพูดกับอวิ๋นอี้ว่า "พระชายาเพคะ ข้ากับฝ่าามีเื่สำคัญที่ต้องสนทนากันจริงๆ ท่านให้เราคุยกันตามลำพังได้หรือไม่เพคะ?"