เหลาอาหารสกุลหลิง
ทันทีที่หยางซื่อและถังซื่อกลับมาก็ได้ยินเหตุการณ์ที่หวังซื่อเข้ามาสร้างความวุ่นวายเอาไว้ พวกนางไม่มีความเห็นอกเห็นใจใดๆ ต่อคำตัดสินของหวังซื่อและฟางซื่อ
ถึงแม้ว่าหยางซื่อจะเป็คนซื่อตรงมากเพียงใด แต่หลังจากถูกรังแกครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ทำให้นิสัยซื่อตรงนั้นได้รับผลกระทบอยู่บ้าง นอกจากนี้แล้ว พวกเขาไม่เคยไปหาเื่ผู้อื่นก่อน คนเ่าั้มักจะคิดว่าพวกเขาเป็พวกอ่อนแอที่รังแกได้ง่าย แม้ว่าจะถูกขังอยู่ในคุกตลอดชีวิต นางก็ไม่มีทางเห็นอกเห็นใจเลยแม้แต่ครึ่งเดียว
ในทางกลับกัน นางกลับรู้สึกได้ระบายความโกรธแค้นเสียด้วยซ้ำ
เมื่อหลิงมู่เอ๋อร์กลับมาก็ถูกหยางซื่อดึงเอาไว้ หยางซื่อเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ให้นางฟังอย่างน้ำไหลไฟดับ แม้ว่าตัวของนางจะไม่อยู่ในเหตุการณ์แต่ก็เล่าได้อย่างละเอียดครบถ้วน ราวกับว่านางเห็นด้วยตาอย่างไรอย่างนั้น หลิงมู่เอ๋อร์ก็ถือว่าเป็คนที่อยู่ในเหตุการณ์และเห็นกับตาตนเอง เมื่อได้ยินหยางซื่อพูดแบบนี้แล้ว นางกลับสงสัยว่าที่ตนเองเห็นนั้นเป็เื่จริงหรือไม่ เพราะเื่ราวที่ออกมาจากปากของหยางซื่อล้วนกลับตาลปัตรไปจากเดิม เหมือนกับบทละครในอุปรากรงิ้วอย่างไรอย่างนั้น ในความเป็จริงแล้ว หวังซื่อและฟางซื่อก็ไม่ได้อวดดีได้นานขนาดนั้น
“จากนี้คงไม่มีผู้ใดกล้ามาหาเื่พวกเราถึงที่แล้วกระมัง?อย่างไรเสียพวกเราก็ได้แสดงท่าทีแข็งกร้าวไม่ยอมให้รังแกง่ายๆ ถึงขนาดนี้แล้ว” หยางซื่อมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างคาดหวัง
“อืม” หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้า “แต่ว่าก็ต้องทำเช่นนี้ต่อไป อย่าได้ใจอ่อนเป็อันขาดนะเ้าคะ”
“เฮ้อ!วันนี้ตอนที่ข้าเดินอยู่ในเมืองได้พบกับพี่สะใภ้ใหญ่กับหลานสาวคนโตแล้ว” หลานสาวคนโตก็คือบุตรสาวของหม่าซื่อ และก็เป็ลูกพี่ลูกน้องฝ่ายสตรีของหลิงมู่เอ๋อร์
หลิงมู่เอ๋อร์นั่งน้ำดื่มชาอยู่ที่ตรงนั้นพร้อมฟังหยางซื่อกล่าวไปด้วย นางรู้ว่าถ้าหากหยางซื่อไม่ได้พูดออกมา ในใจของนางก็รั้งแต่จะอึดอัดเพิ่มมากขึ้น
ครั้นหยางซื่อเห็นหลิงมู่เอ๋อร์นั่งลงแล้วตั้งใจฟังที่นางเล่า หยางซื่อจึงนั่งลงฝั่งตรงข้ามนาง แล้วเล่าเื่เมื่อครู่อีกหนึ่งรอบ
ที่แท้หม่าซื่อพาหลิงเยวี่ยเอ๋อร์เข้ามาในเมืองก็เพื่อที่จะมาตัดชุดแต่งงาน หวังซื่อกับหลิงซงได้หมั้นหมายให้กับหลิงเยวี่ยเอ๋อร์แล้ว นั่นก็คือพ่อหม้ายอายุสามสิบปีผู้หนึ่ง ครอบครัวของชายผู้นั้นมีที่นาดีสิบกว่าหมู่ ยินดีที่จะใช้ที่นาดีสองหมู่และเงินห้าตำลึงเงินให้เป็ค่าสินสอดตบแต่งหลิงเยวี่ยเอ๋อร์ หลิงซงและหวังซื่อก็ขายหลานสาวคนโตไปเสียอย่างนั้น
“พี่สะใภ้ใหญ่ไม่รู้เื่นี้เลยสักนิด นางแค่กลับบ้านเดิมไปหนึ่งครา เื่แต่งงานก็ได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว สงสารแต่เยวี่ยเอ๋อร์ ยังอายุน้อยขนาดนี้กลับต้องแต่งให้พ่อหม้ายผู้หนึ่ง นางอายุเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น พ่อหม้ายคนนั้นอายุมากกว่านางมาก ยังได้ยินว่าพ่อหม้ายคนนั้นนิสัยไม่ใคร่จะดีนัก ภรรยาคนก่อนของเขาหลังจากให้กำเนิดบุตรก็ถูกเขาทุบตีจนเืออกหนักมาก จากนั้นก็สิ้นใจไป บัดนี้จึงเหลือเพียงบุตรสาวหนึ่งคน บุตรสาวนางนั้นก็อายุได้สิบสองปีแล้ว” ขณะหยางซื่อกล่าวก็เช็ดน้ำตาไปด้วย “พี่สะใภ้ใหญ่ดีต่อพวกเรา ข้าเห็นนางมีชีวิตเช่นนี้ก็รู้สึกเป็ทุกข์แทนนางจริงๆ มู่เอ๋อร์ เ้าว่าเหตุใดคนดีถึงไม่ได้รับสิ่งที่ดีตอบแทนล่ะ?”
หลิงมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว “วันนี้ข้าก็พบคนคุ้นเคยคนหนึ่งเ้าค่ะ”
หยางซื่อเช็ดน้ำตา ครั้นได้ยินคำพูดของนางจึงเงยหน้าขึ้นมา
“เป็อาสะใภ้เล็กเ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์เอาเื่ที่หลานซื่อจะหย่ากับหลิงหลินเล่าให้หยางซื่อฟัง “อาสะใภ้เล็กยังรู้จักที่จะต่อสู้เพื่อตนเอง ถ้าหากท่านลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่คิดถึงบุตรสาว และรักบุตรสาวจริงๆ ก็จะอาศัยโอกาสนี้แยกบ้านออกไป ดีที่สุดก็ทำให้เป็เื่ใหญ่โตไปเลย ให้เื่การแต่งงานนี้ถูกยกเลิกไป”
“ปู่ของเ้า… ตาเฒ่าหลิงจะต้องไม่ยอมแน่” หยางซื่อมีความเคียดแค้นต่อครอบครัวนั้นอย่างสลักลึกถึงก้นบึ้งของหัวใจ “นอกจากครอบครัวบ้านรองและบ้านสี่แล้ว ครอบครัวพวกเราทั้งสองบ้านนี้ก็ราวกับถูกเก็บมา แต่ว่า อาสะใภ้เล็กของเ้าเป็คนฉลาด ขอเพียงแค่นางยินยอม ก็สามารถหลุดพ้นจากคนบ้านนั้นได้ แต่ลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่ของเ้าค่อนข้างเป็คนซื่อตรง”
“เมื่อก่อนท่านพ่อท่านแม่ก็เป็คนซื่อตรง มิใช่ว่าตอนนี้ก็คิดได้แล้วหรือเ้าคะ?เมื่อก่อนพวกเขาอดทนอดกลั้น นั่นเป็เพราะว่าไม่ได้ถูกกระทำให้ถึงขีดจำกัดของความอดทน บัดนี้พี่หญิงจะต้องตบแต่งให้กับชายแก่ที่ทั้งหยาบกระด้างทั้งแก่ชราและยังใช้ความรุนแรงในบ้านอีก ถ้าพวกเขายังไม่ต่อต้านจนยอมให้บุตรสาวคนเดียวของพวกเขาแต่งออกไปจริงๆ ข้าเกรงแต่ว่านางจะมีชีวิตอยู่ได้เพียงไม่กี่ปีเท่านั้นเ้าค่ะ”
“นี่…” หยางซื่อััที่จมูก มือของนางยกถ้วยน้ำชาอยู่ นางคิดตรึกตรองในคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์อย่างละเอียดถี่ถ้วน ยิ่งนางคิดถึงเื่นี้มากเท่าใดก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวนั้นมีเหตุผล
“ท่านแม่ อย่าได้คิดถึงเื่พวกนี้เลย เื่นี้ต้องให้พวกเขาใคร่ครวญด้วยตนเองให้ชัดเจน พวกเรารีบร้อนไปก็ไร้ประโยชน์เ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์อ้าปากหาวพลางกล่าวว่า “ข้าจะไปพักผ่อนแล้ว”
หยางซื่อมองหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยความห่วงใย หลิงมู่เอ๋อร์นับวันยิ่งงดงามยิ่งขึ้นเรื่อยๆ รูปโฉมบานสะพรั่งเติบโตเป็หญิงสาวแล้ว ยิ่งถ้ากาลเวลาผ่านไปนานกว่านี้ จะต้องเป็หญิงสาวที่งดงามคนหนึ่งอย่างแน่นอน หยางซื่อครุ่นคิด นางจะต้องหาสามีที่ดีให้กับบุตรสาวของตนเองให้ได้ บุตรสาวเฉลียวฉลาดขนาดนี้ ทางด้านฐานะของบ้านฝ่ายชายไม่ต้องร่ำรวยมาก ขอเพียงแค่ฝ่ายชายดีต่อนางก็เป็พอแล้ว
“น่าเสียดายที่เ้าเด็กหนุ่มเฉิน…” ซั่งกวนเซ่าเฉินเป็ตัวเลือกที่ดีที่สุดที่พวกเขาเคยพบเจอมา แต่น่าเสียดายที่เด็กหนุ่มคนนั้นลึกลับเกินไป ไม่รู้ว่าตอนนี้ไปอยู่ที่แห่งใดแล้ว
ยามราตรี หลิงมู่เอ๋อร์เล่าเื่ที่ตนเอง้าจะเปิดโรงหมอให้ทุกคนฟัง ขณะนั้นเมื่อทุกคนได้ฟังแล้วก็ล้วนนิ่งเงียบกันไปหมด สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่รู้ว่าหลิงมู่เอ๋อร์มีพร์ทางด้านวิชาแพทย์จริงหรือไม่ การเป็หมอรักษาคนนั้นไม่ใช่เื่ล้อเล่น คนที่ร่ำเรียนไม่แตกฉานในแขนงวิชา ไม่แน่ว่าอาจจะเท่ากับหนึ่งชีวิตของคนก็เป็ได้ แม้ว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะบอกว่าตนเองมีท่านเทพเซียนเป็ผู้อบรมสั่งสอนวิชาให้ แต่นั่นก็เป็เพียงสิ่งที่นางพูดเอง พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน เทพเซียนองค์นั้นมีอยู่จริงหรือว่าเป็ความเพ้อฝันของนางกันแน่?
แน่นอนว่า ทุกคนเชื่อในหลิงมู่เอ๋อร์ว่ามีความสามารถนี้ ถ้านางไม่มีความสามารถ าแที่ขาของหลิงจื่อเซวียนก็คงไม่อาจฟื้นตัวได้ดีขนาดนี้ ตอนนี้หากมีผู้ใดในบ้านมีอาการปวดศีรษะตัวร้อน ก็เป็หลิงมู่เอ๋อร์ที่รักษาให้กับทุกคน เพียงแต่ว่าอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยสามารถรักษาให้หายได้ แต่ถ้าหากอาการหนักล่ะ?โรคภัยไข้เจ็บในใต้หล้านี้มีเป็ร้อยเป็พันชนิด นางจะสามารถรักษาให้หายได้หมดหรือ?
“ข้าเชื่อว่าเ้าทำได้” โจวฉี่เยี่ยนที่นั่งเงียบไม่พูดจามาตลอดเงยหน้าขึ้นมองหลิงมู่เอ๋อร์ “เ้าสนใจเพียงแค่เื่ของเ้าก็พอ ใน่ก่อนที่พวกข้าพี่น้องจะจากไป เื่ภายในร้านก็ปล่อยให้เป็หน้าที่ของพวกข้าจัดการเถิด”
“มู่เอ๋อร์ เ้าจะเปิดโรงหมอย่อมได้ เ้า้าเชื้อเชิญท่านหมอชราสักหนึ่งคนมาคอยช่วยเ้าตรวจโรคหรือไม่?เ้าคนเดียวคงจะรับมือไม่ไหว” หลิงต้าจื้อยิ้มพลางกล่าวอย่างอ่อนโยน
หลิงมู่เอ๋อร์มุ่ยปากพลางกล่าว “ท่านพ่อ ท่านไม่ได้กลัวว่าข้าจะรับมือไม่ไหว แต่ท่านกลัวว่าข้าจะทำผิดพลาด เมื่อถึงตอนนั้นจะอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เช่นนี้แสดงว่าท่านไม่เชื่อใจข้าเลยสักนิดใช่หรือไม่เ้าคะ!”
หลิงต้าจื้อถูกหลิงมู่เอ๋อร์พูดตรงกับความในใจ เขาจึงยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน เป็ดังที่หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวมาทั้งหมด เขามีความไม่มั่นใจอยู่บ้างจริงๆ ดังนั้นจึงคิดอยากจะให้หลิงมู่เอ๋อร์เชิญหมอสักคนมาตรวจรักษาโรค ในความเห็นของเขา ถ้าหากมีหมอท่านอื่นอยู่ในร้านด้วย ก็จะสามารถช่วยนางได้
“พวกเ้าไม่มีความเชื่อมั่นในตัวมู่เอ๋อร์เลย ยังสู้เ้าเด็กหนุ่มเยี่ยนไม่ได้!” หยางซื่อเห็นบรรยายอึมครึม จึงทำตัวเป็ผู้ไกล่เกลี่ย
โจวฉี่เยี่ยนได้ยินหยางซื่อเรียกตนเองว่า ‘เ้าเด็กหนุ่มเยี่ยน’ จิตใจของเขาก็เหม่อลอย เมื่อก่อนตอนที่ท่านแม่ของเขายังมีชีวิตอยู่ก็เรียกขานเขาเช่นนี้ ในตอนนั้นเขารู้สึกว่าการเรียกแบบนี้ช่างดูโง่เขลายิ่งนัก ทุกครั้งที่นางเอ่ยเรียกเขาด้วยรอยยิ้มตายิบหยีว่า ‘เ้าเด็กหนุ่มเยี่ยน’ เขาล้วนทำหน้านิ่งขรึม จากนั้นก็รีบผละออกจากข้างกายของนาง เมื่อกลับมานึกถึงตอนนี้ การเรียกขานเช่นนี้ช่างทำให้เขาหวนคิดถึงความหลังจริงๆ
“แม่นางหลิงสามารถรักษาาแของพี่ชายข้าได้ ข้าเชื่อมั่นในวิชาแพทย์ของนางขอรับ” โจวฉี่รุ่ยมองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์อย่างจริงจัง
“อืมๆ ข้าก็เชื่อใจมู่เอ๋อร์” หยางซื่อพยักหน้าพลางกล่าว “พวกเราทุกคนในที่นี้ล้วนไม่รู้วิชาแพทย์ ปล่อยให้มู่เอ๋อร์ไปคิดไตร่ตรองด้วยตนเองเถิด!พวกเราเพียงแค่สนับสนุนนางก็พอแล้ว เ้าเด็กหนุ่มรุ่ย เ้ากับพี่ชายปรับตัวได้แล้วใช่หรือไม่?”
โจวฉี่รุ่ยได้ยินคำเรียกขานของหยางซื่อ รอบดวงตาก็แดงก่ำ ทำเอาหยางซื่อตกอกใ หยางซื่อกล่าวอย่างรู้สึกผิด “ข้ากล่าวอันใดผิดไปหรือ?”
โจวฉี่รุ่ยส่ายหน้า “ตอนที่ท่านพ่อท่านแม่ของข้ายังมีชีวิตอยู่ก็เรียกข้าเช่นนี้ ข้าเผลอหวนนึกถึงท่านพ่อท่านแม่ขึ้นมากะทันหัน ในใจจึงรู้สึกโศกเศร้าเล็กน้อย ไม่เกี่ยวอันใดกับท่านอาสะใภ้ขอรับ”
“เด็กดี ถ้าท่านพ่อท่านแม่เ้ายังอยู่ คงไม่อยากเห็นเ้าโศกเศร้าเช่นนี้เป็แน่” หยางซื่อมองโจวฉี่รุ่ยอย่างรักใคร่เอ็นดู
ข้อสรุปสุดท้ายของการหารือก็คือให้หลิงมู่เอ๋อร์ได้แสดงความสามารถของตนเอง ถ้าอยากเปิดโรงหมอก็ต้องหาหน้าร้าน ทั้งยังต้องจ้างคนมาจัดเทียบยาอีกด้วย
หลิงมู่เอ๋อร์ตัดสินใจที่จะคลุมใบหน้าตรวจโรคไปก่อน รอให้วิชาแพทย์ของนางได้แพร่งพรายออกไป ค่อยเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตนเอง ตอนนี้ก็เก็บไว้เป็ความลับไปก่อนแล้วกัน!ถึงอย่างไรหมอที่มาจากหญิงสาวชาวนาคนหนึ่ง มองอย่างไรก็รู้สึกไม่น่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะอยู่ในยุคสมัยใด หาก้าที่จะมีชื่อเสียงดังขจรไปไกล นอกจากจะต้องมีความรู้ความสามารถที่แท้จริงแล้วนั้น ยังต้องมีกลยุทธ์ทางการตลาดเล็กน้อยอีกด้วย
เวลาต่อมาหลิงมู่เอ๋อร์ก็ยุ่งอยู่กับเื่การเปิดโรงหมอ เหลาอาหารสกุลหลิงก็มอบหมายให้เป็หน้าที่ของหลิงจื่อเซวียนและโจวฉี่เยี่ยนทั้งสองคน เดิมทีนางคิดว่าตนเองจะได้จัดการเื่น้อยใหญ่ของโรงหมอได้เพียงคนเดียว แต่เมื่อโจวฉี่เยี่ยนมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของนาง นางก็ชะงักอยู่ครู่หนึ่ง
“เ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” ตอนนี้กำลังเป็่เวลาที่กำลังยุ่งที่สุด เขาไม่ได้อยู่ดูแลจัดการเื่ภายในร้านอาหาร มาทำอันใดที่นี่?
โจวฉี่เยี่ยนเห็นหลิงมู่เอ๋อร์กำลังหาร้าน จึงกล่าวเสียงนิ่งเรียบ “เ้าจัดการได้เร็วนัก”
“ข้ายุ่งมาเกือบจะหนึ่งเดือนแล้ว นี่ยังเรียกว่าเร็วอีกหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์แบะปาก
ในหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ หลานซื่อก็หลุดพ้นจากหลิงซงพวกคนบ้านนั้นได้สำเร็จ เพื่อที่จะหลุดพ้นจากคนพวกนั้น หลานซื่อทะเลาะกับคนในบ้านสกุลหลิงอย่างไม่จบไม่สิ้น ภายใต้ในสถานการณ์ที่หวังซื่อและฟางซื่อถูกคุมขังไว้อยู่ หลานซื่อได้ทำการลงนามในข้อตกลงกับคนในบ้านสกุลหลิง ขอเพียงแค่นางหาวิธีทำให้พวกหวังซื่อออกมาจากคุกได้ พวกเขาก็จะมอบซิวซู [1] หนึ่งฉบับให้นาง
หลานซื่อ้าที่จะหย่าจากการยินยอมของทั้งสองฝ่าย แต่ว่าคนสกุลหลิงกลับยืนยันที่จะให้เพียงแค่ซิวซูเท่านั้น หย่าจากการยินยอมกับหย่าจากการถูกทอดทิ้งสองสิ่งนี้ต่างกัน หลานซื่อคิดเพียงแค่สามารถไปจากที่นี่ได้ย่อมเป็พอ นางไม่สนใจเื่เกียรติยศอะไรพวกนั้น เดิมทีนางก็ไม่ได้คิดที่จะแต่งงานอีกรอบอยู่แล้ว ดังนั้นสำหรับนางแล้วจะหย่าเพราะถูกทอดทิ้งหรือหย่าจากความยินยอมก็ไม่ได้แตกต่างกันอันใด
หลานซื่อไปหาหลิงมู่เอ๋อร์และบอกเงื่อนไขที่นางได้ตกลงกับคนสกุลหลิง หลิงมู่เอ๋อร์ยินดีที่จะช่วยหลานซื่ออีกแรง ด้วยเหตุนี้จึงได้ติดต่อกับลูกน้องของซั่งกวนเซ่าเฉินที่ทิ้งไว้ให้ในตอนแรก ขอให้พวกเขาช่วยปล่อยตัวหวังซื่อและฟางซื่อออกมา ทว่าทันทีที่สตรีสองนางนี้ออกมาได้ก็บันดาลโทสะใส่ทุกคนโดยไม่เลือกหน้า แล้วยังก็ไม่ยอมให้หลานซื่อจากไปอีก
ครานี้หลานซื่อใจแข็ง แม้ว่าจะทะเลาะจนวุ่ยวายไปทั่วทั้งเมือง แต่ก็ยังคงไม่ยอมเปลี่ยนความตั้งใจเดิม คนในสกุลหลิงเกลี้ยกล่อมนางไม่สำเร็จ และนางยังมีท่าทีจะทะเลาะหนักขึ้นเรื่อยๆ อีก พวกเขาเลยให้ข้อเสนอว่าจะปล่อยนางไปก็ได้ แต่หลิงจื่อเฉิงต้องอยู่กับพวกเขา เพราะนั่นเป็ลูกหลานของตระกูลหลิง ไม่มีเหตุผลที่จะให้สตรีเอาไป หลานซื่อไม่ยอมอย่างแน่นอน จึงเกิดเหตุการณ์วุ่นวายโกลาหลขึ้นอีกครั้ง
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นเื่วุ่นวายจนกลายเป็เช่นนี้ ก็มีใจคิดที่จะช่วยหลานซื่อ นางสั่งให้คนไปจับตัวหลิงหลินเข้าคุก โทษฐานก็คือกระทำชำเราหญิงหม้าย และหญิงหม้ายนางนั้นเดิมทีก็ไม่ได้บริสุทธิ์ หลิงมู่เอ๋อร์ใช้กลอุบายเล็กน้อย หลิงหลินก็ถูกจับเข้าคุกไปแล้ว หวังซื่อรักใคร่บุตรคนสุดท้องผู้ไม่มีความรู้ไม่มีความสามารถคนนี้ที่สุด ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงยอมปล่อยหลานซื่อเพื่อแลกกับการปล่อยตัวหลิงหลินออกมาจากคุก
ตอนนี้หลานซื่อก็พาหลิงจื่อเฉิงมาอยู่ที่เหลาอาหารสกุลหลิงแล้ว หลานซื่อที่หลุดพ้นจากครอบครัวนั้นมาได้ผ่านการบำรุงฟื้นฟูสุขภาพมาสักระยะแล้ว บัดนี้นางยิ่งงดงามมากขึ้นเรื่อยๆ และมีชีวิตชีวามากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน หลิงจื่อเฉิงเองก็ถูกหลิงมู่เอ๋อร์ส่งไปเรียนที่สถานศึกษาเดียวกันกับหลิงจื่ออวี้ หยางเสี่ยวหู่และฝูเอ๋อร์ สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ หลิงจื่อเฉิงเป็เด็กที่มีพร์มากที่สุด ใช้เวลาเพียงครึ่งเดือน เขาก็ตามคนอื่นๆ ทันแล้ว เขายังมีทักษะที่ยอดเยี่ยมอีกอย่างหนึ่งก็คือ —— แค่ดูผ่านตาก็จำได้ไม่ลืม
สิ่งนี้ทำเอาหยางซื่อและหลานซื่อประหลาดใจเป็อย่างมาก สามารถกล่าวได้ว่า หลิงจื่อเฉิงที่รู้ความั้แ่เด็ก อีกทั้งยังฉลาดเฉียบแหลมได้กลายเป็เด็กที่ทุกคนในบ้านรักและโปรดปรานมากที่สุดแล้ว
เดิมทีหลิงมู่เอ๋อร์กังวลว่าเื่นี้จะไปทำลายความภูมิใจในตนเองของหลิงจื่ออวี้ ถึงอย่างไรหลิงจื่ออวี้มีประวัติเป็โรคปิดกั้นตนเอง แต่ในความเป็จริงแล้ว นางประเมินความสามารถในการยอมรับของเด็กคนนี้ต่ำเกินไป หลิงจื่ออวี้รู้สึกผิดหวังอยู่สองวัน ทว่าตอนนี้เขาขยันหมั่นเพียรมากกว่าเมื่อก่อน และยังพาให้ฝูเอ๋อร์และหยางเสี่ยวหู่ขยันมากกว่าเมื่อก่อนอีกด้วย นี่ทำเอาผู้ใหญ่ในบ้านดีใจกันเสียยกใหญ่
เชิงอรรถ
[1] ซิวซู (休书) หมายถึง จดหมายหรือหนังสือหย่าที่เขียนโดยฝ่ายชายว่าได้สิ้นสุดความสัมพันธ์ของสามีภรรยาแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้