หลงเซี่ยวเจ๋อจ้องไปที่ดวงตาที่ชัดเจนและสดใส แล้วย้ำอีกครั้งด้วยความมั่นใจ “เป็ไปไม่ได้อย่างแน่นอน หากพี่สามรู้ ข้าจะยังอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
คำพูดเหล่านี้ดูจริงใจ ทั้งยังเต็มไปด้วยความมั่นใจ!
เห็นได้ชัดว่าหลงเซี่ยวเจ๋อได้สร้างปัญหามากมายมาั้แ่เขายังเป็เด็ก และเขาคุ้นเคยกับการฝึกฝน ทั้งยังคิดว่าตนเองรู้ความคิดของฉีอ๋อง ดังนั้นจึงมั่นใจการซ่อนตัวของตนในครั้งนี้เป็อย่างมาก
ต้องรู้ว่าในอดีต ไม่ว่าหลงเซี่ยวเจ๋อจะไปหลอกหรือซ่อนตัวที่ใด เขาก็ถูกพบโดยคนที่หลงเซี่ยวอวี่ส่งมา และในท้ายที่สุด เขาจะถูกลงโทษอย่างโหดร้ายโดยไม่อาจเลี่ยง
เมื่อเห็นท่าทางที่จริงจังของหลงเซี่ยวเจ๋อ มุมปากของมู่จื่อหลิงก็กระตุก พูดไม่ออก
มั่นใจมากเกินไป มันจะก่อให้เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่!
มู่จื่อหลิงอดไม่ได้ที่จะบอกความจริงที่โหดร้ายนี้ต่อหลงเซี่ยวเจ๋อว่า ที่พี่สามของเ้ามาที่นี่ ก็เพราะเขารู้ว่าเ้าอยู่ที่นี่ก็เท่านั้น!
“ใช่แล้ว พี่สะใภ้สาม ท่านห้ามบอกพี่สามนะ ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามบอกพี่สาม ไม่เช่นนั้นข้าจะต้องตายอย่างอนาถ” หลงเซี่ยวเจ๋อยังคงพูดพล่ามต่อไปราวกับจะตักเตือน เหมือนกับการแสดงความสามารถในการซ่อนตัวของเขา
กล่าวได้ว่า หลงเซี่ยวเจ๋อคิดกับตนเองว่าการที่เขาสามารถใช้เวลาสองวันอยู่ข้างจวนฉีอ๋องได้โดยไม่ถูกพบนั้นเป็สิ่งที่ยอดเยี่ยมเป็อย่างมาก
ในยามนี้หลงเซี่ยวเจ๋อเข้าใจเช่นนี้
แน่นอนว่าที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด
เมื่อฟังความคิดที่ไร้สาระของหลงเซี่ยวเจ๋อ มู่จื่อหลิงก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และหยุดพูดไป
ความคิดของเด็กโง่ผู้นี้ช่างน่ารำคาญจริงๆ!
หากเป็เช่นนี้ต่อไป ไม่รู้ว่าวันหนึ่งจะติดกับเล่ห์กลโกงของผู้อื่น แล้วยังมีความสุข ทั้งยังช่วยเขาจัดการด้วยตนเองหรือไม่
หลงเซี่ยวเจ๋อทำหน้าบูดบึ้ง บ่นอย่างไม่พอใจและเศร้าสร้อยว่า “พี่สะใภ้สาม ท่านไม่รู้ว่าใน่ไม่กี่วันมานี้ข้าอยู่อย่างไร ข้าไม่ได้กินข้าวมาหลายวันแล้ว ทั้งยังต้องนอนบนถนนในยามค่ำคืนเพียงลำพัง…”
เมื่อฟังคำบ่นที่ไม่รู้จบของหลงเซี่ยวเจ๋อ ทั้งยังมีความคับข้องใจมากมาย มู่จื่อหลิงก็ได้พบว่าหลงเซี่ยวเจ๋อ เด็กคนนี้ไม่อาจดูน่าสงสารได้เลย ออกไปเกลือกกลั้วด้วยตนเอง ผลที่ได้รับ จะสามารถตำหนิผู้ใดได้?
“เท้าของเ้าดีขึ้นหรือยัง?” คิ้วของมู่จื่อหลิงกระตุกเล็กน้อย ทั้งยังบีบจมูกของตนเพื่อแสดงความรังเกียจ
นางไม่อยากดูถูก แต่กลิ่นของเด็กคนนี้ช่างน่ารังเกียจจริงๆ
กล่าวได้ว่ากลิ่นเหม็นทุกกลิ่นล้วนสุมรวมอยู่ที่เขา
ในตอนแรกนางไม่รู้สึก เพียงแค่สนใจอยู่กับการพูดคุยกับหลงเซี่ยวเจ๋อ ต่อมาเมื่อมีการขยับอย่างบ้าคลั่ง นางก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
“ดีแล้ว” หลงเซี่ยวเจ๋อััท้องร้องคำรามของตน แล้วพูดอย่างน่าสงสาร “พี่สะใภ้สาม ท้องของข้าหิวมาก ท่านช่วย...”
เขาหิวมากจนหน้าอกแนบไปกับหลังของตน [1] ตาของเขาพร่ามัว และหัวของเขาก็หนักกว่าพันจิน [2]
มู่จื่อหลิงปล่อยหลงเซี่ยวเจ๋อ แล้วหยิบชุดคลุมสีเข้มของเขาขึ้นมาด้วยนิ้วเพียงสองนิ้วอย่างรังเกียจ ทำให้หลงเซี่ยวเจ๋อไม่พอใจ “เ้าเป็เช่นนี้ ให้ฝูหลินพาเ้าเข้าไปในจวนทำความสะอาดตนเองก่อน แล้วข้าจะพาไปกินอาหารมื้อใหญ่”
ฮองเฮาทรงเชิญนางไปดื่มรังนก แล้วอาหารในวังก็นับเป็อาหารมื้อใหญ่โดยปกติ เอาเด็กเ้าปัญหานี่ไปด้วยซะ มู่จื่อหลิงคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ
อย่างไรก็ตาม หลงเซี่ยวเจ๋อ เด็กคนนี้ในยามนี้ทั้งสกปรกและมีกลิ่นเหม็น นางไม่กล้าเปิดประตูรถม้าจริงๆ
“จริงหรือ เช่นนั้นข้า…” หลงเซี่ยวเจ๋อได้ยินว่าอาหารมื้อใหญ่ ความเศร้าโศก ความคับข้องใจและอาการป่วยไข้แต่เดิมได้หายไปในทันที อีกทั้งจิติญญายังได้รับการกระตุ้น
แต่เพียงแค่ครู่หนึ่ง เขาก็เป็เหมือนลูกบอลที่ถูกปล่อยลมออก ก่อนจะถามอย่างเฉื่อยชาว่า “พี่สามอยู่ในจวนหรือไม่? ไม่ได้ หากพี่สามอยู่ที่นั่น ตีให้ตายข้าก็จะไม่เข้าไป”
ในยามนี้มู่จื่อหลิงแทบรอไม่ไหวที่จะทุบตีชายหัวแข็งผู้นี้ให้ตาย!
หลังจากหิวโหยมานานหลายวัน อีกทั้งกำลังจะอดตาย ก็ยังคิดไม่ได้อีก! บอกได้เลยว่าไร้สาระมาก!
คนผู้นี้กลัวหลงเซี่ยวอวี่ขนาดไหนกัน! อย่างมากที่สุด การลงโทษคงจะหนักกว่าเดิมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และหากช่วยไม่ได้ ก็แค่โดนกักตัวไว้ อย่างไรหลงเซี่ยวอวี่ก็ไม่อาจกินคนได้ มู่จื่อหลิงงุนงง
อันที่จริง มู่จื่อหลิงไม่รู้ว่าหลงเซี่ยวอวี่ยังอยู่ในจวนหรือไม่ แต่นางยังคงหายใจเข้าลึกๆ แล้วตอบอย่างอดทนว่า “เขาไม่ได้อยู่ที่นี่”
หลังจากที่นางวิ่งเข้าห้องโถงตำหนักอวี่หานไปในตอนเช้า นางก็ไม่เห็นหลงเซี่ยวอวี่อีกเลย ดังนั้นนางจึงคิดว่าเขาออกไปแล้ว
แม้ว่าหลงเซี่ยวอวี่จะยังอยู่ นางก็จะบอกว่าเขาไม่อยู่อยู่ดี
ไม่มีร้านค้าใกล้จวนฉีอ๋อง ไม่ว่าจะเป็ด้านหน้าหรือด้านหลังก็ไม่มี หลงเซี่ยวเจ๋อมีกลิ่นเหม็นและดูเลอะเทอะ ยามนี้นอกจากในจวนฉีอ๋องแล้ว นางไม่รู้จริงๆ ว่าจะพาเขาไปทำความสะอาดได้ที่ไหน
หลงเซี่ยวเจ๋อ เกาผมที่ผูกกันจนเป็ปมด้วยความทุกข์ใจ ก่อนจะถามด้วยความไม่มั่นใจ “แต่...แต่หากพี่สามกลับมาอย่างกะทันหันเล่า?”
ความอดทนของมู่จื่อหลิงหมดลงในทันที
นางชี้ไปที่ที่หลงเซี่ยวเจ๋อนั่งอยู่เมื่อครู่นี้ด้วยความโกรธ และะโใส่เขาอย่างรุนแรง “ให้ไปก็ไม่ไป หากไม่อยากไป เช่นนั้นก็ปล่อยข้าไป แล้วกลับไปนั่งหมอบอยู่ตรงมุมนั้น ข้าไม่สนใจเ้าแล้ว”
ก่อนที่นางจะพูดจบ นางโบกมือด้วยความรำคาญและเดินไปที่รถม้าโดยไม่ลังเล
มู่จื่อหลิงรู้สึกหดหู่อย่างมาก หลงเซี่ยวเจ๋อผู้นี้ชอบให้ใช้ไม้แข็ง [3]
หากมอบแสงให้เพียงเล็กน้อยก็จะสว่างไสว [4] แต่หากอ่อนโยนด้วยสักหน่อย ก็จะดื้อดึงไม่อาจหยุดยั้งซึ่งถือเป็ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่
หลังจากที่มู่จื่อหลิงแผดเสียงออกมาอย่างดุเดือด หลงเซี่ยวเจ๋อก็ตกตะลึงเป็เวลาสามวินาที ก่อนจะกลับมารู้สึกตัว
เขาหันกลับมาและเห็นว่ามู่จื่อหลิงกำลังจะเข้าไปในรถม้า จึงรีบวิ่งไล่ตามไป “พี่สะใภ้สาม ข้าจะเข้าไป ให้ข้าเข้าไปไม่ได้หรือ!”
หากพี่สะใภ้สามไม่สนใจเขา เขาจะต้องอดตายอยู่ข้างถนน
เมื่อหันหลังให้กับหลงเซี่ยวเจ๋อ มู่จื่อหลิงก็ถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ มันคงจะจบลงเร็วกว่านี้ นางส่ายหัวเบาๆ นางยังต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจในเื่บางเื่!
“ฝูหลิน พาองค์ชายหกเข้าไปชำระล้างร่างกาย!” มู่จื่อหลิงสั่งเสียงเบา จากนั้นจึงเหลือบมองหลงเซี่ยวเจ๋อช้าๆ “ให้เวลาเ้าครึ่งชั่วยาม!”
หลังจากพูดเช่นนั้นแล้ว นางก็หันหลังกลับและเข้าไปในรถม้า ก่อนจะลดม่านลง และหยุดพูดเื่ไร้สาระ
“ได้!” หลงเซี่ยวเจ๋อพยักหน้าอย่างเขินอายเมื่อม่านรถถูกลดระดับลง ท่าทางที่จริงจังของพี่สะใภ้สามนั้นน่ากลัวมาก
เมื่อครู่ฝูหลินได้ยินการสนทนาระหว่างมู่จื่อหลิงกับหลงเซี่ยวเจ๋อ
เขายังรู้สึกใเล็กน้อยกับร่างทองของหลงเซี่ยวเจ๋อ ที่เขาต้องมาอยู่อย่างโดดเดี่ยวราวกับขอทานข้างถนนเช่นนี้
แม้ว่าจะอยากรู้อยากเห็น แต่เขาก็ไม่กล้าถามมากเกี่ยวกับเื่ของผู้เป็นายเพิ่มเติม หลังจากตอบแล้ว เขาก็พาหลงเซี่ยวเจ๋อเข้าไป
-
ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม หลงเซี่ยวเจ๋อก็ออกมาอย่างสะอาดหมดจด
นอกจากหน้าตาที่ดูเหนื่อยล้าแล้ว เขายังดูสดใสตามปกติ และเขายังมีใบหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุข เป็เด็กชายที่สดใสและร่าเริง
อาจด้วยสายเืของราชวงศ์ที่หลงเซี่ยวเจ๋อมี จึงให้ความรู้สึกที่ดูสูงส่งอย่างชัดเจน จนไม่สามารถละเลยได้ต่อให้เขาจะอยากโดนเมินก็ตาม
แต่งกายด้วยชุดคลุมสีขาวราวกับหิมะ ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติ มุมปากสีแดงแสยะยิ้มบริสุทธิ์ เหมือนจะมีนิสัยไร้เดียงสาเหมือนเด็ก
มู่จื่อหลิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ผู้คนพึ่งพาเครื่องนุ่งห่ม พระพุทธรูปพึ่งพาทองหุ้ม [5]
หลงเซี่ยวเจ๋อเข้าไปในรถม้า ถือห่อขนมขนาดใหญ่ไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะถามอย่างไม่เข้าใจขณะรับประทานว่า “พี่สะใภ้สาม ท่านจะไปทานอาหารมื้อใหญ่ที่ใดหรือ จะไปที่หอเยวี่ยอวี่ใช่หรือไม่?”
มู่จื่อหลิงมองดูหลงเซี่ยวเจ๋อ ที่กำลังยัดขนมเข้าปากอย่างไม่รักษาภาพลักษณ์ ก็รู้สึกพูดไม่ออก ก่อนจะถามอย่างเป็ธรรมชาติว่า “อาหารในหอเยวี่ยอวี่เทียบได้กับในวังหรือไม่?”
หลงเซี่ยวเจ๋อยัดขนมอีกชิ้นหนึ่งเข้าไป คิดอยู่ครู่หนึ่งและให้การประเมินอย่างมืออาชีพว่า “วังหลวงกับหอเยวี่ยอวี่ทั้งสองไม่อาจเทียบกันได้ ไม่เหมือนกันในแง่ของรสชาติ แน่นอนว่าอาหารในหอเยวี่ยอวี่มีรสชาติที่อร่อย”
ยิ่งเขาเบื่ออาหารในวังแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแม้ว่าอาหารจะอุดมสมบูรณ์กว่าหอเยวี่ยอวี่ เขาก็ไม่คิดว่ามันอร่อยแต่อย่างใด
ปากของมู่จื่อหลิงกระตุกเล็กน้อย เื่อื่นคนผู้นี้ล้วนทำไม่ได้ แต่ในเื่อาหารการกิน เขาค่อนข้างมีความสามารถ
“พี่สะใภ้สาม เหตุใดท่านถึงถามเช่นนั้น ไม่ใช่ว่ากำลังไป...” หลงเซี่ยวเจ๋อเบิกตากว้างราวกับว่าเขาเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว แต่เขาหยุดพูดไป
มู่จื่อหลิงแย้มรอยยิ้มสบายๆ แล้วพยักหน้าเบาๆ “อืม ไปทานอาหารที่วังกัน”
“อะไรนะ แค่ก แค่ก…” หลงเซี่ยวเจ๋อสำลักขนมเมื่อได้ยินคำยืนยันของมู่จื่อหลิง
เขาตั้งตารอที่จะไปทานอาหารมื้อใหญ่ที่หอเยวี่ยอวี่ แต่ไม่คิดว่าจะได้ไปทานอาหารที่วังหลวง
มู่จื่อหลิงยื่นชาให้เขาและถามอย่างใจเย็นว่า “เ้าไม่อยากไปหรือ?”
หลังจากดื่มชาแล้ว หลงเซี่ยวเจ๋อก็รู้สึกดีขึ้นมาก และมีร่องรอยของความเศร้าในดวงตาของเขา เขา้าจะพูดว่า ไม่อยากไป แต่เมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปาก มันกลับเปลี่ยนเป็ “อยาก”
ตราบใดที่เขาไปกินข้าวกับพี่สะใภ้สามได้ เขาก็มีความสุขแม้ว่าจะเป็อาหารหยาบก็ตาม
“พี่สะใภ้สาม เหตุใดท่านถึงไปที่วังโดยไม่มีเหตุได้เล่า?” หลงเซี่ยวเจ๋อถามอย่างสงสัย
เท่าที่เขารู้ มู่จื่อหลิงเกลียดการเข้าวังหลวง หากไม่ใช่เพราะมีพระราชโองการมาจากในวัง นางคงไม่ได้ก้าวไปที่นั่น
พระราชโองการ? หรือจะมีพระราชโองการจริงๆ?
ก่อนที่มู่จื่อหลิงจะทันได้ตอบ หลงเซี่ยวเจ๋อก็คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถามว่า “พี่สะใภ้สาม ไทเฮาเฒ่าหรือผู้ใดมีรับสั่งให้ท่านไปเข้าเฝ้าหรือ?”
คนผู้นี้ในยามทำความสะอาด ได้ชำระล้างสมองด้วยหรือ จู่ๆ ก็ฉลาดขึ้น ซึ่งมันหาได้ยากมากจริงๆ มู่จื่อหลิงยิ้มอย่างพอใจ “ไม่ใช่ไทเฮาเฒ่า แต่เป็ฮองเฮา”
หลงเซี่ยวเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย โยนขนมในมือทิ้ง สูญเสียความอยากอาหารไปในทันที “ถ้าอย่างนั้นนี่ก็คืองานเลี้ยงหงเหมิน [6] ฮองเฮาจะรับมือยากกว่าไทเฮาเฒ่าอีกนะ”
กล่าวได้ว่า หลงเซี่ยวเจ๋อผู้นี้ที่ในยามปกติมักจะไม่สนใจสิ่งใด แต่ในยามนี้กลับกล่าวออกมาเพียงประโยคเดียว
ฮองเฮานั้นรับมือยากกว่าไทเฮาเฒ่าจริงๆ แต่นั่นก็เมื่อก่อน เพราะยามนี้...
มู่จื่อหลิงยกมุมปากของนางขึ้นแย้มรอยยิ้ม โบกมืออย่างพึงพอใจ “เ้ากลัวหรือ? หากเ้ากลัว ก็ไปทานอาหารที่หอเยวี่ยอวี่เพียงลำพังเถิด”
“พูดตลกอะไรกัน เหตุใดข้าต้องกลัวด้วย” หลงเซี่ยวเจ๋อกางมือออกอย่างไม่ใส่ใจ เหลือบมองมู่จื่อหลิงแล้วพูดว่า “ข้าแค่กลัว...” ว่าท่านจะได้รับาเ็
ก่อนหน้านี้มู่จื่อหลิงเคยถูกนำตัวไปที่ตำหนักโซ่วอัน และต้องถูกรุมทึ้งโดยไทเฮาเฒ่าและฮองเฮา เขาทั้งโกรธและกังวลมากเมื่อคิดถึงเื่นี้
มู่จื่อหลิงดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่เขา้าจะพูด ซึ่งมันถูกเขาหยุดไว้ รอยยิ้มงดงามก็ผุดขึ้นที่มุมปากของนาง มันเป็รอยยิ้มที่ไม่สามารถหยั่งรู้ได้ “ไม่ต้องกังวล อาหารในวังครั้งนี้จะต้องเป็อาหารแสนหอมกรุ่นที่สุดเท่าที่เ้าเคยกินมาอย่างแน่นอน”
หลงเซี่ยวเจ๋อไม่เชื่อเล็กน้อย เขาบ่นในใจอย่างเงียบๆ แม้ว่าจะเปลี่ยนพ่อครัวหลวง ตราบใดที่อาหารยังปรุงสุกในวัง พวกมันก็ยังมีสีและรสจืดเช่นเดิม
ในความเห็นของหลงเซี่ยวเจ๋อ ไม่ว่าของอร่อยจะถูกนำเข้ามาในวังมากเพียงใด รสชาติก็ไม่อร่อย เพราะอาหารในวังมักจะขาดรสชาติ...ของความเป็มนุษย์
แม้ว่าเขาจะไม่เชื่อ แต่เนื่องจากมู่จื่อหลิงกำลังจะไป หลงเซี่ยวเจ๋อย่อมต้องตามไปด้วย
นอกจากนี้ เขายังชื่นชมความสามารถของมู่จื่อหลิงในการทำสิ่งต่างๆ อย่างใจเย็น บางทีคราวนี้เขาอาจจะได้ทานอาหารที่อร่อยที่สุดก็เป็ได้
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] หน้าอกแนบไปกับหลังของตน (前胸贴后背) เป็วลี มีความหมายว่า หิวโหย หิวมาก
[2] จิน (斤) คือคำบอกน้ำหนัก โดยหนึ่งจินเท่ากับครึ่งกิโลกรัม
[3] ชอบให้ใช้ไม้แข็ง (吃硬不吃软) เป็วลี มีความหมายว่าใช้วิธีอ่อนโยนไม่ได้ผล ต้องใช้วิธีรุนแรงในการจัดการ
[4] มอบแสงให้เพียงเล็กน้อยก็จะสว่างไสว (给点阳光就能灿烂) เป็วลี มีความหมายว่า เมื่อได้รับในสิ่งที่ทำให้พอใจแล้วก็จะไม่เรียกร้องอีก นอกจากนี้ยังหมายถึงพละกำลังที่แข็งแกร่งอีกด้วย
[5] ผู้คนพึ่งพาเครื่องนุ่งห่ม พระพุทธรูปพึ่งพาทองหุ้ม (人靠衣装,佛靠金装) เป็สำนวน มีความหมายว่า คนจะดูดีได้นั้นเป็เพราะมีสิ่งเติมแต่งภายนอก เหมือนกับพระพุทธรูปที่จะดูน่าเลื่อมใส แลดูอลังการได้นั้นขึ้นอยู่กับทองที่ทาเคลือบ ซึ่งใกล้เคียงกับสำนวนไทยที่ว่า ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง
[6] งานเลี้ยงหงเหมิน (鸿门宴) เป็คำอุปมาสำหรับงานเลี้ยงที่มีเจตนาลอบสังหารหรือทำร้ายแขกผู้ได้รับเชิญ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้