เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้รักใคร่ผืนแผ่นดินนักสร้างบ้านในชนบทก็ไม่มีความสำคัญใด
เธอไม่คิดทิ้งหลิวเฟินไว้ในชนบทความตั้งใจเดิมก็คือไปถึงไหนพาไปนั่น สองแม่ลูกพึ่งพาอาศัยกัน สร้างบ้านหลังใหญ่สักหลังที่ชนบทให้หลิวเฟินตัวเซี่ยเสี่ยวหลานเองมีอิสระอยู่ข้างนอก? นี่ไม่ใช่เจตนารมณ์แรกที่เธอพาหลิวเฟินหลุดพ้นจากตระกูลเซี่ย
“แม่คิดว่าในชนบทอยู่ได้ดี?”
การถามย้อนกลับของเซี่ยเสี่ยวหลานทำให้หลิวเฟินสับสน
อาศัยในชนบทดีหรือไม่คำถามนี้หลิวเฟินไม่เคยคิดมาก่อนด้วยซ้ำ เพราะั้แ่วัยเยาว์เธอก็อาศัยในชนบทมาโดยตลอดออกเรือนก็เพียงแค่เปลี่ยนจากหมู่บ้านชีจิ่งเป็หมู่บ้านต้าเหอ หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินสิ่งที่หลิวเฟินเชี่ยวชาญมากที่สุดไม่ใช่การทำธุรกิจแน่นอนและไม่ใช่การทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่น แต่เป็การทำงานเกษตร
ผืนดินทำให้หลิวเฟินดำรงอยู่อยู่ได้ด้วยความสบายใจหากวันไหนนโยบายของประเทศเกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่อนุญาตการทำธุรกิจอิสระแล้วขอเพียงยังมีที่ดิน ชีวิตย่อมลำบาก แต่จะไม่อดตายทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่สินะ?
สรุปแล้วต่อให้่นี้ทำเงินได้บ้างหลิวเฟินยังคงไม่มีความมั่นใจในการเผชิญหน้ากับอนาคตอยู่ดี
ทว่าเธอก็ไม่ใช่คนที่จะปฏิเสธเซี่ยเสี่ยวหลานหลิวเฟินทำได้แค่ใช้หลี่เฟิ่งเหมยเป็ข้ออ้าง
“ถ้าพวกเราย้ายไปในเมืองป้าสะใภ้กับน้องชายของลูกจะทำอย่างไร?”
เซี่ยเสี่ยวหลานได้เคยวิเคราะห์ปัญหานี้แต่เธอเชื่อว่านี่ไม่ใช่เหตุผลที่รั้งไม่ให้ทั้งสองคนย้ายบ้านหลิวหย่งคิดว่าคนในหมู่บ้านจะดูแลเธอและหลิวเฟิน เซี่ยเสี่ยวหลานยอมรับในจุดนี้ทว่าไม่ช้าก็เร็วเธอจะยืนหยัดด้วยตนเอง ไม่อาจใช้ชีวิตโดยพึ่งพาลุงไปทั้งชาติได้ใช่ไหม?
“พวกเราไปเมืองมณฑลเพื่อทำธุรกิจไม่ใช่จะย้ายภูมิลำเนาเสียหน่อย ตอนนี้ในหมู่บ้านยังไม่แบ่งไร่นาให้พวกเราพอมีที่ดินอยู่อาศัยสำหรับสร้างบ้าน พวกเราก็อาจเก็บเงินได้จากในเมืองแล้วกลับหมู่บ้านมาปลูกบ้านได้พอดี”
ไม่จากบ้านเกิดแล้วจะหาเงินได้อย่างไร?
ยุคสมัยตรงหน้านี้ต่อให้เซี่ยเสี่ยวหลานเข้าใจเทคโนโลยีเกษตรกรรมแต่ราคารับซื้อของผลิตภัณฑ์เกษตรที่ถูกกดจนต่ำมากเหลือเกินก็ทำให้เธอไม่มีความคิดจะเพาะปลูกในชนบทเพื่อหลุดพ้นความยากจนและสร้างความมั่งคั่งนับประสาอะไรกับเธอไม่รู้ว่าทำไร่ทำนาอย่างไรสักนิดเดียว!
อีกอย่างไปแค่เมืองซางตูไกลจากหมู่บ้านชีจิ่งเท่าไรเอง?
หนึ่งวันสามารถเดินทางไปกลับเป็สถานที่ซึ่งสำเนียงของผู้คนไม่แปรเปลี่ยนเซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าหลิวเฟินปรับตัวให้คุ้นชินได้
หลายวันมานี้มิใช่หลิวเฟินก็เดินทางไปส่งปลาไหลและขนกากน้ำมันที่ซางตูหรือ?
“แล้วเื่ลูกเรียนหนังสือทำอย่างไรเล่า?”
“ซางตูมีรถรับส่งถึงเขตอันชิ่งจะไปโรงเรียนฉันก็นั่งรถกลับมา เดินทางสะดวกกว่าถนนดินจากหมู่บ้านถึงตัวเมืองอีก”
หลิวเฟินพูดไม่ออก
“ลูกไปคุยกับป้าสะใภ้เถอะแม่ไม่มีหน้าเอ่ยปาก”
หลิวเฟินหาเหตุผลในการคัดค้านไม่ได้รู้สึกหม่นหมองอยู่บ้าง เซี่ยเสี่ยวหลานเปลี่ยนน้ำเสียงในทันที “ถ้าแม่ไม่อยากย้ายไปจริงฉันก็ไม่บังคับแต่ฉันเช่าบ้านที่ซางตูไว้เรียบร้อยแล้ว คนเขาก็จะไม่คืนเงิน ฉันอยู่ซางตูคนเดียวก็ไม่มีคนทำอาหารเก็บห้องให้ฉัน...”
หลิวเฟินร้อนรน“แม่ไปกับลูกด้วย!”
เธอรักเซี่ยเสี่ยวหลานมากมายขนาดไหนแค่คิดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะหิวโหยและหนาวเหน็บ เช่าบ้านตัวคนเดียวไม่แน่ว่าผู้อื่นอาจรังแกเธอจึงไม่สนอะไรแล้วและต้องไปด้วยกันให้ได้
สงสารใจพ่อแม่ในใต้หล้า [1] !
หลี่เฟิ่งเหมยได้ยินว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเช่าบ้านในซางตูแล้วกลับไม่ในักเซี่ยเสี่ยวหลานปณิธานแรงกล้า ตอนนี้ได้พบโอกาสที่ดีอีกด้วย หาช่องทางทำมาหากินเจอจะหมกตัวอยู่ในชนบททำอะไรกัน?
“ลุงวานให้ป้าดูแลหลานป้าก็รู้สึกว่าหลานน่ะคนเห็นคนรักใคร่ มีแม่หลานอยู่ซางตูด้วยกันเื่การใช้ชีวิตป้าไม่ต้องกังวลแต่หลานต้องรับรองว่าห้ามลืมเื่สำคัญในการเรียนหนังสือ!”
เซี่ยเสี่ยวหลานเดินทางไปหยางเฉิงหนึ่งรอบทำเงินในครั้งเดียวได้ถึงพันกว่าหยวน
ทำงานหลังจบการศึกษามหาวิทยาลัยรายได้ต่อหนึ่งเดือนก็เท่านี้ ต่างกันตรงการดำรงชีวิตกับการงานมีหน้ามีตาและมั่นคงหลี่เฟิ่งเหมยกลัวเซี่ยเสี่ยวหลานถูกเงินซึ่งได้จากการค้าเสื้อผ้าทำให้สับสนชั่วครั้งคราวเกิดคิดว่าสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่มีความหมายขึ้นมา เธอจะอธิบายกับหลิวหย่งอย่างไรกัน
“ป้าฉันรู้จักแยกแยะนะ”
หลี่เฟิ่งเหมยจิ้มศีรษะของเธอ“หลานขี่จักรยานไปด้วย ป้าขี่ไม่เป็ด้วยทิ้งไว้บ้านก็ขึ้นสนิมเสียเปล่า คนในหมู่บ้านมายืมยิ่งปฏิเสธไม่ค่อยได้”
รถคันใหม่ที่หลิวหย่งซื้อโดนใช้งานขนสินค้าทุกวี่วัน โลดแล่นไปมาจากซางตูถึงชนบท คุณภาพของจักรยานนั้นดีมากแต่สีเคลือบภายนอกจะไม่มีรอยถลอกสักหน่อยได้ที่ไหน มันสร้างกำลังสำคัญเพื่อศักยภาพด้านเงินทุนของเซี่ยเสี่ยวหลานใน่แรก
เซี่ยเสี่ยวหลานคงไม่ทิ้งจักรยานที่ถูกใช้จนเก่าไว้แล้วจากไปเธอวางแผนไปหยางเฉิงอีกหนึ่งรอบก็จะซื้อจักรยานคันใหม่คันเก่านี้เธอและหลิวหย่งเอาไว้ใช้ส่วนตัว หลี่เฟิ่งเหมยเอาใจใส่ทีเดียว พอถึงวันที่เทาเทาไม่ไปโรงเรียนสี่คนจึงไปซางตูกันทั้งหมด
หลิวจื่อเทามาถึงตัวเมืองของมณฑลเป็ครั้งแรกได้เห็นอาคารหลายหลังที่โอ่อ่าน่าประทับใจถึงกับตะลึงจนอ้าปากค้าง
วันนี้พวกเธอย้ายเสื้อผ้ามาด้วยเลยหลี่เฟิ่งเหมยและหลิวเฟินไปซื้อเครื่องนอนเซี่ยเสี่ยวหลานก็พาเทาเทาทำงานอย่างอื่น ห้องจำนวนสองห้องเธอและหลิวเฟินจึงมีห้องเป็ของตนเอง เตียงไม่จำเป็ต้องซื้อดีเยี่ยมเงินในมือยังต้องนำมาซื้อสินค้า ใช้อิฐแดงแทนมุมเตียง้าวางบานประตูเก่าหนึ่งแผ่นไว้ ปูที่นอนหนาก็เป็เตียงนอนหนึ่งหลัง
โต๊ะและตู้เสื้อผ้าเป็ของเก่าที่บ้านพักรับรองประจำเมืองโละทิ้งมอบเงินเล็กน้อยเป็สัญลักษณ์ หูหย่งไฉก็รับหน้าที่อนุญาตให้เซี่ยเสี่ยวหลานเลือกตามใจชอบ
วิ่งวุ่นกลับไปกลับมาหลายรอบห้องสองห้องค่อยๆ เป็ระเบียบเรียบร้อยแล้ว
หลี่เฟิ่งเหมยและหลิวเฟินปูเตียงเช็ดโต๊ะทั้งสองคนจัดแจงทำความสะอาดห้องรู้สึกว่าเคหสถานที่ใช้ของเก่าประกอบเข้าด้วยกันนั้นไม่เลวเลยที่สำคัญคือจ่ายเงินไม่เท่าไร!
“เสี่ยวหลานไม่ได้พาเธอไปอยู่บ้านตึกสูงห้องนี้ก็ต่างกันไม่มากหรอก!”
คนเมืองทำอะไรล้วนต้องจ่ายเงินแต่ทำอะไรล้วนสะดวกสบายเช่นกัน
สำรวจห้องสุขาบ้านอวี๋นั่นหลี่เฟิ่งเหมยพิจารณาว่าครอบครัวตนก็เก็บเงินย้ายเข้าเมืองบ้างดีหรือไม่
เธอหวังไว้เป็ตัวเมืองของเขตทว่าเป้าหมายที่เซี่ยเสี่ยวหลานตั้งให้เธอช่างทะเยอทะยานเหลือเกิน
“โรงเรียนประจำเมืองในมณฑลดีกว่าในเขตถ้าเทาเทาได้เรียนในเมืองมณฑล ความแตกต่างกับเด็กในชนบทก็เพิ่มมากขึ้นแล้ว”
หลี่เฟิ่งเหมยสนใจขึ้นมาเล็กน้อย“แต่เทาเทาเป็ภูมิลำเนาชนบท เรียนในเมืองมณฑลได้?”
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ค่อยเข้าใจในเื่พวกนี้เธอแค่คิดวิถีทางออกมาเท่านั้น ไม่มีทะเบียนบ้านก็เข้าเรียนไม่ได้ อีกไม่กี่ปีรัฐเหมือนจะผ่อนผันปัญหา‘ชนบทย้ายเป็ไม่ชนบท’ถึงเวลา้าทำทะเบียนบ้านในเมืองคงไม่ยากเย็นนัก ก่อนจะถึงตอนนั้น เทาเทาสามารถ‘เรียนชั่วคราว’ในโรงเรียนประจำเมืองมณฑล เมื่อพื้นฐานดี อนาคตเด็กคนนี้ได้เรียนที่ไหนก็ไม่หวั่น
“แอ๊ด—”
ย่าอวี๋ลากไม้กวาดกลับมาแล้ว
“คุณกลับมาแล้วหรือวันนี้ป้าสะใภ้ฉันมาช่วยย้ายบ้าน คุณก็ยังไม่ได้กินข้าวสินะพวกเราห่อเกี๊ยวมานิดหน่อย”
เกี๊ยวเล็กๆน้อยๆ ไม่มีราคาค่างวดอะไร ย่าอวี๋ท่าทางเ็า
“ตอนเช่าห้องเธอบอกว่าอยู่สองคน”
ย่าอวี๋ไม่กลัวการแบ่งห้องให้หญิงชนบทสองคนเช่าอาศัยแต่ถ้าเข้ามาอยู่เพิ่มอีกหนึ่งหญิงและเด็กน้อยภายหลังยังมีผู้ชายจะเข้ามาอยู่ใช่หรือไม่? เธอเป็หญิงชราตัวคนเดียว คนอื่นเป็ครอบครัวเดียวกันย่าอวี๋แค่กลัวว่าตนเองเชิญหมาป่าเข้าบ้าน
หลี่เฟิ่งเหมยก็ดูออกว่าย่าอวี๋มีปฏิสัมพันธ์ด้วยยากเธอรีบร้อนอธิบาย
“คุณน้าคะที่บ้านฉันยังเลี้ยงหมูอยู่ ไม่กล้าค้างคืนในเมืองหรอก”
ย่าอวี๋ไม่รับเกี๊ยวที่พวกเซี่ยเสี่ยวหลานทำตนเองก่อไฟทำอาหารเองไปแล้ว หลี่เฟิ่งเหม่ยไม่ได้ตั้งใจค้างคืนในซางตูจริงๆที่บ้านไม่มีใครสักคน โดนขโมยขโจรเยี่ยมเยือนจะทำอย่างไร อุตส่าห์ตั้งใจปรนนิบัติหมูสองตัวกว่าครึ่งปีดูท่าจะพร้อมเชือดแล้ว หากโดนคนขโมยไปหลี่เฟิ่งเหมยต้องปวดใจตายแน่นอน
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้มีความรักใคร่ผืนแผ่นดินนัก การสร้างบ้านในชนบทก็ไม่มีความสำคัญอะไรกับเธอ
เธอไม่คิดที่จะทิ้งหลิวเฟินไว้ในชนบท ความตั้งใจเดิมคือไปไหนก็พาไปที่นั่นสองแม่ลูกพึ่งพาอาศัยกันและกัน แต่จะให้สร้างบ้านหลังใหญ่สักหลังแก่หลิวเฟินในชนบทส่วนตัวเซี่ยเสี่ยวหลานก็มีอิสระอยู่ข้างนอกหรือ? นี่ไม่ใช่ความ้าแรกเริ่มที่นำให้เธอพาหลิวเฟินหลุดพ้นออกมาจากตระกูลเซี่ย
“แม่คิดว่าในชนบทอยู่ได้ดีอย่างนั้นหรือ?”
การถามย้อนกลับของเซี่ยเสี่ยวหลานทำให้หลิวเฟินเกิดความสับสน
อาศัยอยู่ในชนบทดีหรือไม่ คำถามนี้หลิวเฟินไม่เคยคิดมาก่อนด้วยซ้ำเพราะั้แ่วัยเยาว์เธอก็อาศัยอยู่ในชนบทมาโดยตลอดออกเรือนก็เพียงแค่เปลี่ยนจากหมู่บ้านชีจิ่งเป็หมู่บ้านต้าเหอหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน สิ่งที่หลิวเฟินเชี่ยวชาญมากที่สุดไม่ใช่การทำธุรกิจและไม่ใช่การทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่น แต่เป็การทำเกษตรกรรม
ผืนดินทำให้หลิวเฟินดำรงอยู่ได้ด้วยความสบายใจ หากวันใดนโยบายของประเทศเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่อนุญาตให้ทำธุรกิจอิสระ ขอเพียงยังมีที่ดิน แม้ชีวิตจะพบเจอกับความลำบาก แต่ไม่มีทางอดตายใช่หรือไม่?
สรุปแล้วแม้ว่า่นี้ทำเงินได้บ้าง แต่หลิวเฟินยังคงไม่มีความมั่นใจในการเผชิญหน้ากับอนาคตอยู่ดี
ทว่าเธอก็ไม่ใช่คนที่จะปฏิเสธเซี่ยเสี่ยวหลานได้หลิวเฟินทำได้แค่ใช้หลี่เฟิ่งเหมยเป็ข้ออ้าง
“ถ้าพวกเราย้ายไปในเมืองแล้ว ป้าสะใภ้กับน้องชายของลูกจะทำอย่างไรเล่า?”
เซี่ยเสี่ยวหลานได้วิเคราะห์ปัญหานี้แล้วแต่เธอเชื่อว่านี่ไม่ใช่เหตุผลที่จะสามารถรั้งไม่ให้ทั้งสองคนย้ายบ้านได้หลิวหย่งคิดว่าคนในหมู่บ้านจะดูแลเธอและหลิวเฟินได้ ซึ่งเซี่ยเสี่ยวหลานยอมรับในจุดนี้ทว่าไม่ช้าก็เร็วเธอจะยืนหยัดได้ด้วยตนเอง เธอไม่อาจใช้ชีวิตโดยการพึ่งพาลุงไปทั้งชาติใช่หรือไม่?
“พวกเราไปเมืองมณฑลเพื่อทำธุรกิจ ไม่ใช่ว่าจะย้ายภูมิลำเนาเสียหน่อยตอนนี้ในหมู่บ้านยังไม่แบ่งที่นาให้พวกเรา พอถึงเวลาที่เรามีที่ดินอยู่อาศัยสำหรับสร้างบ้านพวกเราก็อาจเก็บเงินได้จากในเมือง เมื่อกลับหมู่บ้านมาก็สามารถปลูกบ้านได้พอดี”
ไม่จากบ้านเกิดแล้วจะหาเงินได้อย่างไร?
ยุคสมัยนี้ ต่อให้เซี่ยเสี่ยวหลานเข้าใจเทคโนโลยีเกษตรกรรมแต่ราคารับซื้อของผลิตภัณฑ์การเกษตรที่ถูกกดจนต่ำมากเหลือเกิน ทำให้เธอไม่มีความคิดที่จะหลุดพ้นจากความยากจนและสร้างความมั่งคั่งโดยวิธีการเพาะปลูกอยู่ในชนบทแน่นอนและนับประสาอะไรกับเธอที่ไม่รู้ว่าการทำไร่ทำนานั้นทำอย่างไรแม้แต่นิดเดียว!
อีกอย่างไปแค่เมืองซางตู ไกลจากหมู่บ้านชีจิ่งเท่าไรเอง?
หนึ่งวันสามารถเดินทางไปกลับได้ ทั้งยังเป็สถานที่ที่ซึ่งสำเนียงของผู้คนไม่แตกต่างกันเซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าหลิวเฟินสามารถปรับตัวให้คุ้นชินได้
หลายวันมานี้มิใช่เป็หลิวเฟินหรือที่เดินทางไปส่งปลาไหลและขนกากน้ำมันที่ซางตู?
“แล้วเื่การเรียนหนังสือของลูก จะทำอย่างไรเล่า?”
“ที่ซางตูมีรถรับส่งถึงเขตอันชิ่ง หากจะไปโรงเรียนฉันก็นั่งรถกลับมาเดินทางสะดวกกว่าถนนดินจากหมู่บ้านถึงตัวเมืองเสียอีก”
หลิวเฟินพูดไม่ออก
“ลูกไปคุยกับป้าสะใภ้เถอะ แม่ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากอย่างไร”
หลิวเฟินหาเหตุผลในการคัดค้านไม่ได้ รู้สึกหม่นหมองอยู่บ้างเซี่ยเสี่ยวหลานจึงเปลี่ยนน้ำเสียงทันที “ถ้าแม่ไม่อยากย้ายไปจริงๆฉันก็ไม่บังคับ แต่ฉันเช่าบ้านที่ซางตูไว้เรียบร้อยแล้ว คนเขาก็ไม่คืนเงินแล้วฉันอยู่ซางตูคนเดียว ก็คงไม่มีคนทำอาหารหรือเก็บห้องให้ฉัน...”
ได้ยินดังนั้น หลิวเฟินร้อนรนขึ้นมาทันที “แม่จะไปกับลูกด้วย!”
เธอรักเซี่ยเสี่ยวหลานมากเพียงใด แค่คิดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะหิวโหยและหนาวเหน็บเช่าบ้านอยู่ตัวคนเดียวไม่แน่ว่าผู้อื่นอาจจะมารังแกเธอ คิดได้ดังนั้น หลินเฟินจึงไม่สนอะไรและต้องไปด้วยกันให้ได้
สงสารใจพ่อแม่ในใต้หล้า [1] !
หลี่เฟิ่งเหมยได้ยินว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเช่าบ้านอยู่ในซางตูแล้วกลับไม่รู้สึกในักเซี่ยเสี่ยวหลานมีปณิธานอันแรงกล้า ตอนนี้ได้พบโอกาสที่ดี หาช่องทางทำมาหากินเจอจะหมกตัวอยู่ในชนบทเพื่ออะไรกัน?
“ลุงวานให้ป้าช่วยดูแลหลาน ป้าก็รู้สึกว่าหลานน่ะใครเห็นเป็ต้องรักใคร่มีแม่หลานอยู่ซางตูด้วยกัน เื่การใช้ชีวิตป้าไม่มีอะไรต้องกังวล แต่หลานต้องรับปากว่าจะไม่ลืมเื่สำคัญอย่างการเรียนหนังสือเป็อันขาด!”
เซี่ยเสี่ยวหลานเดินทางไปหยางเฉิงรอบหนึ่งทำเงินได้ถึงพันกว่าหยวน
การทำงานหลังจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย รายได้ต่อหนึ่งเดือนก็ได้จำนวนเท่านี้ต่างกันตรงการดำรงชีวิตกับการงานมีหน้ามีตาและมีความมั่นคง หลี่เฟิ่งเหมยกลัวว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะถูกเงินซึ่งได้จากการค้าเสื้อผ้าทำให้เกิดความสับสนชั่วครั้งชั่วคราวคิดว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นไม่มีความหมายขึ้นมา เธอจะอธิบายกับหลิวหย่งว่าอย่างไรกัน
“ป้า ฉันรู้จักแยกแยะนะ”
หลี่เฟิ่งเหมยจิ้มศีรษะของเธอ “หลานขี่จักรยานไปด้วยเถิดป้าขี่ไม่เป็ ทิ้งเอาไว้ที่บ้านก็ขึ้นสนิมเสียเปล่า คนในหมู่บ้านมายืมก็ปฏิเสธไม่ค่อยจะได้”
รถคันใหม่ที่หลิวหย่งซื้อ ถูกใช้ขนสินค้าทุกวันโลดแล่นไปมาจากซางตูถึงชนบท คุณภาพของจักรยานนั้นดีมาก แต่สีเคลือบภายนอกจะปราศจากรอยถลอกได้อย่างไรกันมันคือกำลังสำคัญในการสร้างศักยภาพด้านเงินทุนของเซี่ยเสี่ยวหลานใน่แรก
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่คิดจะทิ้งจักรยานที่ถูกใช้จนเก่าไว้แล้วจากไป แต่เธอวางแผนว่าหากไปหยางเฉิงอีกรอบจะซื้อจักรยานคันใหม่คันเก่านี้เธอและหลิวหย่งเอาจะไว้ใช้เป็การส่วนตัว หลี่เฟิ่งเหมยเอาใจใส่เธอมากทีเดียวพอถึงวันที่เทาเทาหยุดเรียน ทั้งสี่คนจึงไปซางตูด้วยกันทั้งหมด
หลิวจื่อเทามายังตัวเมืองของมณฑลเป็ครั้งแรกได้เห็นอาคารหลายหลังที่โอ่อ่าละลานตาถึงกับตะลึงจนอ้าปากค้าง
วันนี้พวกเธอขนเสื้อผ้ามาด้วย หลี่เฟิ่งเหมยและหลิวเฟินพากันแยกตัวไปซื้อเครื่องนอนส่วนเซี่ยเสี่ยวหลานก็พาเทาเทาทำงานอย่างอื่น ห้องมีจำนวนสองห้องเธอและหลิวเฟินจึงมีห้องเป็ของตนเอง เตียงไม่จำเป็ต้องซื้อแบบดีเยี่ยม เงินในมือตอนนี้ยังต้องนำไปซื้อสินค้าอีกจึงใช้อิฐแดงแทนมุมเตียง จากนั้นก็วางบานประตูเก่าหนึ่งแผ่นไว้้า หลังจากปูที่นอนหนาก็กลายเป็เตียงนอนหนึ่งหลังทันที
โต๊ะและตู้เสื้อผ้าเป็ของเก่าที่บ้านพักรับรองประจำเมืองโละทิ้งไปแล้วมอบเงินเล็กน้อยเป็ค่าตอบแทน หูหย่งไฉรับหน้าที่อนุญาตให้เซี่ยเสี่ยวหลานเลือกได้ตามใจชอบ
วิ่งวุ่นไปมาหลายรอบ ห้องสองห้องก็ค่อยๆ เป็ระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น
หลี่เฟิ่งเหมยและหลิวเฟินปูเตียง เช็ดโต๊ะ ทั้งสองคนจัดแจงทำความสะอาดห้องรู้สึกว่าเคหสถานที่ใช้ของเก่าประกอบเข้าด้วยกันนั้นไม่เลวเลยทีเดียวที่สำคัญคือจ่ายเงินไม่เท่าไรเอง!
“เสี่ยวหลานไม่ได้พาเธอไปอยู่บ้านตึกสูง ห้องนี้ก็คงไม่ต่างกันมากหรอก!”
คนเมืองทำอะไรล้วนต้องจ่ายเงิน แต่ก็ทำเพื่อความสะดวกสบายเช่นกัน
หลังจากสำรวจห้องสุขาบ้านอวี๋แล้ว หลี่เฟิ่งเหมยก็คิดไตร่ตรองว่าครอบครัวตนควรเก็บเงินย้ายเข้าเมืองบ้างดีหรือไม่
เธอหวังให้เป็ตัวเมืองของเขต ทว่าเป้าหมายที่เซี่ยเสี่ยวหลานตั้งให้เธอนั้นช่างทะเยอทะยานเหลือเกิน
“โรงเรียนประจำเมืองในมณฑลดีกว่าในเขต ถ้าเทาเทาได้เรียนในเมืองมณฑลความแตกต่างกับเด็กในชนบทก็เพิ่มมากขึ้นแล้ว”
หลี่เฟิ่งเหมยสนใจขึ้นมาเล็กน้อย “แต่ภูมิลำเนาของเทาเทาเป็ภูมิลำเนาชนบทจะเรียนในเมืองมณฑลได้หรือ?”
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ค่อยเข้าใจในเื่พวกนี้นัก เธอแค่คิดวิธีออกมาเท่านั้นหากไม่มีทะเบียนบ้านก็เข้าเรียนไม่ได้ แต่อีกไม่กี่ปีรัฐเหมือนจะผ่อนผันปัญหา ‘ชนบทย้ายเป็ไม่ชนบท’ เมื่อถึงเวลา้าทำทะเบียนบ้านในเมืองคงไม่ยากเย็นนักก่อนจะถึงตอนนั้น เทาเทาสามารถ ‘เรียนชั่วคราว’ ในโรงเรียนประจำเมืองมณฑลได้ เมื่อพื้นฐานดี อนาคตของเด็กคนนี้ได้เรียนที่ไหนก็ไม่หวั่น
“แอ๊ด—”
ย่าอวี๋ลากไม้กวาดกลับมาแล้ว
“คุณย่ากลับมาแล้วหรือคะ วันนี้ป้าสะใภ้ฉันมาช่วยขนของย้ายบ้าน คุณย่ายังไม่ได้ทานข้าวสินะคะพวกเราห่อเกี๊ยวมานิดหน่อย ลองทานสิคะ”
เกี๊ยวเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีราคาค่างวดอะไร ย่าอวี๋จึงแสดงท่าทางเ็า
“ตอนเช่าห้องเธอบอกว่าอยู่กันสองคน”
ย่าอวี๋ไม่กลัวการแบ่งห้องให้หญิงชนบทสองคนเช่าอาศัยแต่ถ้าเข้ามาอยู่เพิ่มอีกหนึ่งหญิงและหนึ่งเด็กน้อย ภายหลังยังจะมีผู้ชายเข้ามาอยู่ด้วยใช่หรือไม่? เธอเป็หญิงชราตัวคนเดียว คนอื่นเป็ครอบครัวเดียวกันย่าอวี๋แค่กลัวว่าตนเองจะเชิญหมาป่าเข้ามาในบ้าน
หลี่เฟิ่งเหมยดูออกว่าย่าอวี๋เป็คนที่สานสัมพันธ์ด้วยได้ยาก เธอจึงรีบร้อนอธิบาย
“คุณน้าคะ ที่บ้านฉันยังเลี้ยงหมูอยู่ ไม่กล้าค้างคืนในเมืองหรอกค่ะ”
ย่าอวี๋ไม่รับเกี๊ยวที่พวกเซี่ยเสี่ยวหลานทำ และหันไปก่อไฟทำอาหารเองหลี่เฟิ่งเหม่ยไม่ได้ตั้งใจค้างคืนในซางตูจริงๆ ที่บ้านไม่มีใครอยู่สักคน หากโดนขโมยขโจรมาเยี่ยมเยือนจะทำอย่างไรอุตส่าห์ตั้งใจปรนนิบัติหมูสองตัวกว่าครึ่งปี ดูท่าทางจะพร้อมให้เชือดแล้ว ถ้าถูกคนขโมยไปหลี่เฟิ่งเหมยต้องปวดใจตายแน่นอน
เวลานี้เพิ่งบ่ายสามโมง คืนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวเฟินจะอาศัยอยู่ที่บ้านอวี๋แล้วจึงเดินมาส่งหลี่เฟิ่งเหมยไปยังสถานีรถ เทาเทาอาลัยอาวรณ์ในเมืองมากทุกสิ่งอย่างที่นี่ล้วนแปลกใหม่สำหรับเขาเหลือเกิน ไม่เหมือนชนบทที่มีแต่ความแร้นแค้น“อีกหน่อยพี่สาวเขาจะรับลูกมาเรียนหนังสือที่ซางตู ตอนนี้ลูกยอมกลับบ้านดีๆก่อน ตอนเรียนไม่อนุญาตให้เหม่อลอย พวกนักเรียนของซางตูสุดยอดมาก ลูกจะต่างกับพวกเขามากไม่ได้นะ”
เชิงอรรถ
[1] 可怜天下父母心 สงสารใจพ่อแม่ในใต้หล้า มาจากบทกลอนอวยพรมารดาของซูสีไทเฮาเมื่อครั้งที่ไปร่วมงานฉลองวันเกิดด้วยตนเองไม่ได้หมายถึง ความรักของพ่อแม่ล้วนเพื่อลูกของตนเองแม้บางครั้งลูกอาจไม่เข้าใจในความหวังดี แต่พ่อแม่ยังคงยินดีทำเพื่อลูกตลอดไป
เชิงอรรถ
[1]可怜天下父母心 สงสารใจพ่อแม่ในใต้หล้า มากจากบทกลอนอวยพรมารดาของซูสีไทเฮาเมื่อครั้งที่ไปร่วมงานฉลองวันเกิดด้วยตนเองไม่ได้หมายถึง ความรักของพ่อแม่ล้วนเพื่อลูกของตนเองแม้บางครั้งลูกอาจไม่เข้าใจในความหวังดี แต่พ่อแม่ยังคงยินดีทำเพื่อลูกตลอดไป