หลังนางเห็นท่าทีของเหล่าบ่าวรับใช้ นางรู้แล้วว่าเป็ไปตามเป้าหมายของตนเองแล้ว
ริมฝีปากของฉินหยีหนิงยกขึ้นเล็กน้อย และเอ่ยว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ลูกคุณหนูบ้านตระกูลใหญ่ไม่มีกฎที่ว่า บ่าวรังแกนาย กฎนี้ ‘คนป่า’ อย่างข้ายังเข้าใจเลย คิดว่าคนอย่างพวกเ้าที่ใช้ชีวิตในเมืองซึ่งเจริญรุ่งเรืองย่อมต้องเข้าใจเช่นกัน”
ทันทีที่ฉินหยีหนิงพูดจบ แม่นมจู้กับรุ่ยหลานก็เป็ผู้นำของบ่าวอีกหลายคน ค้อมศีรษะลงอีกครั้ง “เ้าค่ะ พวกบ่าวรับทราบแล้วเ้าค่ะ”
ฉินหยีหนิงพยักหน้าด้วยความพอใจ พร้อมกล่าวต่อ “เมื่อพูดถึงกฎระเบียบแล้ว ข้าต้องไปเข้าพบท่านย่าทุกเช้าเป็กฎระเบียบ สำหรับพวกเ้าที่เห็นข้า ต้องคำนับนั่นก็เป็กฎระเบียบ สำหรับฉินฮุ่ยหนิงซึ่งยั่วยุคนในครอบครัวของข้า จนทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเราสามคนต้องแตกแยก และโดนข้าสั่งสอนไปนั้น ก็เป็กฎระเบียบ เมื่อท่านย่ารู้เื่นี้ ก็ให้เราทั้งสองคนคัด ‘คัมภีร์กตัญญู’ นี่ก็เป็กฎระเบียบด้วยเช่นกัน พวกเ้าเป็คนฉลาด เื่ดีหรือไม่ดีนั้น ไม่จำเป็ต้องให้ข้าอธิบายให้ละเอียด คิดว่าพวกเ้าก็คงเข้าใจ”
ประโยคเดียวเป็การเปิดเผยแจ้งข่าวให้ทุกคนรู้ ทำให้คนเ่าั้ต่างตกตะลึงและหวาดผวาไปเสียแล้ว
นางตบฉินฮุ่ยหนิงผู้ที่ล่าวไท่จุนรักมากที่สุด กลับโดนลงโทษแค่คัด ‘คัมภีร์กตัญญู’
ฉินฮุ่ยหนิงโดนตบ ก็ยังต้องโดนทำโทษคัด ‘คัมภีร์กตัญญู’ เท่าๆ กับนาง?
คนเหล่านี้ต่างไม่ได้โง่งม ต่างเข้าใจในทันทีว่า เื่นี้ต้องมีอะไรแอบแฝงอย่างแน่นอน คุณหนูฉินฮุ่ยหนิงอาจจะไม่ได้เป็อย่างที่คนอื่นเล่าลือ ว่าเป็คนที่ไร้เดียงสา อีกอย่างในใจล่าวไท่จุนก็อาจจะไม่ได้ไม่รักคุณหนูสี่
ในเวลาอันสั้นเช่นนี้ แม่นมจู้ หลิ่วหยาและคนอื่นๆ ต่างเข้าใจในความเก่งกาจของคุณหนูสี่เสียแล้ว
เพิ่งกลับเข้ามาในจวนวันแรก กลับทำให้คุณหนูฮุ่ยหนิงเสียเปรียบได้อย่างแเี
รุ่ยหลานยิ่งกลัวจนตัวสั่นเทิ้ม
คุณหนูฉินฮุ่ยหนิงเป็ที่รักที่เอ็นดูของล่าวไท่จุน ใบหน้าถูกทุบตีบวมเป็หัวหมูเช่นนั้น ล่าวไท่จุนกลับลงโทษคุณหนูสี่ด้วยการคัด ‘คัมภีร์กตัญญู’ อีกทั้งโดนลงโทษด้วยกันทั้งสองคน ตนเป็เพียงบ่าว เห็นนายตบตีกันก็ตบตีด้วย ล่าวไท่จุนตำแหน่งสูงระดับไหนแล้ว ไม่มาให้ความสำคัญกับเื่ของนางเป็แน่
หยูเซียงยังบอกด้วยว่าพรุ่งนี้จะไปฟ้อง ไม่เรียกว่ารนหาที่ตายหรือ
ครั้นครุ่นคิดได้ รุ่ยหลานย่อมรีบก้มหัวในทันที นางเอ่ย “คุณหนู บ่าวสำนึกผิดแล้ว หลังจากนี้บ่าวจะพยายามรับใช้คุณหนูให้ดีที่สุดเท่าที่บ่าวจะทำได้ จะไม่บ่นแม้แต่น้อย ไม่เช่นนั้น ขอให้บ่าวเป็ตุ่มหนองบนหัว เน่าไปจนถึงท้องเลยเ้าค่ะ”
คำสาบานดังกล่าวนับว่ารุนแรงมาก กระนั้นมันแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของรุ่ยหลาน อีกทั้งทำให้คนที่ได้ยินต่างหวาดผวา คนอย่างรุ่ยหลานเมื่อก่อนคอยรับใช้ซุนซื่อดีมากคนหนึ่ง มาวันนี้โดนคุณหนูสี่จัดการกลายเป็คนเชื่อฟัง พวกนางหรือจะแข็งกร้าวมากไปกว่ารุ่ยหลาน?
ทุกคนต่างก็คำนับแสดงความภักดี
ฉินหยีหนิงยิ้มพลางโบกมือ “เอาละ ทุกคนลุกขึ้นยืนเถิด ที่ข้าพูดเื่เหล่านี้เพียงเพื่อให้พวกเ้ารับรู้ถึงสิ่งที่ผ่านมาก็เท่านั้น ไม่ว่าอย่างไร ท่านแม่ของข้ามีปากเสียงกับท่านพ่อจนต้องกลับบ้านท่านยายไป ก็เพราะการยุยงของฉินฮุ่ยหนิง เื่ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็ความผิดของท่านแม่ทั้งหมด ถ้ามีคนพูดถึงเื่คราวนี้ ในใจพวกเ้าก็คงรู้ดีว่าต้องทำเช่นไร”
ประโยคนั้นเป็คำสั่งการกลายๆ ให้พวกเขาอธิบายกับคนอื่นให้ชัดเจนว่า ฮูหยินถูกฉินฮุ่ยหนิงยุยง
ทุกคนต่างคำนับตอบรับ
ฉินหยีหนิงกล่าวต่อ “สำหรับแม่นางหยูเซียงนั้น ความสามารถในการต้มน้ำของพวกเ้าสู้เขาไม่ได้หรอก คืนนี้ทำให้นางต้องเหนื่อยแล้ว พวกเ้าก็เรียนรู้หน่อย เื่พวกนี้วันข้างหน้าก็คงต้องหวังพึ่งให้พวกเ้ามาทำแล้วล่ะ”
ทุกคนต่างตอบ “เ้าค่ะ” รวมถึงเข้าใจเป็อย่างดี คุณหนูหมายความว่าไม่อนุญาตให้ใครไปช่วยหยูเซียง อีกทั้งประโยคหลังเหมือนกำลังบอกเหล่าบ่าวรับใช้เป็นัยว่า วันข้างหน้าหยูเซียงไม่มีโอกาสได้ต้มน้ำอีกแล้ว...
ฉินหยีหนิงสั่งให้ทุกคนออกไปได้ เหลือแค่รุ่ยหลานคนเดียวที่คอยดูแลอยู่ข้างๆ นางจับพู่กันขึ้นมา พลางนึกถึงเนื้อหาของ ‘คัมภีร์กตัญญู’ และเริ่มลงมือเขียน
แม่นมจู้ หลิ่วหยา ชิวหลู่ พาเด็กๆ สามคนออกจากห้องไป ทุกคนต่างก็มองหน้ากันและกัน จากนั้นเหลือบตาไปมองเห็นควันดำโขมงซึ่งออกมาจากห้องครัวขนาดเล็ก ทุกคนต่างรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว
จริงๆ แล้ว คุณหนูเก่งกาจมาก หลังจากนี้ พวกนางพยายามรับใช้อย่างระมัดระวังให้มากถึงมากที่สุดจึงจะเป็การดี
ผู้คนในเรือนเสวี่ยลี่สงบลง ถึงกระนั้นเื่ ‘ซุนซื่อมีปากเสียงกับฉินหวยหยวน ฉินฮุ่ยหนิงโดนฉินหยีหนิงตบ’ ข่าวเหล่านี้กลับคล้ายมีปีกสามารถบินไปยังเรือนต่างๆ ได้ ไม่นานเรือนแต่ละหลังในอาณาเขตของจวนต่างก็ได้ยินข่าวกันทั่ว อีกทั้งแต่ละภาคแต่ละตอนกลับไม่เหมือนกันสักกระผีก บางเนื้อหาก็มีเพิ่มบ้าง บางเนื้อหาก็มีลดบ้าง อธิบายออกมาได้หลายความหมาย
**
กลางดึกสงัด โดยปกติบรรยากาศของจวนติ้งกั๋วกงค่อนข้างสงบเงียบ แต่ค่ำคืนนั้นจู่ๆ ก็เกิดเื่ขึ้นมา
ฮูหยินติ้งกั๋วกงเจิ้งซื่อเมื่อได้ฟังข่าวจากบ่าว ก็สวมเสื้อกันหนาวแล้วก็ก้าวเท้าไปยังห้องเล็กๆ ที่อบอุ่น เมื่อนางเห็นลูกสาวซึ่งกำลังร้องไห้ขี้มูกโป่งจนตาบวมแดงอยู่นั้น จึงขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่อาจระงับ
“ฮั่นเจี่ยร์ เ้ามีเื่อีกแล้วหรือ”
ชื่อเรียกของซุนซื่อคือ ไห่ฮั่น ชื่อเล่นเรียกว่า ฮั่นเจี่ยร์
ซุนซื่อได้ยินเสียงมารดาที่คุ้นเคย ทว่าไม่ได้ให้ความสนใจต่อถ้อยคำของมารดา กลับทำเพียงส่งเสียงร้อง “โฮ” ที่ตนโดนรังแก และรีบเข้าพุ่งเข้าหาฮูหยินติ้งกั๋วกงพร้อมอ้าแขนกอดนางไว้ “ท่านแม่ ท่านแม่ต้องช่วยลูกนะเ้าคะ ลูกโดนฉินเิ เ้าสารเลวนั่นรังแกจนจะตายอยู่แล้วเ้าค่ะ”
ฮูหยินติ้งกั๋วกงโดนบุตรสาวพุ่งเข้ากอดแทบจะล้มหงายหลัง ถ้าไม่ใช่เพราะแม่นมเปาซึ่งอยู่ข้างๆ เข้ามาช่วยประคอง เกรงว่าแม่ลูกทั้งสองคงล้มกลิ้งลงไปไม่เป็ท่าเสียแล้ว
ฮูหยินติ้งกั๋วกงพูดอย่างไม่พอใจ ทั้งยังเอ่ยตำหนิ “เ้าดูตัวเ้าสิ อายุอานามเท่าไรแล้ว ยังสะเพร่าเยี่ยงนี้อีกหรือ ทำให้ดูไม่ดีอีก นี่ก็กี่โมงกี่ยามแล้ว? อยู่ที่บ้านดีๆ ไม่ได้ รีบกลับมากลางดึกเช่นนี้ เจอกันแล้วก็ร้องไห้ ไหนเ้าพูดมาสิ มีเื่ใหญ่โตอะไรเกิดขึ้น? ท้องฟ้าถล่มลงมาแล้วหรือ?”
เห็นซุนซื่อร้องไห้สะอึกสะอื้น ฮูหยินติ้งกั๋วกงก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาฉับพลัน
เมื่อนางยังเป็วัยสาวนั้น นางยุ่งอยู่กับการทำหน้าที่แม่ศรีเรือนและเป็ผู้ช่วยที่ดีให้สามี หน้าที่แม่ศรีเรือนในจวนต้องไม่ละเลย อีกทั้งต้องสั่งสอนลูกชาย ทำได้แค่ยกลูกสาวให้แม่สามีเป็คนสั่งสอน ใครจะรู้ ว่าแม่สามีเลี้ยงแบบตามใจ นึกไม่ถึงเลยว่าจะสั่งสอนลูกสาวออกมาเป็อย่างที่เห็น
ลูกสาวเป็คนยโสโอหังเช่นนี้ ตอนเป็สาวสามารถเรียกได้ว่านางเป็คนจริงใจน่ารักไร้เดียงสา แต่ตอนนี้นางอายุเกือบจะสี่สิบเข้าไปแล้ว ก็ยัง ‘น่ารักไร้เดียงสา’ คนทั่วไปจะทนนางได้อย่างไร? อย่าว่าแต่สามีนางเลย ขนาดคนเป็แม่อย่างนางบางครั้งก็รู้สึกกังวล
แต่เดิม ซุนซื่อกลับมาเพื่อบอกเื่ที่ตนเองโดนรังแก ใครจะรู้ว่าเมื่อเจอมารดาของตนแล้ว ยังไม่ทันได้ปริปาก กลับโดนมารดาตำหนิไปเสียแล้ว ทำให้หัวใจของนางมีความโศกเศร้ามากยิ่งขึ้น นางจึงทำเพียงนอนคว่ำอยู่บนเตียงหลั่วฮั่นร้องไห้อย่างจะเป็จะตาย
ฮูหยินติ้งกั๋วกงนวดหน้าผากที่กำลังปวดตุบๆ
แม่นมเปารีบเดินเข้ามายังเบื้องหน้าทันที นางส่งผ้าเช็ดหน้าให้ แถมยังตบหลังเบาๆ อีกด้วย ซึ่งทำให้ง่ายต่อการโน้มน้าวซุนซื่อจนนางค่อยๆ หยุดคร่ำครวญ
แม่นมเปายกน้ำอุ่นหนึ่งถ้วยนำมาให้ซุนซื่อดื่ม จากนั้นก็ก้าวเท้าถอยไปอยู่ข้างๆ
ฮูหยินติ้งกั๋วกงกระชับคอเสื้อให้แน่นขึ้นหนึ่งหน แม่นมเปาก็เอากระถางอุ่นมือมาให้ในทันที ฮูหยินติ้งกั๋วกงถือแล้วรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาหลายส่วน จากนั้นจึงเปรยช้าๆ “บอกมาเถิด คราวนี้เกิดอะไรขึ้น เป็เื่ใหญ่ขนาดไหนกัน ถึงได้ทำให้เ้ากลับมาด่วนจี๋เยี่ยงนี้”
ซุนซื่อสูดจมูก สูดแล้วสูดอีกก็ไม่ได้ตอบในทันที ทว่านางจับมือฮูหยินติ้งกั๋วกงไว้แทน “ท่านแม่ได้โปรดช่วยลูกด้วย”
ฮูหยินติ้งกั๋วกงคิ้วขมวด เอ่ยถามอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้น เ้าพูดมาก่อน”
“ลูก...ลูก...อยากให้ท่านแม่ช่วยลูกตามหาคน”
“ตามหาใคร?”
“ข้าสงสัยว่าฉินเิจะเลี้ยงผู้หญิงข้างนอก” ในที่สุดนางก็ได้บอกเื่ที่ทำให้นางน้อยอกน้อยใจออกมา ตามด้วยการขยายความในจังหวะการพูดที่เร็วขึ้นและเร็วขึ้น “ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เคยพูดกับแม่มาก่อนหรือ ที่ว่าคนของฉินเิที่อยู่ในเมืองเหลียงพบว่ามีคนผู้หนึ่งซึ่งคล้ายกับฉินเิ ถูกพบอยู่ใกล้ๆ เด็กคนนั้นถูกนำกลับมาในจวนวันนี้ ข้าเห็นแล้ว เป็ต้องตกตะลึง นางละม้ายคล้ายเขาตอนที่เขายังเป็หนุ่ม ฉินเิรักนางอย่างกับดวงตาตัวเอง แต่ข้าเห็นว่าเด็กนั่นไม่ได้คล้ายกับข้าเลย ข้าสงสัยว่าฉินเิกำลังเลี้ยงผู้หญิงข้างนอก เด็กผู้หญิงคนนี้เป็ลูกของผู้หญิงข้างนอก”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ ซุนซื่อได้ลุกขึ้นยืนและกัดฟันเค้นเสียงออกมา “วันนี้ข้าได้ถามฉินเิ ฉินเิยังขึ้นเสียงกับข้า แม้ว่าเขาไม่ได้ตบตีข้าแม้ปลายเล็บ แต่สายตาของเขาดูเหมือนว่าจะกินข้าดิบๆ อย่างไรอย่างนั้น เพื่อเด็กที่ไม่รู้ที่มา เขายังทำกับข้าได้ถึงขนาดนี้ เขาพาเด็กผู้หญิงที่ไหนกลับบ้านมาคนหนึ่ง บอกว่าข้าเป็คนให้กำเนิดนาง และจะให้ข้ายอมรับน่ะหรือ เขาฝันไปเถอะ ข้าจะต้องตรวจสอบเื่นี้ให้ชัดเจน”
ถ้อยคำยืดยาวทำให้ฮูหยินติ้งกั๋วกงเลียริมฝีปาก แต่กลับไม่ได้เอ่ยคำใด
แม่นมเปาที่อยู่ข้างๆ นั้นก็ก้มศีรษะต่ำลง สายตาของนางเหลือบไปที่ซุนซื่อ
ครั้นเห็นปฏิกิริยาของมารดายังนิ่งเงียบ ซุนซื่อจึงดึงมือเข้ามากอดและออดอ้อน “ท่านแม่ ช่วยลูกเถิด สั่งคนให้ไปตรวจสอบว่าฉินเิเลี้ยงผู้หญิงไว้ข้างนอกหรือไม่ ข้าไม่ได้ไม่อนุญาตให้เขามีอนุภรรยาเสียหน่อย ถ้าเขาเลี้ยงผู้หญิงไว้ข้างนอกจริงๆ ต้องให้ท่านพ่อสั่งสอนเขาให้เข็ดไปเลย อีกอย่าง ข้าอยากพิสูจน์ว่าเด็กคนนั้นใช่ลูกแท้ๆ หรือเปล่า จะให้คนอื่นพูดอะไร ข้าก็เชื่อไปเสียทุกอย่างไม่ได้นะเ้าคะ”
“นอกจากเ้าจะไม่ไว้ใจสามีของเ้าแล้ว ยังอยากจะตรวจสอบเื่ผู้หญิงข้างนอกอะไรนั่น แล้วยังอยากจะสืบประวัติเพื่อตรวจว่าใช่ลูกแท้ๆ ของเ้าหรือเปล่า?” น้ำเสียงฮูหยินติ้งกั๋วกงระคนความโมโห
แม้น้ำเสียงของมารดาจะไม่ชอบมาพากล ทว่าซุนซื่อกลับไม่เข้าใจ ซ้ำร้ายยังนึกน้อยใจ “ใช่แล้วเ้าค่ะ ท่านแม่จะดุขนาดนี้ทำไมกัน”
ฮูหยินติ้งกั๋วกงกัดฟันแน่น นางควบคุมอารมณ์ไม่ให้เดือดดาลอยู่หลายครั้ง นางทิ้งกระถางอุ่นมือ จากนั้นตบซุนซื่อไปหนึ่งหน
แรงตบไม่ได้มากมาย ไม่เท่ากับครั้งที่ซุนซื่อตบฉินหยีหนิง เพียงแต่ซุนซื่อถูกเลี้ยงมาแบบตามใจ ปกติแล้วฮูหยินติ้งกั๋วกงจะอารมณ์เสียอย่างนี้น้อยมาก อีกทั้งนางอายุเกือบจะสี่สิบแล้ว ยังต้องโดนแม่แท้ๆ ตบหน้า ใจของนางย่อมรับไม่ได้ เมื่อสักครู่นางเพิ่งหยุดร้องไป ทว่าน้ำตากลับร่วงหล่นออกมาอีกรอบอย่างง่ายดาย
ความจริงนางอยากเปล่งเสียงร้องไห้ออกมาดังๆ แต่เพราะเห็นท่าทีโกรธขึ้งของมารดา นางจึงไม่กล้าทำให้บุพการีโมโหไปมากกว่านี้ นางได้แต่คุกเข่าร้องไห้สะอึกสะอื้นเท่านั้น กิริยาท่าทางราวกับอนุภรรยาตัวน้อยๆ กำลังโดนรังแก
อย่างไรก็ดี ฮูหยินติ้งกั๋วกงกลับยิ่งโมโหขึ้นอีก พลางชี้ไปที่จมูกของบุตรสาวและกล่าวตำหนิ “ฮั่นเจี่ยร์ เ้าก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ ทำไมยังไม่มีสมองอีก สามีเ้ามีตำแหน่งระดับไหนแล้ว มีคนที่กำลังจ้องจะจับผิดเขาก็ตั้งเยอะ คนเยินยอก็นับแทบไม่ถ้วน เ้ายังกล้ามีปากเสียงกับเขาอีก ยังกล้าพูดว่าจะกลับบ้านแม่ก็กลับมา เ้าทำเช่นนี้ จะให้ผู้ชายของเ้าเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
เ้ายังอยากจะตรวจสอบผู้หญิงข้างนอกอะไรนั่น อีกทั้งยังอยากสืบประวัติอีก เ้ามีสมองหรือเปล่า? เื่นี้ ถ้าเป็คนทั่วไปก็ตรวจสอบไม่ได้ นอกจากจะตรวจสอบไม่ได้ เ้ายังต้องยอมรับ ต้องยอมรับอย่างดีใจ”
“ได้อย่างไรกัน” ซุนซื่อถึงกับขุ่นเคือง นางเถียงคอแข็ง “เด็กป่าคนนั้นเป็เด็กป่า ทำไมข้าต้องยอมรับด้วย”
“โง่! โง่!” ฮูหยินติ้งกั๋วกงโมโหจนต้องกระทืบเท้าตนเอง พลางเอ่ย “เ้าแต่งงานกับสามีมาหลายสิบปี มีเพียงแค่ฮุ่ยเจี่ยร์ลูกสาวคนเดียว สามีเ้าก็ได้บอกแล้ว ว่าฮุ่ยเจี่ยร์ไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่เด็กที่มาใหม่ต่างหากคือลูกแท้ๆ หากเ้าคิดหาทาง เพื่อหาคำตอบว่าเด็กที่มาใหม่คนนั้นไม่ใช่ลูกแท้ๆ เ้าก็จะไม่เหลือลูกแท้ๆ เลยสักคนแล้วสิ”