เหอตังกุยกระชับเสื้อคลุมหนาก่อนเดินไปยังสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเพื่อสำรวจว่าคือสัตว์ร้ายชนิดใดที่ปลิดชีพอีกาหลายร้อยตัวเช่นนี้
สัตว์ป่าบนพื้นดินไม่สามารถโจมตีอีกาบนท้องฟ้าได้ แม้สัตว์ป่าหลายสิบตัวโจมตีพร้อมกันก็เป็ไปไม่ได้ที่จะทำให้เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็พวกสัตว์ป่าดุร้าย เช่น สิงโต เสือดาว เสือโคร่งและหมาป่าในสวนตระกูลหลัว หรือนกบนท้องฟ้า เช่น เหยี่ยวขาวและนกไห่ตงชิง ก็สามารถจับอีกาได้มากที่สุดเพียงสี่ตัวต่อครั้งเพื่อกินเป็อาหารเท่านั้น นอกจากนี้ป่าไผ่ขมยังเป็แหล่งล่าสัตว์ตามธรรมชาติของนกขนาดใหญ่ เหตุใดพวกมันจึงยอมสละผลประโยชน์ระยะยาวเพื่อผลประโยชน์เฉพาะหน้า กิน “สิ้นเปลือง” โยนเนื้อทิ้งเืลงพื้นอย่างไร้ประโยชน์…เอ๊ะ?
เหอตังกุยก้มมองก่อนพบว่ากะโหลกและสมองของอีกาส่วนใหญ่ถูกบดขยี้ ทว่านกอินทรีที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้
หากไม่ใช่สัตว์ป่า ไม่ใช่นก หรือคนเป็ผู้กระทำ? นางขมวดคิ้วก่อนคุกเข่าลงพิจารณาซากศพอีกาเ่าั้ พวกมันถูกแบ่งออกเป็หกส่วน ข้อต่อไม่สมบูรณ์และน่าหวาดกลัวนัก หากคนเป็ผู้กระทำจริง จากสภาพศพไม่มีทางที่อาวุธจะเป็ดาบหรือขวาน...เห็นได้ชัดว่าอีกาเหล่านี้ถูกฉีกเป็ชิ้น ๆ
เหอตังกุยหายใจเข้าลึก แม้คนทั่วไปจะมีความคิดโหดร้ายแต่ก็ยากจะนำไปปฏิบัติจริง ิัของอีกามีกล้ามเนื้อและกระดูกจำนวนมาก ยากจะตัดด้วยดาบหรือขวาน ผู้ที่สามารถฉีกอีกาเป็ชิ้นเช่นนี้ได้ต้องเป็ยอดฝีมือด้านวรยุทธ์ทีเดียว
ยอดฝีมือที่ดีที่สุดในจวนตระกูลหลัวตงคือเนี่ยชุน รองลงมาคือสี่ทหารอารักขา หรืออาจเป็ทหารอารักขาหญิงนิรนามของคุณหนูรองหลัวไป๋ฉยง ครั้งหนึ่งหลัวไป๋ฉยงเคยตกน้ำขณะกลับไปเยี่ยมตระกูลซุน หงซีไป๋ผู้ดูแลความเรียบร้อยของพรรคกระยาจกจึงแนะนำทหารอารักขาหญิงแก่เอ้อร์ไท่ไท่ เพื่ออารักขาความปลอดภัยเมื่อหลัวไป๋ฉยงออกนอกบ้าน ภาพลักษณ์ของทหารอารักขาหญิงผู้นั้นยากจะคาดเดาเสมอ นอกจากนี้ เหลียงซื่อชายารองของนายท่านสามก็เคยฝึกวรยุทธ์ แต่เหอตังกุยไม่รู้ว่าฝีมือของนางอยู่ระดับใด จำได้เพียงราง ๆ ว่าเหลียงซื่อมีทักษะขี่ม้าซึ่งสามารถบอกได้ว่านางมีพื้นฐานกำลังภายใน อย่างไรก็ตาม เหลียงซื่อติดตามนายท่านสามไปค้าขายทางตอนเหนือจึงมั่นใจได้ว่าไม่ใช่นางแน่นอน
ไม่ว่าจะเป็เนี่ยชุน สี่ทหารอารักขาหรือทหารอารักขาหญิงลึกลับของหลัวไป๋ฉยง พวกเขาทั้งหมดดูนิ่งสงบเป็ปกติ มีสติและมีเหตุมีผล นางไม่คิดว่าพวกเขาจะทำเื่บ้า ๆ เช่นนี้ แม้อีกาเหล่านี้จะน่ารำคาญ แต่พวกมันก็ไม่เคยบินไปที่เรือนตระกูลหลัว แล้วจะฆ่าพวกมันด้วยวิธีน่ากลัวเช่นนี้ได้อย่างไร? ชาติที่แล้วเหอตังกุยเคยทำงานให้หออู่อิง ทั้งยังเคยเห็นฉากต่อสู้นองเืทุกรูปแบบรวมถึงการฆ่าล้างโคตร แต่การสังหารหมู่ที่น่าใเช่นนี้กลับพบเห็นไม่บ่อยนัก
เหอตังกุยส่ายศีรษะ ไม่ว่าจะนึกอย่างไรก็ยังเป็ปริศนา มีคนโเี้อาศัยในตระกูลหลัว ต่อไปคงต้องระมัดระวังให้มากกว่านี้ อย่างไรกำลังภายในและลมปราณเจินชี่ของนางต่างตกอยู่ในสภาพกึ่งอัมพาต แม้ชาติที่แล้วจะเคยฝึกฝนวรยุทธ์แต่อายุของนางก็เพิ่งจะสิบขวบเท่านั้น นางไม่เคยใช้ร่างเล็กนี้ฝึกมวยหรือฟันดาบ เป็การดีกว่าหากเลือกหนีขณะตกอยู่ในอันตราย
เหอตังกุยเดินสำรวจตลอดทาง ในที่สุดก็ออกจากป่าไผ่ขมน่าขยะแขยงได้ นางเปิดประตูหลังเงียบ ๆ ก่อนเดินกลับเข้าเรือนทิงจู ขัดสิ่งสกปรกออกจากรองเท้าที่มุมสนามภายใต้เปลวไฟส่องสว่าง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครจึงรีบใช้ทางลัดวิ่งเข้าห้องนอนทางโถงตงฮวาตะวันออกทันที
ขณะวิ่งตามระเบียงทางเดินยาวพลันปรากฏเงาสีแดงเข้มด้านหลังประตูกะทันหัน คนผู้นั้นยืนมองร่างบางที่ปลายระเบียงเป็เวลานาน
หนิงยวนขมวดคิ้วแน่นพลางไตร่ตรองข้อสงสัยทั้งสอง ใครกันที่ทำเื่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ เหตุจูงใจคืออะไร แต่เื่นี้ค่อยคิดทีหลังก็ได้ สิ่งที่เขาประหลาดใจที่สุดคือปฏิกิริยาที่ผิดปกติของเด็กสาวตัวเล็กผู้นั้น
ก่อนหน้านี้เขาเห็นซากศพเปื้อนเืกระจัดกระจายเต็มพื้น ใจแกร่งดุจหินผายังสั่นสะท้านไม่หาย ผู้กระทำเื่น่าขยะแขยงเช่นนี้ นอกจากจูหยวนจาง จูกาง เฉาหงรุ่ยและเกิ่งปิ่งซิ่ว เขาก็คิดไม่ออกว่าจะมีใครใจคอโเี้มากกว่านี้อีก เมื่อคิดถึงเื่ที่เกิดขึ้นกับเสด็จแม่ก็พลันเกลียดชังซากศพเ่าั้ จึงเดินออกห่างเพื่อหลีกเลี่ยง ขณะเดินเข้าประตูหลังเรือนทิงจูก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดัง “กรอบแกรบ” ทันใดนั้นก็เห็นร่างบางในชุดสีฟ้าเดินมาทางเขา
ปฏิกิริยาแรกของเขาคือเดินออกจากประตูหลังทันที สับเปลี่ยนเข้าประตูหน้าเรือนซีฮวาฝั่งตะวันตก
แม้าแของเขาจะได้รับการรักษาแต่ก็ยังไม่ดีขึ้น ทว่าเขาสามารถใช้วิชาตู้ชู่[1] วิ่งไปยังประตูหน้าได้ เมื่อเสียงกรีดร้องของสตรีเด็กดึงดูดทุกคนเข้ามา ตอนนั้นไม่ว่าจะประตูหลังหรือประตูหน้าล้วนเบียดเสียด หากอยากกลับก็คงยากเสียแล้ว เขาไม่ชอบสตรีตระกูลหลัวที่เสียงดังเหมือนเป็ดเ่าั้
ครู่หนึ่งก่อนจากไป เขามองเด็กหญิงตัวเล็กที่เอ่ยขู่เขาไม่นานมานี้ ในภาพทรงจำ...เขาไม่เคยเห็นนางตื่นตระหนกแม้ถูกม้าเหยียบหลัง หนิงยวนยกริมฝีปากบางเล็กน้อยพลางหัวเราะเยาะก่อนเอ่ยในใจ เมื่อนางเห็นกองซากศพเ่าั้ สีหน้าที่แสดงออกต้องยอดเยี่ยมมาก เสียงร้องไห้ก็ต้องไพเราะแน่...
หนิงยวนมองเย้ยอีกฝ่าย เด็กหญิงตัวเล็กในชุดสีฟ้าทับด้วยเสื้อคลุมหนามีหมวกเดินออกจากป่าไผ่ช้า ๆ พลางเหลือบมองกอไผ่มืดมิดเป็ระยะ ท่าทางไม่สบายใจเท่าไรนัก หนิงยวนยิ้มเยาะ “เ้ารู้หรือยังว่าความกลัวคืออะไร ใครใช้ให้เ้าวิ่งเข้าไปั้แ่แรก? ฮึ ความน่าหวาดกลัวยังรอเ้าอยู่”
เป็ดังคาด เด็กหญิงตัวเล็กเริ่มสังเกตเห็นสิ่งตรงหน้า...ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงวิ่งไปสำรวจทันที
เมื่อนางเดินเข้าใกล้ หนิงยวนก็ซ่อนตัวในเงามืดของกำแพงเพื่อสังเกตท่าทีที่เปลี่ยนไปของนาง ขณะนี้หนิงยวนผู้กังวลเกี่ยวกับเื่ต่าง ๆ ในเมืองต้าิตลอดเวลาพบสิ่งน่าสนใจแล้ว แววตาของเด็กสาวช่างสดใสเป็ประกาย เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ใและความใคร่รู้ที่ไม่อาจซ่อน
นางรวบชายเสื้อคลุมสีฟ้าด้วยมือซ้ายอย่างระมัดระวัง ก่อนทัดปอยผมที่ปรกหน้าด้วยมือขวา โน้มตัวลงอย่างสง่างาม…มองรอบ ๆ ซากศพที่ถูกฉีกเป็ชิ้น เอนศีรษะเข้าใกล้ก่อนเงยหน้าด้วยสีหน้าครุ่นคิดแล้วก้มมองอีกครั้ง นางมองดูซากศพเปื้อนเืตลอดทางด้วยความสนใจ ในที่สุดนางก็เดินถึงประตูหลังเรือนทิงจู นางมองย้อนกลับไปเป็ครั้งสุดท้ายก่อนเดินกลับเรือนทิงจูอย่างไม่เต็มใจนัก
เมื่อนางจากไปไกลแล้ว หนิงยวนก็ออกจากเงากำแพงช้า ๆ พลางมองแผ่นหลังอีกฝ่ายอย่างเ็า
นางเป็ใครกันแน่?
นางรู้จักดอกหัวเลี่ยที่หายากยิ่งในแผ่นดินนี้… ยารักษาโรคที่นางทำมีประสิทธิภาพมากกว่ายาของสำนักหมอหลวง… นางเกือบสละชีวิตเพื่อช่วยคนที่ไม่รู้จัก หนิงยวนไม่เคยเห็นหญิงสาวสูงศักดิ์ปฏิบัติต่อผู้ต่ำต้อยกว่าเช่นนี้
ไม่ต้องเอ่ยถึงคนอื่นไกล องค์หญิงหลินอันเสด็จพี่คนโตของเขามักแสดงความเมตตาต่อผู้คนเสมอ นางไปวัดต้าเหลียงนอกเมืองหลวงทุกเดือน แจกเงินและข้าวให้คนยากไร้จนกลายเป็นิสัย เขาคิดว่าพี่สาวคนโตมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นยิ่งนัก กระทั่งครั้งหนึ่งเมื่อเขาไปวัดกับนางเพื่อแจกจ่ายเสื้อผ้ากันหนาวให้คนยากจน หญิงวัยเจ็ดสิบปีคนหนึ่งลุกขึ้นขอบคุณและเขย่ากระโปรงนาง ขณะนั้นเขาเห็นชัดเจนว่าดวงตาของนางฉายแววรังเกียจ ต่อมานางเดินไปห้องโถงด้านในโดยอ้างว่าง่วงนอน เมื่อออกมาอีกครั้ง ชุดของนางกลับแตกต่างจากเดิม หนิงยวนจึงเลี่ยงฝูงชนแอบเข้าห้องโถงด้านหลังก่อนพบชุดไหม้เกรียมถูกทิ้งไว้ในเตาไฟ
เด็กหญิงคนนั้นน่าสนใจไม่น้อย…จำได้ว่าเหล่าไท่ไท่เรียกนางว่า “เสี่ยวอี้” ในชื่อของนางมีคำว่า “อี้” ด้วยหรือ? นางแซ่อะไร? นางเป็หลานสาวตระกูลหลัว…ไม่รู้ว่าบิดาเป็ขุนนางฝ่ายใดของราชสำนัก…ถึงให้ลูกสาวทำความรู้จักแขกคนนอกเช่นลู่เจียงเป่ย เห็นได้ชัดว่าพ่อของนางอาจเกี่ยวข้องกับหอฉางเยี่ย หรือพ่อของนางเป็ขุนนางฝ่ายสนับสนุนอ๋องเหยียนพี่ชายคนที่สี่ของเขา…
เด็กสาวที่โดดเด่น สุขุมและมีใบหน้างดงาม อายุสิบขวบแต่ยังไม่ออกเรือน... แม้ภูมิหลังของครอบครัวนางจะไม่คู่ควรเป็ชายาหรือสนมของเขา แต่เขาก็สามารถรับนางเป็นางบำเรอได้ อย่างไรตอนนี้ตำหนักอ๋องหนิงก็มีเพียงชายารองว่านหลิงและสนมโจวจิงหลัน บางครั้งตำหนักก็เงียบเหงา หากมีหญิงสาวน่าสนใจเช่นนี้อยู่ด้วย ชีวิตคงมีสีสันไม่น้อย… ยิ่งไปกว่านั้นการทำเช่นนี้ยังสามารถตัดอำนาจอ๋องเหยียนได้ เพื่อไม่ให้อ๋องเหยียนเก็บสิ่งนี้ไว้ใช้ ช่างเป็การซื้อขายที่เลวเสียจริง
เหอตังกุยไม่รู้ว่านางดึงดูดความสนใจปีศาจเข้าเสียแล้ว นางมองรอบ ๆ เพื่อไม่ให้ถูกพบจึงกลั้นหายใจวิ่งเข้าห้องโถงตงฮวาฝั่งตะวันออกจนสุดทาง ก่อนะโเข้าห้องนอนอย่างรวดเร็ว หลังพบว่าห้องมืด อีกทั้งผ้าห่มยังคงเดิมจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางคิดจะดื่มชาเพื่อดับกระหาย จากนั้นก็จะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปทักทายเหล่าไท่ไท่
ขณะเดียวกันผ้าห่มบนเตียงก็ขยับเขยื้อน ทันใดนั้นสาวใช้มัดจุกสองข้างก็โผล่หัวออกมาพร้อมดวงตากลมโตราวผลซิ่ง เหอตังกุยใแต่เมื่อจำใบหน้าสาวน้อยผู้นี้ได้ก็หัวเราะทันที “ฉานอี เ้าทำอะไร? เหตุใดจึงดึงผ้าห่มคลุมตัวเหมือนแมวขี้เซาเช่นนี้เล่า?”
ภายใต้สายตาประหลาดใจของเหอตังกุยที่มองตรงมายังนาง ฉานอีสะบัดผ้าห่มก่อนะโขึ้นเตียง นางจับไหล่เหอตังกุยแน่นแล้วเขย่า พลางพูดเสียงแหลมแข็งกร้าว “เหตุใดคุณหนูจึงทำเช่นนี้? เ้าหายไปไหนมา ขอให้ข้าและไฮว่ฮวาเด็ดดอกไม้ พวกเราก็ทำ หลังช่วยแม่นางจีแจกจ่ายเงินและยาไม่กี่ชั่วยามจึงเข้าไปในตระกูลหลัว เหล่าไท่ไท่บอกว่าเ้านอนอยู่ในห้อง ให้พวกข้าเข้าไปคอยรับใช้ ทว่ากลับไม่พบเ้า เหตุใดเ้าไม่นอนในห้อง? รู้หรือไม่ว่าพวกข้ารู้สึกอย่างไรตอนพบว่าเ้าไม่อยู่ในห้อง?”
เหอตังกุยจ้องริมฝีปากและปลายจมูกของฉานอีที่ขึ้นลงเป็จังหวะ เมื่อฉานอีพูดจบ เหอตังกุยก็กำลังจะอธิบาย แต่ฉานอีกลับไม่เปิดโอกาสแม้แต่น้อย
“เมื่อพวกข้าพบว่าเ้าไม่ได้นอนอยู่บนเตียงก็ร่วมกันคิดเพื่อช่วยเ้าปิดบัง ในที่สุดก็มีทางออก ไฮว่ฮวาต้องออกไปเฝ้าด้านนอก ส่วนข้าก็ต้องแกล้งเป็เ้า เหล่าไท่ไท่ส่งเฉ่านั่นเฉ่านี่ ผู่กงอิ๋งนั่น เซียงชุนหยานี่และสาวใช้อีกหลายคนมาถามเ้าหลายสิบครั้ง แต่พวกนางทั้งหมดถูกขวางโดยไฮว่ฮวา” ฉานอีพูดต่อไม่ไหวจึงพักหายใจก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “คุณหนู เ้ารู้หรือไม่ว่าข้ารู้สึกอย่างไรขณะแสร้งหลับบนเตียง? เมื่อข้านอนตรงนั้น สิ่งต่าง ๆ ก็เริ่มแปลกประหลาด ข้าคิดว่าเ้าถูกลูกพี่ลูกน้องแสนน่ากลัวของเ้าลักพาตัว จึงปรึกษากับไฮว่ฮวาว่าจะไปขอความเป็ธรรมกับเหล่าไท่ไท่ด้วยกัน”
เหอตังกุยเข้าใกล้ฉานอีขณะนางพูด พลางถอดเสื้อคลุมที่ฉาบด้วยน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วง รินชาสมุนไพรหนึ่งถ้วยก่อนดื่มจนหมด มีขนมไหว้พระจันทร์ทำจากนมวัวหอมกรุ่นวางบนโต๊ะ น่าลิ้มลองยิ่งนัก ราวกับมันกำลังพูดว่า “กินข้าสิ” เหอตังกุยมองมือเปื้อนโคลนของตนด้วยความหดหู่ เมื่อหันไปเห็นน้ำบนอ่างล้างหน้าข้างโต๊ะเครื่องแป้งจึงไปล้างมือทันที
เมื่อฉานอีเห็นท่าทีของเหอตังกุยก็ทุบต้นขาของตนด้วยความโมโหพลางะโ “หากเป็เพียงเหล่าไท่ไท่เรียกเ้ากินข้าวเย็นแล้วเ้าไม่อยู่ก็ไม่ใช่เื่ใหญ่อันใด แต่คุณหนูรู้หรือไม่ว่าในบ้านเกิดเื่ใหญ่ พี่เซียงชุนหยามาที่นี่พร้อมบอกว่าต่งซื่อรู้ว่าเหล่าไท่ไท่และเ้ากลับถึงจวนแล้ว แต่กลับซ่อนตัวไม่ยอมพบใคร นางจึงพาคนจำนวนมากมาทุบประตูหน้าเสียงดังสนั่น”
เหอตังกุยหยิบแป้งอิ๋งอิ๋งที่นางพกติดตัวทาใบหน้าเล็กน้อย หลังเกลี่ยสม่ำเสมอแล้วก็เดินไปที่โต๊ะ ใช้มือสะอาดหยิบขนมไหว้พระจันทร์ขึ้นมา
“ท่ามกลางความเงียบสงบ ข้าได้ยินเสียงเล็กแหลมดังอยู่หน้าประตูจวน นางบอกว่าอยากพบ ‘เหอตังกุย’ เพื่อจะคิดบัญชีกับเ้า เสียงนั้นราวจะกินคนก็ไม่ปาน” ฉานอีเคาะโต๊ะเตือนคนที่หิวมากจนลืมชื่อแซ่ของตน “หยุดกินได้แล้วคุณหนู เ้าคือเหอตังกุยนะ”
หลังเหอตังกุยกลืนขนมไหว้พระจันทร์สองสามชิ้นก็มองรอบ ๆ ห้องก่อนพบว่ามีกล่องและตะกร้าวางอยู่ นางกำชับว่า “หาเสื้อคลุมสีชมพูที่ต้วนเสี่ยวโหลวมอบให้ข้าก่อนจากให้ที” กล่าวจบก็รินชา จิบเล็กน้อยก่อนถอนหายใจ “ดื่มน้ำเย็นในคืนเหน็บหนาว ทุกอย่างอยู่ในใจข้า”
ฉานอีรีบเปิดกล่องและตะกร้าก่อนค้นหาตามคำสั่ง นางยังคงพูดต่อ “เหล่าไท่ไท่เชิญต่งซื่อและคุณหนูสี่เข้ามาในห้องโถง ขณะเดียวกันก็ขอให้เซียงชุนหยาเรียกเ้า แต่เ้ากลับไม่อยู่ในห้อง รู้หรือไม่ว่าตอนนั้นข้ารู้สึกอย่างไร?”
“เมื่อครู่เ้าได้ยินเสียงประทัดหรือไม่” เหอตังกุยเอ่ยขัดจังหวะด้วยน้ำชาครึ่งหนึ่งในปาก ก่อนเงยหน้าถาม “ตอนนอนในห้องได้ยินเสียงประทัดลอยมาแต่ไกลหรือไม่?”
ฉานอีพยักหน้าด้วยความงุนงง “เอ่อ…ใช่ ข้าได้ยิน...นานแล้ว”
เหอตังกุยปัดเศษขนมบนมือก่อนลุกขึ้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้เห็นพี่สะใภ้และน้องสี่มานาน คิดถึงพวกนางยิ่งนัก พวกเราต้องชดเชยเวลาที่เสียไป ฉานอีมากับข้า มีเพื่อนเก่าบางคนที่ข้าอยากให้เ้ารู้จัก”
------------------------------------------------------
[1] วิชาตู้ชู่คือวรยุทธ์ที่มีเอกลักษณ์และเป็ที่นิยมในญี่ปุ่น เชี่ยวชาญการหลบหนีหรือโจมตีผู้อื่น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้