"คอ... ยังไม่หายดี" เหลียนเซวียนตอบกลับมาแค่ประโยคเดียว
เซวียเสี่ยวหรั่นพลันตระหนักได้ "อ้อๆ จริงด้วยสิ เพิ่งจะหาย ควรพูดให้น้อยหน่อย พักอีกสักสองสามวัน"
เธอรับผ้าเช็ดตัวมาจากมือเขา ยิ้มจนดวงตาโค้ง "ก็ได้ รอให้ท่านหายดีก่อน ข้าค่อยถาม ยังมียาอีกสองวัน หลังจากนี้ยังต้องจัดยาชุดเดิมต่อหรือไม่"
เหลียนเซวียนส่ายหน้า ห้าชุดก็เพียงพอ หลังจากนี้จะค่อยๆ ฟื้นฟูเอง
"ไม่นึกเลยว่าท่านจะรู้วิชาแพทย์ ยังรักษาตนเองได้อีกด้วย ร้ายกาจจริงๆ"
จอมยุทธ์ฝีมือร้ายกาจ ยังรู้วิชาแพทย์ ยอดเยี่ยมที่สุด แต่ในเมื่อเขาเก่งกล้าขนาดนี้ เหตุใดตอนแรกถึงถูกผู้อื่นทรมาทรกรรมจนกลายเป็แบบนั้นก็ไม่รู้
เหลียนเซวียนส่ายหน้า เขาไม่ได้เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ แค่ตอนอยู่บนเขาราชันโอสถอ่านตำราแพทย์ไม่น้อย เขาความจำดี จึงจำตำรับยารักษาโรคได้มากมาย
เมื่อก่อนได้รับอิทธิพลมาจากอาจารย์และศิษย์พี่ ทั้งเห็นและได้ยินอยู่เป็ประจำ ความรู้สมุนไพรพื้นฐานต้องรู้อยู่แล้ว
เซวียเสี่ยวหรั่นนึกว่าเขาถ่อมตัว ยิ้มตาหยีเข้าครัวไปเก็บของ
เช้าวันต่อมา เซวียเสี่ยวหรั่นตื่นขึ้นพร้อมกับเสียงฝนพรำ
"ฝนตกเหรอ?" เธออ้าปากหาวลุกขึ้นจากเตียง
ดึงประตูเปิด พื้นดินเปียกแฉะ ทิวเขาเขียวขจีหลังเขาปกคลุมไปด้วยม่านหมอกและสายฝน
เหลียนเซวียนนั่งบนเก้าอี้ที่ระเบียง เขาตื่นเช้า ก็ใช้ไม้เท้าประคองตนเองเดินออกมาจากห้อง อาเหลยอยู่ไม่ไกลจากข้างกายเขา วันฝนตก มันไม่อาจหนีไปเที่ยวหลังเขา
"เหลียนเซวียน อรุณสวัสดิ์"
เห็นเหลียนเซวียนในอาภรณ์ตัวยาวสีดำนั่งหลังตรงอยู่ที่ระเบียง ดวงตาของเซวียเสี่ยวหรั่นทอประกายวับวาว
เธอยังไม่ลืม เื่ที่เมื่อวานนี้เหลียนเซวียนพูดได้แล้ว
"อรุณ... สวัสดิ์" เสียงต่ำแหบพร่าราวกับกรวดทรายเสียดสีกัน
น้ำเสียงแหบพร่า ชัดเจนว่าคอยังไม่หายดี แต่แปลกที่เซวียเสี่ยวหรั่นกลับรู้สึกว่าเสียงแหบเช่นนี้มีเสน่ห์น่าดึงดูดเป็พิเศษ
เซวียเสี่ยวหรั่นเดินเข้าไปหาอย่างอดไม่ได้
"คอของท่านดีขึ้นกว่าเมื่อวานไหม"
เหลียนเซวียนเหลือบมองเธอด้วยหางตา ต้นกล้าจะแตกกิ่งก้าน ดอกไม้จะเบ่งบานในคืนเดียวหรือไม่เล่า?
"แหะๆ ท่านล้างหน้าหรือยัง หากยังไม่ล้าง ข้าจะไปตักมาให้"
เห็นเขาไม่หือไม่อือ เธอก็ไม่แยแส สนใจแต่จะประนีประนอมสถานการณ์ เธอเคยชินกับสีหน้าเ็าของเขาแล้ว
"ล้าง... แล้ว" เสียงแหบพร่าทุ้มต่ำมีเสน่ห์ของบุรุษแทรกแซงอยู่ท่ามกลางสายฝน
เซวียเสี่ยวหรั่นหูผึ่งทันที
คอยังไม่หาย เสียงยังน่าฟังขนาดนี้ เบื้องหน้าของเซวียเสี่ยวหรั่นราวกับเห็นหมู่ดาวระยิบระยับ
"เอ้อ... แท่งสีฟันของท่านอยู่ริมหน้าต่างด้านซ้าย คงไม่หยิบผิดใช่ไหม" เซวียเสี่ยวหรั่นอยากฟังเขาพูดอีกสักหน่อย
รายละเอียดยิบย่อยแบบนี้บอกแค่รอบเดียว เขาก็จำได้แล้ว ไม่มีทางจะจำผิด พอเอ่ยถามออกไปแล้ว ก็นึกเสียใจภายหลัง
เหลียนเซวียนมองเธอด้วยสายตาชอบกล ก่อนจะส่ายหน้า
เซวียเสี่ยวหรั่นแลบลิ้น ั้แ่เมื่อวานถึงบัดนี้ เขาพูดรวมกันแล้วยังไม่ถึงสิบประโยคด้วยซ้ำ
คนอะไรพูดน้อยจนน่าอึดอัด เซวียเสี่ยวหรั่นแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขา ก่อนวิ่งไปห้องครัว
ฝนฤดูใบไม้ผลิโปรยปรายไปเสียครึ่งวัน อุณหภูมิ่กลางวันค่อยๆ ค่ำลง
หลังจากล้างหน้าแปรงฟันแล้ว เซวียเสี่ยวหรั่นหนึ่งชามออกมาจากกระสอบ ใส่เกลือลงไปในแป้งเล็กน้อย ตอกไข่ใส่ลงไปฟองหนึ่ง หลังจากนั้นก็เติมน้ำลงไป แล้วค่อยๆ นวดให้เป็ก้อนกลม
หลังนวดเข้ากันดีแล้วก็พักแป้งบนเขียง
เธอวิ่งกลับไปห้องของตนเอง หยิบหวีและยางรัดผมออกมา หลังจากหวีผมที่ยาวประบ่า ก็เกล้าขึ้นเป็ทรงกลมหลวมๆ นี่คือทรงผมของสตรีออกเรือนที่ง่ายที่สุดแล้ว ซึ่งเธอเรียนรู้มาจากซีมู่เซียง
ผมม้าของเซวียเสี่ยวหรั่นยาวมากแล้ว สามารถหวีหน้าม้าทั้งหมดเกล้าขึ้นเป็มวยกลมเผยให้เห็นหน้าผากเกลี้ยงเกลา
ถ้าไม่ใช่ว่ารูปหน้าของเธอตอนนี้เรียวจนแตะเส้นคำว่างดงามแล้ว เธอคงไม่กล้าหวีเปิดหน้าผากขึ้นเช่นนี้
เซวียเสี่ยวหรั่นส่องกระจกบานจิ๋ว มองมวยผมที่คล้ายดอกไม้ตูมบนศีรษะของตนเองอย่างพึงใจ
ในความเห็นของเธอ การเกล้าผมเป็ทรงกลมกับการมุ่นมวยผมวิธีคล้ายกันมาก ต่างกันแค่การเกล้าต้องรัดให้ตึง แต่การมุ่นมวยต้องหลวมหน่อย
เซวียเสี่ยวหรั่นเกี่ยวลูกผมลงมาเล็กน้อย เพื่อไม่ให้หน้าผากดูโล่งเกินไป ถึงเก็บหวีกับกระจกลงอย่างพึงพอใจ
ด้านนอก สายฝนบดบังท้องฟ้าจนมืดมัว ม่านไอน้ำปกคลุมไปทั่วบริเวณ
เหลียนเซวียนนั่งตรงระเบียง เงยหน้ามองไปไกลแสนไกล ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ใบหน้ามีแต่ความเคร่งขรึมเ็า
"เหลียนเซวียน ที่ข้าขอให้ท่านช่วยเหลาเข็มถักไหมพรมให้ เสร็จหรือยัง" น้ำเสียงที่คุ้นเคยรั้งสติของเหลียนเซวียนกลับมา
เขาหันมาผงกศีรษะน้อยๆ มองหญิงสาวที่ะโโลดเต้นอยู่ตรงระเบียง
นางอายุสิบแปดจริงหรือ? เหตุใดจึงไม่มีความเป็ผู้ใหญ่เลยสักนิด
เดินราวกับเด็กหญิงอายุสิบขวบ
มิน่าจึงบ่นกับแม่นางสกุลซีว่าชายกระโปรงยาวเกินไป เดินไม่สะดวก
มีสตรีบ้านไหนเหมือนกับนางบ้าง เดินราวกับติดพายุใต้ฝ่าเท้าตลอดเวลา
"อยู่... บนโต๊ะ" เขาตอบกลับมาเรียบๆ
"ตั้งแปดเล่มเหลาเสร็จหมดเลยหรือ" หญิงสาวที่ะโราวกับกระต่ายแล่นฉิวไปอยู่ข้างกายเขา
เหลียนเซวียนผงกศีรษะอย่างเคร่งขรึม
พอไม่ได้ยินเขาเอ่ยคำใดมากกว่านั้น เซวียเสี่ยวหรั่นก็เบะปาก ยกชายกระโปรงเข้าไปในห้องของเขา
เข็มถักไหมพรมแปดเล่มวางอยู่บนโต๊ะ มีเศษไม้กองอยู่ใต้โต๊ะ
เธอหยิบเข็มถักไหมพรมไปวางบนโต๊ะสี่เหลี่ยมในห้องโถง หลังจากนั้นก็หยิบไม้กวาดมากวาดเศษไม้ในห้องให้สะอาด
พอเสร็จเรียบร้อย ก้อนแป้งที่พักไว้ก็ได้ที่
เซวียเสี่ยวหรั่นกลับมาที่ห้องครัว เริ่มใส่น้ำลงในหม้อ รอจนกระทั่งน้ำเดือด บะหมี่ก็นวดเสร็จแล้วเช่นกัน
ไม่มีน้ำสต๊อก ใช้แค่น้ำเปล่าต้มบะหมี่รสชาติก็คงแย่หน่อย แต่ซีมู่เซียงให้ซอสพริกที่บ้านของพวกเขาทำเอง ซึ่งใส่ขิงสด กระเทียมและพริกเขียวกับพริกแดงสับผสมเข้าด้วยกัน ทั้งหอมและเผ็ดมาก
เธอเอาบะหมี่มาทำเป็บะหมี่แห้ง ใส่ซอสพริกกับต้นหอมสับ จากนั้นก็โรยด้วยขิงและกระเทียมเจียว กลิ่นหอมมาก
เพียงแต่รสชาติจะเผ็ดอยู่สักหน่อย
ชามของอาเหลยไม่ใส่ซอสพริก ใส่แค่ขิงเส้นกระเทียมและต้นหอมสับ
อาเหลยกินอย่างเอร็ดอร่อย ใช้มือหยิบบะหมี่ทีละเส้นเข้าปาก หลังจากนั้นก็ดูดซู้ดๆ เข้าไปอย่างมีความสุข
บะหมี่แห้งของเหลียนเซวียนชามใหญ่เป็พิเศษ แม้จะใส่ซอสพริกเพียงเล็กน้อย แต่หลังจากเขากินเข้าไปก็ยังเผ็ดร้อนจนหน้าแดง
"ท่านกินพริกไม่ได้เลยหรือ" บะหมี่แห้งของเซวียเสี่ยวหรั่นใส่พริกมากกว่าเขาเป็เท่าตัว ยังไม่เห็นรู้สึกเผ็ดมากมาย
เธอกลั้นหัวเราะยกน้ำมาให้เขาถ้วยหนึ่ง
รสเผ็ดเผาริมฝีปากจนแสบร้อนไปหมด เหลียนเซวียนรับน้ำอุ่นมาดื่มอึกๆ จนหมดถ้วย
"เมื่อวาน ตอนชวนน้องมู่เซียงกินเกี๊ยวด้วยกัน ผู้อื่นคงรังเกียจว่าเครื่องปรุงของพวกเราไม่มีพริกสักนิด พอกลับไปก็เลยส่งซอสพริกมาให้ทันทีขวดหนึ่ง กลิ่นหอมยั่วยวนมาก ฮิฮิ"
เซวียเสี่ยวหรั่นรู้มาจากซีมู่เซียงว่า ชาวแคว้นหลีส่วนใหญ่ชอบกินรสเผ็ด อาหารส่วนมากจึงมีทั้งรสเปรี้ยวเผ็ด เผ็ดแบบชาลิ้น เผ็ดร้อน มีเพียงพื้นที่ชายฝั่งทะเลบางส่วนจะชอบกินหวานหน่อย
ซีมู่เซียงกินเผ็ดมาั้แ่เล็กจนโต ขาดพริกไม่ได้แม้แต่มื้อเดียว
เซวียเสี่ยวหรั่นเดาะลิ้น แม้เธอจะชอบกินเผ็ด แต่ไม่ได้ยึดติดขนาดนั้น มีก็ดี ไม่มีก็ไม่เป็ไร
