บุตรชายทั้งสองของเฉียวลู่นั้นตามติดนางเป็เงา ถึงแม้เฉียวลู่จะบอกเด็กชายทั้งสองให้ออกไปวิ่งเล่นกับเด็กๆ ในหมู่บ้านแต่พวกเขาก็เอาแต่ส่ายหน้า ท่าทางที่ดื้อรั้นของเด็กทั้งสองนั้นไม่ต่างจากเฉียวลู่เลย
“ลูกสองคนไม่อยากออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ จริงๆ หรือจ๊ะดูพวกเขาสิท่าทางสนุกเชียว”
เฉียวลู่ยังคงพยายามคะยั้นคะยอให้อวี้หลงกับอวี้ชิงออกไปเล่นด้านนนอกกับเด็กคนอื่นๆ เด็กสองคนยังคงส่ายหน้าอยู่อย่างนั้นและเอาแต่ตามติดเฉียวลู่เหมือนกับกลัวว่านางจะหายไป
“พี่สาวท่านพอจะแบ่งกระดูกหมูป่าให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่ขอรับ”
เฉียวลู่และเด็กชายทั้งสองหันไปตามเสียงเรียกที่อยู่ด้านหลัง เฉียวลู่จำไม่ได้ว่าเด็กชายที่ใบหน้าซีดเซียวและร่างกายผอมแห้งคนนี้เป็ใคร
“เ้า...คือ”
เฉียวลู่ถามเด็กชายและยิ้มให้เขาอย่างใจดี เด็กชายคนนั้นเมื่อเห็นรอยยิ้มที่งดงามของเฉียวลู่ถึงกับทำให้เขาอายจนแทบม้วนตัวเองเป็ก้อนกลม
“ข้า...ชื่อฉินจื่อเฉินบ้านของข้าอยู่ใกล้กับบ้านของท่านลุงจางข้าไม่มีเงินมาซื้อเนื้อหมูป่าแต่ข้ามีมันเทศท่านจะสามารถแลกกระดูกกับมันเทศของข้าได้หรือไม่”
เด็กชายที่อายุราวเจ็ดแปดขวบมองเฉียวลู่ด้วยท่าทางอึดอัดเขากลัวว่าจะถูกเฉียวลู่ปฏิเสธ เพราะเขารู้ว่ามันเทศที่เขานำมาแลกนั้นไม่มีค่าพอที่จะแลกแม้แต่เศษกระดูกของหมูป่าได้ แต่ทานแม่ที่กำลังป่วยของเขานั้น้าเนื้อสัตว์เขาจึงต้องบากหน้ามาขอร้องคนอื่นเช่นนี้ เฉียวลู่มองร่างกายที่ผอมแห้งของเด็กชายแล้วนึกถึงลูกชายทั้งสองของนาง ดูท่าท่างแล้วพวกเขาก็คงจะลำบากเช่นกัน
“เ้าตามข้ามานี่สิ”
เฉียวลู่หยิบเนื้อหมูป่าส่วนที่ติดมันที่ดีที่สุดที่จางหย่งแยกเอาไว้ให้นางและหยิบกระดูกซี่โครงที่หั่นเป็ท่อนเรียบร้อยแล้วใส่ในถังไม้ส่งให้เด็กชาย
“จื่อเฉินน้อยข้ารู้ว่าเ้าเองก็ลำบากเช่นกันรับนี่ไว้สิไม่ต้องเกรงใจพี่สาวให้ แล้วเ้าก็อย่าได้ปฏิเสธเชียวไม่อย่างนั้นพี่สาวคงจะไม่กล้ารับมันเทศของเ้าเอาไว้”
ฉินจื่อเฉินกำลังที่จะเอ่ยปากปฏิเสธเฉียวลู่แต่ถูกนางพูดดักเอาไว้ก่อนแม่เฒ่าหลี่มองเฉียวลู่กับฉินจื่อเฉินที่ไม่ยอมรับเนื้อที่เฉียวลู่ส่งให้เขา นางจึงเดินยิ้มเข้ามา
“เ้ารับเอาไว้เถอะอย่าปฏิเสธความหวังดีของนางเลย”
แม่เฒ่าหลี่พยักหน้าให้ฉินจื่อเฉิน ท่าทางของเด็กชายดูอึดอัดใจเขานำมันเทศมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นแต่เนื้อที่พี่สาวคนนี้ให้มานั้นมากมายนัก ฉินจื่อเฉินพยักหน้าจากนั้นเขาจึงรับถังใส่เนื้อที่ใหญ่กว่าตัวเขาเล็กน้อยจากเฉียวลู่ไป
“พี่สาวจะรับมันเทศพวกนี้เอาไว้แล้วกันนะ เ้ารีบนำเนื้อพวกนี้กลับไปให้คนที่บ้านของเ้าเถอะ”
ฉินจื่อเฉินน้ำตาคลอเขาอยากจะร้องไห้โฮออกมาตรงนี้ ั้แ่ที่พี่สาวคนนี้ย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้าน เขาและนางไม่เคยแม้แต่จะคุยกันด้วยซ้ำ แต่เขากลับมาขอความช่วยเหลือจากนางเช่นนี้เขารู้สึกละอายใจยิ่งนัก ยิ่งเห็นนางใจดีกับเขายิ่งทำให้ฉินจื่อเฉินนับถือน้ำใจของเฉียวลู่ยิ่งกว่าเดิมทั้งๆ ที่นางก็มีลูกเล็กๆ ถึงสองคนที่ต้องเลี้ยงดูทั้งๆ ที่นางสามารถปฏิเสธเขาไปเลยก็ได้ แต่นางกลับไม่ทำเช่นนั้น ฉินจื่อเฉินคิดในใจว่าในอนาคตเขาจะต้องตอบแทนความมีน้ำใจของพี่สาวคนนี้ให้ได้เขาสัญญากับตนเอง
ในอนาคตฉินจื่อเฉินได้ทำตามคำสัญญาที่เขาได้ให้ไว้กับตนเองในตอนเด็ก เขาได้ตอบแทนน้ำใจของเฉียวลู่ในแบบที่นางไม่มีวันคาดคิด
“เด็กคนนั้นเป็ใครหรือเ้าคะ”
เฉียวลู่หันไปถามแม่เฒ่าหลี่ที่ยืนอยู่ข้างกัน นางรู้สึกว่าเด็กชายคนนั้นถึงแม้สภาพภายนอกของเขาจะเหมือนเด็กเร่ร่อนที่ร่างกายผอมแห้งไม่ได้รับการดูแล แต่เขากลับดูมีมารยาทเหมือนได้รับการอบรมมาเป็อย่างดี ทั้งกิริยาท่าทางของเขานั้นก็ดูแตกต่างจากเด็กๆ ในหมู่บ้าน แผ่นหลังเล็กที่ตั้งตรงของเขาเหมือนกับว่ามันจะไม่มีวันสั่นคลอนแม้ว่าเขาจะได้รับความยากลำบากมากเพียงใดก็ตาม แม่เฒ่าหลี่ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ฉินจื่อเฉิน เด็กคนนั้นก็เหมือนกับพวกเ้าเขาไม่ใช่คนที่หมู่บ้านนี้ ครั้งแรกที่เจอพวกเขาร่างท่านแม่ของฉินจื่อเฉินลอยมาตามแม่น้ำนางาเ็สาหัสโดนฟันาแฉกรรจ์ไปทั้งตัว แต่ถึงแม้นางจะาเ็จนหมดสติไปแล้วแต่แขนของนางก็ยังกอดฉินจื่อเฉินที่ยังเป็เพียงทารกเอาไว้ในอ้อมแขนแน่นเหมือนกับกลัวว่าจะมีใครมาทำร้ายเขา”
แม่เฒ่าหลี่ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
“ั้แ่ที่พวกเขามาอยู่ที่หมู่บ้านมู่โฉว่ก็ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับใครเลย มีบ้างที่นางพูดคุยกับข้าและอาหงเพราะบ้านของเราอยู่ติดกัน แต่ข้าก็ไม่ค่อยได้พบนางบ่อยนัก อาจเพราะนางเอาแต่เก็บตัวอยู่ในเรือนของตน จะพบนางได้ก็ต่อเมื่อนางนำผ้าเช็ดหน้าที่นางปักมาฝากข้าไปขายในอำเภอบ้างเดือนละสองครั้ง ตอนนี้ลูกชายของนางก็โตแล้วจึงช่วยงานนางได้บ้าง แต่ก็ยังคงใช้ชีวิตลำบากเพราะเป็สตรีเพียงคนเดียวที่ต้องเลี้ยงดูบุตรชายโดยไร้สามี”
เฉียวลู่เหมือนได้รับข้อมูลใหม่เข้ามา จากประสบการณ์ที่เคยอ่านบทในนิยายมาบ้างฉินจื่อเฉินและท่านแม่ของเขาจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ เเต่นั่นก็ไม่ใช่เื่ที่เฉียวลู่จะต้องเขาไปยุ่ง เื่ที่สำคัญของนางตอนนี้คือขายเนื้อให้เสร็จและทำอาหารรสเลิศให้เด็กๆ ของนางทานต่างหาก
เฉียวลู่เลิกสนใจในตัวของเด็กฉินจื่อเฉินแล้วหันมาสนใจเนื้อที่เหลือที่จางหย่งแบ่งเก็บเอาไว้ให้นาง
“ยังเหลือเยอะเพียงนี้เชียว”
เฉียวลู่ไม่ใช่คนที่คุ้นเคยกับการทำอาหาร เพราะชีวิตที่ผ่านมาของนางนั้นล้วนมุ่งเป้าไปที่การแสดงการพุ่งไปแต่ข้างหน้าของนางทำให้เฉียวลู่ลดความสนใจในการหางานอดิเรกทำเหมือนนักแสดงคนอื่นที่บางคนทำอาหารบางคนเล่นเกมส์หรือบางคนออกไปท่องเที่ยวต่างประเทศเมื่อมีเวลาได้พัก แต่สำหรับเฉียวลู่กว่าจะมีเวลาพักหลังจากปิดกองนั่นคือเวลาที่นางจะต้องนอนเพื่อเพิ่มพลัง การนอนเป็การพักผ่อนที่ดีที่สุดที่เฉียวลู่คิด
“น่าจะเรียนทำอาหารมาบ้างน่าจะดี”
เฉียวลู่คิดอย่างทดท้อในใจ เอาเถอะมันคงไม่ยากเกินความสามารถของเฉียวลู่คนนี้หรอกกระมังทำไม่เป็ก็แค่เรียนรู้ก็เท่านั้น นางพยายามให้กำลังใจตนเอง
หลังจากที่ขายเนื้อหมูป่าให้ชาวบ้านทั้งหมดตามความ้าและยังเหลือเครื่องในและเนื้อบางส่วนที่ไม่เป็ที่้า เฉียวลู่จึงเอ่ยรั้งชาวบ้านบางส่วนที่ยังไม่ได้กลับไปเอาไว้
“ท่านลุงท่านป้าท่านน้าท่านอาทั้งหลาย เนื้อส่วนที่เหลือนี้ข้าคิดว่าถ้าหากพวกท่านคนไหน้าสามารถนำเครื่องปรุงที่บ้านหรือแป้งขาวมาแลกได้นะเ้าคะข้ายินดีแลกกับพวกท่าน”
หลังจากเฉียวลู่ประกาศออกไปชาวบ้านต่างพากันกลับไปนำเอาเครื่องปรุงที่เรือนของตนกลับมาเพราะกลัวว่าเฉียวลู่จะแลกหมดไปซะก่อน ใครบ้างจะไม่สนใจข้อเสนอเช่นนี้ของเฉียวลู่หากไม่คว้าโอกาสทองเอาไว้เกรงว่าจะไม่ได้เจอเื่ดีเช่นนี้บ่อยๆ นัก
“เ้าทำเช่นนี้ไม่จะขาดทุนแย่หรือ”
หลิวหงเป็คนพูดขึ้นก่อนหลังจากที่ชาวบ้านสลายตัวไปหมดแล้ว แม่เฒ่าหลี่พยักหน้าเห็นด้วยกับลูกสะใภ้ของนาง
“เหลือเยอะขนาดนี้ข้าคงกินไม่หมดหรอกเ้าค่ะ ที่บ้านของข้าไม่เหลืออะไรเลยเครื่องปรุงที่จะเอาไว้ทำอาหารก็ไม่มี ทำเช่นนี้ดีกว่าซะอีกข้าจะได้ไม่ต้องเข้าไปซื้อในเมืองให้ยุ่งยากแถมยังไม่ต้องใช้เงินให้สิ้นเปลือง ข้าอยากเก็บเงินเอาไว้สร้างเรือนให้ดีกว่านี้กลัวว่าเข้าหน้าหนาวข้ากับเด็กๆ จะได้แข็งตายไปซะก่อน”
หลังจากได้ฟังเหตุผลของเฉียวลู่พวกเขาก็พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของนาง
“เอาเถอะถ้าหากว่าเ้า้าความช่วยเหลือเื่สร้างเรือนใหม่ของเ้าก็บอกข้ามาได้เลย เ้าพร้อมเมื่อไหร่ข้าจะมาช่วยเต็มที่”
จางหย่งเป็คนออกตัวเป็คนแรก เฉียวลู่ยิ้มขอบคุณคนบ้านสกุลจางที่ช่วยเหลือนางมาโดยตลอด
หลังจากที่เฉียวลู่นำเนื้อที่เหลือเอาไปแลกเครื่องปรุงและแป้งขาวเก็บเอาไว้ทำอาหาร และยังมีเนื้อส่วนที่แบ่งเอาไว้ให้แม่เฒ่าหลี่และครอบครัวที่มาช่วยนางในครั้งนี้ด้วย เมื่อทุกคนแยกย้ายกันกลับเรือนแล้วตอนนี้เป็เวลาบ่ายแสงแดดร้อนแรงทำเอาเฉียวลู่รู้สึกเนื้อตัวเหนียวไปหมดนางจึงหิ้วถังไม้สองใบตรงไปที่บ่อน้ำที่ชาวบ้านใช้ดื่มกิน
ไม่นานเฉียวลู่ก็กลับมาที่กระท่อมน้อยของนางพร้อมกับถังไม้ที่มีน้ำอยู่เต็มทั้งสองใบ นางรู้สึกแปลกใจยิ่งนักที่นางไม่รู้สึกถึงน้ำหนักของน้ำที่อยู่ในนั้นเลย เฉียวลู่ก้มลงมองแขนเล็กๆ ของตนที่แทบไม่มีเนื้ออยู่เลย
“ก็ยังผอมแห้งเหมือนเดิมนี่นา แล้วทำไมถึงได้แรงเยอะขนาดนี้”
เฉียวลู่ไม่รอให้ความสงสัยผ่านไปหลังจากที่ตักน้ำเต็มโอ่งดินเผาแล้วเฉียวลู่ก็คว้ามีดตัดฟืนเดินตรงไปที่ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ด้านหลังกระท่อมของนาง
เฉียวลู่จับมีดตัดฟืนในมือให้มั่นจากนั้นจึงฟันลงไปที่ต้นไม้ที่ใหญ่กว่าเอวของนางหนึ่งที เพียงครั้งเดียวเสียงโครมก็ดังขึ้นที่ด้านหลังเรือน เด็กชายสองคนที่เฉียวลู่สั่งให้เฝ้าเนื้อเอาไว้รีบวิ่งมาที่ด้านหลังกระท่อมตามเสียงที่ดังสนั่น
ภาพที่เขาทั้งสองเห็นคือท่านแม่ยืนจังก้าถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือ ด้านหน้าของนางมีต้นไม้ต้นใหญ่ล้มอยู่รอยตัดที่โคนต้นเรียบเนียนเหมือนกับใช้อาวุธชั้นดีตัดมัน แต่มีดที่อยู่ในมือของเฉียวลู่นั้นไม่ได้ผ่านการลับคมมานานปี เป็ไปไม่ได้ที่จะสามารถตัดต้นไม้ได้เรียบเนียนขนาดนั้น เฉียวลู่ได้ยินเสียงเดินของเด็กทั้งสองคนแล้วแต่นางไม่ได้หันไปมองเพราะกำลังดื่มด่ำกับพลังที่ได้มาโดยบังเอิญ
“ท่านแม่”
เสียงเรียกเล็กๆ ดังขึ้นพร้อมกันสองเสียง เฉียวลู่จึงหันไปมองพวกเขาด้วยความแปลกใจ
“พวกเ้า....”
เฉียวลู่อยากจะพูดต่อประโยคนั้นว่ายอมพูดออกมาแล้วหรือแต่นางเกรงว่าเด็กๆ จะรู้สึกไม่ดีกับคำถามของนาง
“มาทำอะไรที่นี่เล่า ไม่เฝ้าเนื้อหมูป่าเอาไว้เดี๋ยวมันจะหายไปนะ”
เฉียวลู่เอ่ยหยอกล้อกับเด็กชายทั้งสอง อวี้หลงกับอวี้ชิงมีท่าทีลังเลเหมือนอยากจะถามนางบางอย่าง แต่เด็กชายทั้งสองก็หันหลังกลับไปเฝ้าเนื้อเอาไว้ตามที่เฉียวลู่สั่ง
