เล่มที่ 1 บทที่ 19 สุสาน
ในขณะที่ซ่งเทียนสิงหายตัวไป แม่น้ำหยินที่นิ่งสงบ ก็พลันเกิดกลุ่มคลื่นน้ำมหาศาล...
“ในที่สุดก็ได้กลิ่นน้ำพุเหลืองเสียที...”
หลินเฟยยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำหยิน ทางด้านหลังของเขาเต็มไปด้วยเหล่าอสรพิษปักษาปกคลุมเต็มท้องฟ้า พอเห็นคลื่นน้ำในแม่น้ำหยิน หลินเฟยก็หยุดชะงัก ก่อนจะหันกลับไปยิ้มให้เหล่าอสรพิษปักษา
ทันใดนั้นเอง ก็มีศีรษะอัปลักษณ์อันใหญ่โตโผล่พ้นน้ำขึ้นมา ไอเย็นเสียดกระดูกแพร่กระจาย ปกคลุมไปทั่วรัศมีร้อยจ้าง จากนั้นปากมหึมาของมันก็เผยออก ทุกลมหายใจนั้นแสนจะเย็นะเืราวกับโลกนี้กลายเป็น้ำแข็งไปหมดแล้ว...
“นาคาดับตะวัน!”
ละอองหิมะโปรยปราย อสรพิษปักษาทั้งหลายถูกแช่แข็ง ก่อนจะพากันร่วงหล่นลงจากท้องฟ้า
โลกทั้งใบพลันเงียบสงบ...
เมื่อครู่ เหล่าอสรพิษปักษายังกดดันจนหลินเฟยจนตรอก นาทีถัดมากลับได้สูญสิ้นไปหมดด้วยพลังทำลายล้างอันน่าตกตะลึงนี้...
“ทำได้ไม่เลวเลยนี่” หลินเฟยะโลอยตัวขึ้นมาอยู่บนหัวเ้าอสรพิษั์ ก่อนจะตบลงไปเบาๆ ทั้งที่เมื่อครู่ยังมีท่าทีดุร้ายอยู่แท้ๆ บัดนี้กลับว่าง่ายราวกับสุนัขตัวน้อย เ้าอสรพิษั์ส่ายหัวเบาๆ ราวกับกำลังตอบรับคำชมของหลินเฟย
“พอๆ ไม่ต้องมาอ้อนเลย พาข้าออกไปก่อน”
หลังจากหลินเฟยออกคำสั่ง เ้าอสรพิษั์ก็ดำลงใต้น้ำอีกครั้ง แต่คราวนี้มันเชิดหัวอันใหญ่โตของมันขึ้นพ้นน้ำ ก่อนจะแหวกว่ายทวนน้ำพาหลินเฟยไปยังต้นธารน้ำของแม่น้ำหยิน
หลินเฟยที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวเ้าอสรพิษั์นั้น จนถึงตอนนี้หลินเฟยเองยังอดที่จะตกตะลึงกับไอปีศาจมหาศาลที่ผาปากเหยี่ยวไม่ได้ ครั้งนี้ถือว่าโชคดี หากไม่ใช่เพราะอยู่ใน่คับขัน และสามารถแก้มนต์สะกดสามสิบสามสายของเข็มทิศห้าวเย่ ให้กลับมาใช้ได้อีกครั้ง ต่อให้เ้าอสรพิษั์จะมาทันเวลา เกรงว่าตัวเขาเองก็คงจะลำบากไปด้วย
หากปีศาจขั้นเยาตี้หลุดรอดจากผนึกของนักพรตชื่อฟ่าได้เมื่อใด แม่น้ำหยินก็จะกลายเป็เขตหวงห้ามทันที ต่อให้เขาได้สิ่งนั้นมาและฝึกฝนจนเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่เก่งกาจชนิดไม่มีใครเทียบได้ก็ตาม ก็คงไม่มีใครเชื่อว่าว่าเขาจะสามารถรอดชีวิตกลับมาได้หรอก
เพราะเหตุนี้ ต่อให้จะเสี่ยงเพียงใด หลินเฟยก็ต้องส่งซ่งเทียนสิงกลับไปให้ได้
ขอแค่พาซ่งเทียนสิงกลับไปเท่านั้น สำนักเวิ่นเจี้ยนก็จะได้รู้เื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่ผาปากเหยี่ยวและส่งคนมาปราบปีศาจขั้นเยาตี้ในที่สุด
‘ยังดีที่เ้าหนูจำกลิ่นน้ำพุเหลืองได้...’
ในอดีต ตอนที่เขาปล่อยเ้าหนูไว้ที่แม่น้ำหยิน เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันใดที่ต้องพึ่งพามันให้ช่วยเขาหลุดพ้นจากโอบล้อมของเหล่าอสรพิษปักษา...
สำหรับสิ่งที่ต้องต่อมาก็คือ ไปยังจุดเหนือสุดของแม่น้ำหยิน และเอาสิ่งนั้นกลับคืนมาให้...
แม้ว่าแม่น้ำหยินจะมีปีศาจอยู่มากมาย แต่การนั่งอยู่บนหัวจอมปีศาจขั้นเยาหวังเช่นนี้ ต่อให้ปีศาจตนนั้นจะโง่เพียงใด ก็ไม่กล้าเข้ามาหาเื่หรอก ตลอดทางถือว่าราบรื่นยิ่งนัก ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม หนึ่งคนหนึ่งงูก็มาถึงต้นสายของแม่น้ำหยินเสียที
ที่นี่คือจุดเริ่มต้นของแม่น้ำหยิน เป็จุดที่มีไอหยินเสวียนอิงเข้มข้นที่สุด...
รอบด้านปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและละอองหิมะโปรยปราย มีเพียงน้ำในแม่น้ำหยินเท่านั้นที่ยังคงผุดซึมขึ้นมาจากใต้ดิน ภายใต้ไอหยินเสวียนอิงที่เข้มข้นนั้น ไม่ต่างอะไรกับโลกทั้งใบที่ถูกย้อมไปด้วยสีหม่นเทา...
เมื่อมาถึงต้นสายของแม่น้ำหยิน เ้าอสรพิษั์ก็ดูหวาดกลัวไอหยินเสวียนอิงที่ปกคลุมอยู่รอบๆขึ้นมา ลำตัวขนาดมหึมาของมันหดถอยกลับลงแม่น้ำ หลินเฟยส่ายหน้าอย่างระอา ก่อนจะะโลงจากหัวอันใหญ่โตของมัน และหยุดยืนบนหินที่มีน้ำแข็งปกคลุม
หลังจากสามารถยืนอยู่ในท่าที่มั่งคงแล้ว ผิวแม่น้ำหยินก็เกิดคลื่นน้อยๆขึ้นมา เ้าอสรพิษั์พาลำตัวอันใหญ่โตของมันดำดิ่งลงใต้น้ำ ทิ้งไว้เพียงเงาดำเลือนลาง จนในที่สุดก็พ้นไปจากสายตาของหลินเฟย
“หนีเร็วดีนี่...” หลินเฟยรู้ว่าเ้าหนูนี่กลัวจะถูกเขาขังไว้ที่สุสานอีก พอมาถึงก็รีบหนีไปทันที
‘ช่างเถอะ...’
อย่างไรก็ตามที่นี่ไม่เหมือนกับเมื่อหมื่นปีก่อนแล้ว ขอแค่ปีศาจขั้นเยาตี้นั่นไม่หลุดออกมา ด้วยพลังขั้นเยาหวังของเ้าหนูนั่น ก็คงจะไรเทียมทานที่สุด
ในแม่น้ำหยิน ไม่มีอะไรให้เขาต้องเป็ห่วง หรือกังวลว่ามันจะเป็อันตรายใดๆ
หลังจากที่เ้าอสรพิษั์จากไป หลินเฟยก็เงยหน้าขึ้นมองภาพด้านหน้า เหนือสุดของแม่น้ำหยินเป็โลกที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งปกคลุม ชั้นอากาศเต็มไปด้วยกลุ่มหมอกสีหม่นเทา ราวกับว่าสิ่งนี้คือไอหยินเสวียนอิงที่จับต้องได้ แม้จะเห็นว่ามันลอยไปลอยมาราวกับหมอกควัน แต่หากััโดนแม้เพียงเล็กน้อย ต่อให้หลินเฟยบำเพ็ญอยู่จู้จีขั้นสูง ก็อาจจะเจ็บหนักเลยก็ได้
เมื่อเผชิญหน้ากับไอหยินเสวียนอิงเข้มข้น หลินเฟยเองก็ไม่กล้าบุ่มบ่าม เขาหยิบตะเกียงซานเป่าหลิวหลีออกมา ก่อนจะส่งพลังปราณขุมหนึ่งเข้าไป แล้วเปลวไฟชื่อหยางก็ลุกโชนขึ้นมาทันที
จะว่าไปก็แปลก หลังจากผ่านการสู้รบที่ดุเดือดเมื่อครู่ แม้เปลวไฟชื่อหยางหลิวหลีนั้นจะมีขนาดเล็กมาก เทียบเท่าเพียงเม็ดถั่วเหลือง อีกทั้งดูอ่อนแอราวกับจะถูกลมพัดดับได้ทุกเมื่อ แต่เมื่อเปลวไฟชื่อหยางหลิวหลีนี้ลุกโชนขึ้น หมอกดำรอบๆก็พลันหายไปในพริบตา
เป็ดั่งที่กล่าวว่า “ สิ่งหนึ่งสยบสิ่งหนึ่ง ”
แม้ไอหยินเสวียนอิงจะมีชื่อเสียงที่น่าเกรงขามเพียงใด แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเปลวไฟชื่อหยางหลิวหลี ก็กลับข่มได้สนิท ไม่เช่นนั้นล่ะก็ ตอนที่หลินเฟยหละเกียงซานเป่าหลิวหลีอีกครั้ง ก็คงเลือกที่จะหลอมมนต์สะกดเสิ่นทงให้มากกว่านี้
หลังจากที่ไอหยินเสวียนอิงสลายไป หลินเฟยก็มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง หนำซ้ำร่างของเขาก็ยังถูกละอองหิมะปกคลุมไปทั่ว...
ประมาณสามชั่วยามให้หลัง เขาก็เดินทางมาถึงผาน้ำแข็งสูงนับพันจ้าง ความรู้สึกเมื่อยืนอยู่ตรงหน้าผานั้นราวกับยืนอยู่ตำแหน่งสูงสุดขอบฟ้าก็ว่าได้ ที่แห่งนี้ไร้ซึ่งละอองหิมะที่เต็มด้วยไอหยินเสวียนอิงโปรยปรายอีกต่อไป เหลือแต่เพียงความเงียบเหงาวังเวงไร้จุดสิ้นสุด...
คงจะมีเพียงหลินเฟยเท่านั้นที่รู้ว่าที่นี่ไม่ใช่สุดขอบฟ้า หากข้ามผ่านผาน้ำแข็งนี้ได้ ก็จะพบกับโลกใหม่อันน่าพิศวง ที่แห่งนี้ได้มีการฝังกลบตำนานและสิ่งต้องห้ามมากมาย แม้แต่ตัวเขาเอง ก็ไม่กล้าย่างกรายเข้าไป
‘อย่างน้อยก็ก่อนจะถึงขั้นฟ่าเซิน...’
โชคดี ทีสิ่งที่เขาตามหาไม่ได้อยู่โลกนั้น...
หลินเฟยโล่งอก พลางยกมือขึ้นผลักออกเบาๆ
จะว่าไปก็แปลก เพียงแค่ผลักเบาๆ ผาหินสูงนับพันจ้าง ก็สั่นะเืขึ้นมา เริ่มด้วยเสียงที่ดังกระทบกันเบาๆ ก่อนจะกลายเป็เสียงดังกัมปนาท เศษน้ำแข็งจำนวนมากโปรยปรายเต็มผืนฟ้า จนหลินเฟยต้องโคจรพลังปราณป้องกันตนเอง จึงรอดพ้นจากเศษน้ำแข็งที่ร่วงหล่นจากฟ้าเ่าั้ได้
ไม่รู้ว่าใช้เวลาไปนานเท่าไร โลกทั้งใบถึงได้สงบลง เวลานี้เอง ภายใต้ผาหินน้ำแข็งนั้น ได้มีทวารหินที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งปรากฏขึ้น หลินเฟยผลักมันออกเบาๆ ทำให้ทวารหินนั้นค่อยๆแง้มออกให้เห็นทางสายหนึ่งที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งหนาแน่น...
“เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน...” หลินเฟยก้าวข้ามธรณี เดินเลาะไปตามเส้นทางที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งสายนั้น ครึ่งชั่วยามถัดมาก็เดินทางมาถึงสุสานวังเวงแห่งหนึ่ง…
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้