ในยามนี้ติงเหว่ยอดไม่ได้ที่จะหวังว่านางสามารถเปลี่ยนตนเองให้กลายเป็ฝุ่นผงและหลบหนีออกจากสถานการณ์เช่นนี้ไปพร้อมกับลมพัดได้ ครอบครัวสกุลอวิ๋นสร้างปัญหาให้นางอย่างเหนือความคาดหมาย ใน่เวลาสั้นๆ หลานชายกลับกลายเป็นายน้อย ท่านผู้าุโกลายเป็บ่าว ท่านหมอก็กลายเป็ลูกน้อง และยังมีปู่ที่้าจะฆ่าหลานของตนเองอีก…
ถ้าเป็คนจิตใจอ่อนแอเกรงว่าอาจใกลัวจนเสียชีวิตไปแล้วก็ได้
นางกังวลมากจนแอบบีบผ้าเช็ดหน้าและพยายามคิดหาทางหลบหนี อย่างไรก็ตาม ทารกในท้องอาจรู้สึกอึดอัดหลังจากตื่นนอนจึงเตะนางอย่างแรงจนทำให้จู่ๆ นางก็ส่งเสียงครวญครางออกมา
หลังจากได้ยินเสียงครวญครางนี้ทำให้ห้องที่ดูเหมือนจะถูกแช่แข็งกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
กงจื้อิเหลือบมองติงเหว่ยที่ดูกระอักกระอ่วน แววตาของเขานิ่งสงบมาก ติงเหว่ยขนลุกชันและมีเหงื่อไหลออกมาเต็มฝ่ามือ แล้วยิ่งก้มศีรษะลงมากขึ้น
“ทุกคนออกไปก่อน ไปรับโทษของตนเองซะ!”
ซานอีที่กำลังคุกเข่าอย่างดีใจก็รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว และเดินออกไปคนแรกโดยไม่พูดอะไร ส่วนท่านลุงอวิ๋นลังเลอยู่พักหนึ่งจากนั้นก็ลากเซียงเซียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดออกไป ติงเหว่ยจึงรีบลุกขึ้นตามหลังปู่หลานสองคนนั้นไปคุกเข่าที่ด้านนอก แต่คาดไม่ถึงว่ากงจื้อิจะเอ่ยปากรั้งนางไว้เสียก่อน “แม่นางติง!”
“โอ๊ะ” ติงเหว่ยยืนตัวแข็งเมื่อเห็นว่าท่านลุงอวิ๋นเดินออกจากเรือนไปโดยไม่หยุดชะงัก นางทำได้เพียงหันกลับมาและพูดด้วยความสัตย์จริงอย่างถึงที่สุดว่า “คุณชายอวิ๋นโปรดวางใจ ถึงข้าจะเป็แค่ลูกสาวจากครอบครัวชาวนา แต่ข้าเองก็รู้อย่างชัดเจนว่าอะไรคือสิ่งที่ควรพูด และอะไรคือสิ่งที่ควรทำ ตอนนี้ข้าแค่อยากให้กำเนิดเด็กในครรภ์อย่างปลอดภัย เื่อื่นล้วนไม่เกี่ยวข้องกับข้าทั้งสิ้น”
เมื่อกงจื้อิเห็นว่าหญิงสาวที่อยู่ข้างประตูยืนตัวตรงแน่ว สองมือโอบกอดครรภ์ที่ยื่นออกมานิดหน่อยของนางไว้ และสีหน้าก็เต็มไปด้วยความตื่นตัวและระมัดระวัง ทันใดนั้นใจของเขาก็รู้สึกหงุดหงิดเป็อย่างมาก เขาเลิกคิ้วขึ้นหนึ่งทีและพูดเสียงเรียบเฉยว่า “เ้าคิดมากเกินไปแล้ว วันนี้ต้องขอบใจที่เ้าเตือนข้า เดี๋ยวข้าจะให้ท่านลุงอวิ๋นเตรียมสินน้ำใจดีๆ ให้เ้า”
“เอ๋?” ติงเหว่ยประหลาดใจเล็กน้อย นางเงยหน้าขึ้นมาอย่างกล้าหาญเพื่อมองกงจื้อิ ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะไม่สู้ดีนัก แต่เขาก็ไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าจะแกงอะไร ดังนั้นนางจึงถอนหายใจยาวๆ ด้วยความโล่งใจ จากนั้นจึงรีบคำนับและกล่าวคำขอบคุณก่อนเดินออกจากเรือนไปอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งนางกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ในครัวเล็กๆ อีกครั้งหนึ่ง ในที่สุดติงเหว่ยก็คลายความกลัวและกังวลในใจไปได้ เสี่ยวชิงวิ่งจากด้านนอกเข้ามา สีหน้าดูตื่นตระหนกเล็กน้อย แต่เมื่อนางเห็นติงเหว่ยก็รู้สึกดีใจราวกับเจอที่พึ่ง นางรีบก้าวไปข้างหน้าพร้อมจับแขนเสื้อของติงเหว่ยแล้วถามว่า “พี่ติง พี่ไปไหนมาหรือ? เมื่อกี้พ่อครัวจ้าวถูกปิดปากและลากออกไปข้างนอก ข้าใกลัวแทบตายแน่ะ!”
ติงเหว่ยรู้ความจริงอย่างชัดเจน แต่นางกลับไม่สงสารจ้าวหรงเลยแม้แต่น้อย ความผิดพลาดของคนเรามีราคาที่ต้องจ่ายเสมอ แต่ต้นสายปลายเหตุที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถบอกกับเสี่ยวชิงได้จริงๆ ติงเหว่ยจึงทำได้เพียงปลอบโยนนางด้วยเสียงอ่อนโยนเท่านั้น “บางทีเขาอาจทำอะไรผิดพลาดไป แต่มันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเรา เ้าเองก็ไม่ต้องไปถามให้มากความหรอก แล้วผู้ดูแลหลินส่งเป็ดมาให้แล้วใช่ไหม เ้าช่วยฆ่าเป็ดให้ข้าสักตัวหนึ่ง แล้วก็เก็บเืเป็ดเอาไว้ให้ดี ตอนเที่ยงข้าจะทำน้ำแกงวุ้นเส้นเืเป็ดให้นายน้อยกิน”
“ตกลง ข้าจะไปฆ่าเป็ดเดี๋ยวนี้” เสี่ยวชิงอายุยังน้อย เมื่อได้ฟังติงเหว่ยพูดเช่นนั้นก็รีบไปจัดการทันที
……
พวกเขาทั้งสองแบ่งงานและร่วมมือกัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เหนื่อยสักเท่าไร ผ่านไปไม่นานเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นตรงกับตำแหน่งเหนือหัวของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็น้ำแกงวุ้นเส้นเืเป็ดหนึ่งหม้อ หมั่นโถวใส่ต้นหอมหนึ่งเข่ง ยำแตงกวาหนึ่งจาน แล้วก็ผัดผักกวางตุ้งก็ถูกจัดเตรียมเสร็จทั้งหมด ติงเหว่ยมองกับข้าวเหล่านี้และคิดว่ารสชาติดูจืดไปสักหน่อย นางคิดไปคิดมาจึงทำเนื้อสามชั้นผัดเสฉวนเพิ่มอีกจาน จากนั้นก็จัดอาหารใส่กล่องแล้วไปส่งที่เรือนด้านหลัง
ไม่รู้ว่าท่านลุงอวิ๋นกับหลานและซานอีโดนลงโทษอะไรกันแน่ ติงเหว่ยไม่เคยได้ยินเสียงร้องอย่างเ็ปออกมาเลย แต่เมื่อมีคนหายไปสามคน เรือนหลังก็ดูสงบขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ติงเหว่ยทำเหมือนปกติทุกวัน จัดโต๊ะ ยกน้ำแกงและกับข้าวมาวาง หลังจากที่ยุ่งเสร็จแล้วติงเหว่ยก็จะขอตัวออกไป ทว่ากงจื้อิกลับพูดด้วยเสียงราบเรียบว่า “มากินด้วยกันสิ”
ติงเหว่ยกะพริบตาพลางครุ่นคิดว่าหรือโจ๊กชามก่อนหน้านั้นจะทำให้นายท่านหวาดระแวงขึ้นมา และที่เขาขอให้นางกินก็คงเพื่อจะใช้ทดสอบยาพิษในอาหาร
นางอดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปากของนาง คิดไปคิดมานางเองก็ยุ่งตลอดทั้ง่เช้าตอนนี้เริ่มรู้สึกหิวแล้วเหมือนกัน และทารกในท้องของนางก็เริ่มสร้างปัญหาแล้ว ถ้านางไม่กินก็คงน่าเสียดาย
เมื่อคิดเช่นนั้น นางก็โน้มตัวไปนั่งที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะเตี้ย ยกตะเกียบขึ้นแล้วค่อยๆ กินกับข้าวแต่ละอย่าง จากนั้นก็หยิบหมั่นโถวกับน้ำแกงวุ้นเส้นเืเป็ดขึ้นมากิน
เดิมทีกงจื้อิเคยชินกับการที่มีเด็กชายตัวอ้วนมากินอาหารเป็เพื่อน ดังนั้นเขาจึงขอให้นางอยู่กับเขาต่อโดยไม่รู้ตัว นึกไม่ถึงว่าสตรีผู้นี้จะไม่เกรงใจจริงๆ ทั้งคีบอาหารทั้งดื่มน้ำแกง ดูนางกินด้วยท่าทางน่าเอร็ดอร่อย ในดวงตาของเขาปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาครู่หนึ่ง และเขาก็ยื่นมือออกไปหยิบหมั่นโถวมากัดหนึ่งลูก กลิ่นหอมของแป้งผสมกับความสดใหม่ รสชาติดีเลยทีเดียว…
ติงเหว่ยกลับมาที่ห้องครัวพร้อมกับพุงกลมๆ ของนาง ไม่ว่านางจะคิดอย่างไรต่างก็รู้สึกว่าไม่ควรจะอยู่ที่จวนของสกุลอวิ๋นต่อไป ไม่ใช่เพราะว่านางขี้ขลาดแต่วันนี้นางไม่อาจรับความเสี่ยงใดๆ ได้เลยจริงๆ หากว่าคุณชายอวิ๋นกังวลขึ้นมาว่าความลับของเขาจะถูกเปิดเผยอีก แล้วโบกมือเพื่อสั่งลงโทษนางล่ะ เช่นนั้นคงจะไม่ยุติธรรมเกินไป
คนฉลาดย่อมไม่ไปยืนใต้กำแพงที่กำลังจะผุพัง [1] สตรีที่ตั้งครรภ์อยู่ยิ่งไม่ควรไปเสี่ยงอันตราย
……
“เสี่ยวชิง ข้ารู้สึกไม่สบายท้องนิดหน่อยข้าว่าจะกลับบ้านก่อน ถ้าลุงอวิ๋นมาถามทีหลังเ้าช่วยบอกกับเขาแทนข้าทีว่าข้าขอลาพักงาน ข้าว่าจะพักที่บ้านอีกสักสองสามวัน”
เสี่ยวชิงไม่รู้สาเหตุ แต่เมื่อนางเห็นติงเหว่ยเก็บเครื่องครัวก็รีบรับปากทันที
ติงเหว่ยรีบออกจากจวนสกุลอวิ๋นอย่างรวดเร็ว และวิ่งกลับไปที่บ้านของตนราวกับมีลมอยู่ใต้ฝ่าเท้าของนางอย่างไรอย่างนั้น ผู้าุโติงที่เพิ่งตื่นจากการนอนกลางวันไปสักพักกำลังจะเตรียมหยิบจอบไปที่นา เมื่อเห็นลูกสาวก็เอ่ยทักทายว่า “ทำไมวันนี้เ้ากลับมาเร็วจังล่ะ? เดี๋ยวข้าไปทำงานที่ที่นาก่อน ฝากเ้าดูแลบ้านด้วยล่ะ”
“ได้เลยท่านพ่อ ตอนเย็นท่านกลับมาเร็วหน่อยนะ ข้าจะทำกับข้าวสักสองอย่างให้ท่านกินกับเหล้า” ติงเหว่ยส่งบิดาออกไปพร้อมหัวเราะคิกคัก นางกำลังจะเข้าบ้านไปเปลี่ยนเป็ชุดธรรมดา นึกไม่ถึงว่ายังไม่ทันจะก้าวข้ามธรณีประตูแม่นางหลี่ว์ก็พาต้าเป่ากลับมาแล้ว
ติงเหว่ยรีบรับต้าเป่าแล้วถามว่า “ท่านแม่ ทำไมไม่อยู่กินข้าวเที่ยงที่บ้านท่านยายล่ะ? ที่บ้านมีข้าอยู่ทั้งคน ไม่ต้องกังวลไปหรอก"
แม่นางหลี่ว์ฝืนยิ้มและตอบอย่างคลุมเครือว่า “พี่ชายและพี่สะใภ้ของเ้าดูแลร้านอยู่แค่สองคน ข้าเกรงว่าพวกเขาจะทำกันไม่ทัน ตอนนี้ข้าเลยว่าจะไปดูสักหน่อย!”
หลังจากพูดเสร็จ นางก็เข้าห้องไปเปลี่ยนเป็เสื้อผ้าที่ไม่เปรอะเปื้อนได้ง่าย และไปร้านอาหารทันทีโดยไม่ดื่มน้ำชาแม้สักคำ
ติงเหว่ยรู้สึกว่าท่านแม่ของนางปิดบังอะไรบางอย่างจากนางอยู่ ดังนั้นนางจึงดึงต้าเป่ามาล้างหน้าให้เขาไปด้วยแล้วก็แอบถามไปด้วยว่า “ต้าเป่า วันนี้เ้าไปหนานวาจือกับท่านยายมาใช่ไหม เ้าเจอเื่สนุกๆ อะไรบ้าง”
เด็กๆ เป็คนปากไวอยู่แล้วและกำลังอยู่ในวัยซุกซน ต้าเป่าวางมือเล็กๆ ลงในอ่างแล้วคนไปคนมา ปากเล็กๆ ก็ร่ายยาวออกมา แม้กระทั่งเื่ที่เขาเจอกบสองตัวระหว่างทางก็ยังอธิบายได้อย่างชัดเจน
ติงเหว่ยตั้งใจฟังจนจบแล้วถามอีกครั้งว่า “แล้วเ้าได้กินอะไรที่บ้านท่านยายทวดบ้างล่ะ มีขนมอร่อยๆ ด้วยหรือเปล่า?”
“ไม่มี ข้าไม่ได้...” จู่ๆ ต้าเป่าก็ยื่นมือเล็กๆ ออกมาปิดปากพร้อมเบิกตากว้างอย่างลังเลว่า “ท่านยายไม่อนุญาตให้ข้าพูด ดังนั้นข้าจะไม่พูด!”
หัวใจของติงเหว่ยเริ่มเต้นไม่เป็จังหวะ นางจึงรีบเกลี้ยกล่อมเด็กชายตัวอ้วนต่อไป “ถ้าต้าเป่าพูดแบบนี้ อาจะโกรธแล้วนะ ท่านยายบอกว่าไม่ให้เ้าบอกคนอื่น แต่ว่าบอกอาได้นี่นา อารักต้าเป่ามากที่สุดแล้ว ต้าเป่าไม่เชื่อใจอาหรอกหรือ?”
เด็กน้อยจะไปรู้ทันได้อย่างไร เขาแค่นึกย้อนว่าทุกวันท่านอาดูแลเขาดีมากขนาดไหนก็พอแล้ว ต้าเป่ากะพริบตาจากนั้นก็ลดมือเล็กๆ ที่ปิดปากของเขาอยู่ลง
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกท่านอา แต่ท่านอาห้ามบอกใครนะ”
“ตกลง อาจะไม่บอกใคร”
“ข้ากับท่านยายไปบ้านท่านยายทวด ท่านยายทวดก็ดีกับข้ามาก นางเอาขนมและฮวาเชิงถังมาให้ข้ากินด้วย จากนั้นพอท่านลุงกับท่านป้าสะใภ้กลับมาก็บอกไม่อนุญาตให้ท่านยายทวดดื่มเหล้า แล้วก็พาเด็กหญิงสองคนที่กำลังเล่นกับข้าออกไปด้วย เขาบอกว่าเกรงว่าพวกนางจะแต่งออกไปไม่ได้ แล้วท่านยายน่าจะใส่เสื้อผ้าน้อยเกินไปเลยหนาวจนตัวสั่นไปหมด จากนั้นก็พากลับมาเปลี่ยนเป็ชุดหนาๆ ที่บ้าน”
หลังจากที่ต้าเป่าพูดจบ เขาก็จับท้องของเขาอย่างรู้สึกผิด “ท่านอา ต้าเป่าหิวแล้ว”
ติงเหว่ยรีบไปหยิบขนมให้หลานชายของนางอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ไปห้องครัวเพื่อทำไข่ตุ๋น ฟืนในห้องครัวกำลังเผาไหม้อย่างเต็มที่ ความร้อนทำให้นางรู้สึกเจ็บที่หน้านิดหน่อย นางจึงใช้มือทั้งสองข้างบีบที่หน้าของตนเองอย่างแรง ในที่สุดนางก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาอย่างหนัก
ต้าเป่ายังเด็กเขาจึงถูกหลอกได้ง่าย เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านยายไม่ได้ตัวสั่นจากความหนาวเพราะใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น แต่จริงๆ แล้วโกรธมากต่างหาก ลูกสาวไม่เป็ไปอย่างที่หวังไว้ ไม่ทันได้แต่งงานก็ท้องโตขึ้นมา พวกพี่สะใภ้ที่บ้านท่านยายทวดคงจะเยาะเย้ยนาง และถึงขนาดที่ว่าไม่ยอมให้ท่านแม่เข้าบ้านไปร่วมงานวันเกิดท่านย่าทวดด้วยซ้ำ นี่จะเป็ความอัปยศอดสูมากขนาดไหน ทำให้ท่านแม่รู้สึกอับอายมากจนใบหน้าแทบจะไม่มีความรู้สึกใดๆ หลงเหลืออยู่
ทว่ายังมีน้ำตาบางหยดที่ไม่ได้ไหลบนใบหน้า หากแต่ฝังอยู่ในใจอย่างเ็ปยิ่งกว่า…
……
บริเวณที่ราบลุ่มแห่งนี้เริ่มเข้าสู่เวลาพลบค่ำอย่างช้าๆ พร้อมกับเสียงไก่ขันและสุนัขเห่า พวกผู้ชายที่กำลังทำงานอยู่ที่นาก็พากันเก็บเครื่องมือต่างๆ พวกเขาพูดคุยยิ้มหัวเราะและเดินกลับบ้านกันไป ส่วนเหล่าฮูหยินที่ทำกับข้าวเสร็จแล้วก็คอยชะเง้อมองอยู่ที่หน้าประตูตอนเรียกเด็กๆ ที่ซุกซนให้รีบกลับบ้าน บางครั้งก็มีสุนัขแก่แสนรู้ที่วิ่งไปรอรับเ้านายของมันที่ทางเข้าหมู่บ้าน แล้วก็เห่าใส่คนแปลกหน้าเพื่อแสดงอำนาจของมัน มีชายหนุ่มผู้หนึ่งแกล้งทำเป็ก้มตัวลงเพื่อหาก้อนหิน ปรากฏว่าสุนัขแก่ตัวนั้นใและวิ่งหนีหางจุกตูดไปทันที ทำให้ทุกคนต่างพากันหัวเราะ
ปกติแล้วอาหารเย็นในครอบครัวสกุลติงมักจะถูกจัดไว้เป็สองโต๊ะเสมอ แต่ตอนนี้ครอบครัวพี่รองทั้งสามคนไม่อยู่จึงเปลี่ยนเป็โต๊ะเดียว สมาชิกครอบครัวทั้งหกคนนั่งล้อมวงกินด้วยกันอย่างสนิทสนมและครื้นเครง
ติงเหว่ยทำหมูสามชั้นตุ๋นกับมันฝรั่ง จากนั้นผัดผักกาดกับเห็ดหูหนูสีดำ แล้วเอาผักกวางตุ้งมาลวกและจัดใส่จานพร้อมกับน้ำจิ้ม ก่อนนำไปให้ท่านพ่อและพี่ใหญ่ก็เทเหล้าให้พวกเขาดื่ม
แม้ว่าคนในครอบครัวตอนนี้จะมีเื่ทุกข์อะไรมากมายในใจ แต่พวกเขาก็ไม่อยากพูดถึงมันในเวลานี้ พวกเขาพากันหยิบยกเื่ราวสนุกๆ มาพูดคุยกันและยิ้มหัวเราะด้วยกัน
เมื่อตอนกลางวันต้าเป่าได้กินแค่ไข่ตุ๋นหนึ่งชามแล้วเขาก็เล่นอย่างดุเดือดตลอดทั้งบ่าย ตอนนี้จึงหิวเป็อย่างมาก ตะเกียบในมือของเขาจับจ้องไปที่เนื้อสัตว์อย่างเดียวเท่านั้น จึงโดนแม่นางหลิวเคาะกะโหลกสองที ติงเหว่ยก็ปกป้องหลานชาย แอบเอาเนื้อที่ท่านแม่คีบใส่จานไว้ส่งต่อให้ต้าเป่า ทำให้ต้าเป่าค่อยๆ ขยับเข้าไปจนแทบจะนั่งชิดกับท่านอา
และในเวลาไม่นานทุกคนก็กินข้าวจนอิ่ม แม่นางหลิวรีบแย่งติงเหว่ยเข้าไปเก็บล้างจานชาม และดันติงเหว่ยให้ไปคอยดูแลเด็กน้อยแทน เพราะไม่อยากให้นางเหนื่อย
ติงเหว่ยเองก็รับรู้ได้ถึงความมีน้ำใจของนางจึงะโเรียกต้าเป่าให้ไปเอาถาดทรายมา นางเย็บปักไปพลางสอนเขาคัดลายมือไปพลาง และแน่นอนว่าเมื่อแม่นางหลิวเห็นลูกชายของตนเองหยิบกิ่งไม้มาฝึกคัดลายมือด้วยท่าทางตั้งใจนางก็ยิ้มอย่างชอบใจยิ่งขึ้น
ในขณะที่ทุกคนกำลังพักผ่อนพวกเขากลับมีแขกมาหาที่นอกบ้าน พี่ใหญ่จึงรีบออกไปต้อนรับแขก ปรากฏว่าเป็ท่านลุงหลี่กับเสี่ยวฝูจื่อทั้งสองคนกำลังประคองท่านลุงอวิ๋นเข้ามา ติงเหว่ยรู้สึกประหลาดใจจึงรีบเข้าไปคำนับพร้อมเชิญท่านลุงอวิ๋นให้นั่งลงก่อน
นึกไม่ถึงว่าท่านผู้าุโจะโบกมือ เขาฝืนยิ้มแล้วบอกว่า “แม่นางติงอย่าได้เกรงใจไป ประการแรกร่างกายข้าาเ็เล็กน้อยคงจะนั่งไม่ได้จริงๆ ประการที่สองข้ามีเื่จะขอร้อง หากมีสถานที่ที่เงียบสงบขอเชิญแม่นางติงมาคุยด้วยสักหน่อยเถอะ”
ครอบครัวสกุลติงมองผู้าุโ ถึงแม้เขาจะแต่งกายเรียบร้อยทว่าเอวของเขาก็งอลงเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าของเขาซีดขาวและที่หน้าผากก็มีเหงื่อปกคลุมอยู่ไม่น้อย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรดี
-----------------------------------------
[1] คนฉลาดย่อมไม่ไปยืนใต้กำแพงที่กำลังจะผุพัง 君子不立危墙之下 หมายถึง คนฉลาดจะไม่พาตัวเองไปตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย