หลิวซานกุ้ยพาหลิวชิวเซียงวิ่งไล่ตามมาทีหลัง “กุ้ยฮัว อย่าร้อนใจไปเลย ในเมื่อน้องชายเ้าไหว้วานคนส่งข่าวมา คิดว่าเขาคงปลอดภัยไม่มีเื่อันใด”
หากมีเื่เกิดขึ้นจริง เกรงว่าคนที่มาคงบอกกล่าวั้แ่แรก ระหว่างทางกลับมาเขาถามบุตรสาวคนโตอย่างละเอียด ได้ยินว่าผู้มาเยือนนั้นมีใบหน้ายิ้มแย้ม ชัดว่าคงไม่ใช่ข่าวร้ายอะไร
หลังจากที่หลิวซานกุ้ยและภรรยาเข้ามา พ่อบ้านซูก็แนะนําตัวกับพวกเขาอีกครั้ง
“นายท่านจางงานรัดตัว เดิมทีตั้งใจว่าเดือนหกเดือนเจ็ดจะกลับมาบ้าน ต่อมาได้ยินนายท่านของข้าบอกว่ามีธุระด่วนที่เขตชิงโจว จึงไหว้วานให้ข้านำข่าวมาแจ้งก่อน”
จางกุ้ยฮัวได้ยินจึงพูดเื่ที่หลิวเต้าเซียงได้ยินก่อนหน้านี้ ก่อนจะถามไถ่อีกหน
พ่อบ้านซูมีความอดทนใจเย็น บอกเล่าทุกรายละเอียดจนจบแล้วพูดว่า “นายท่านจางบอกว่าฤดูร้อนปีนี้จะกลับมาเยี่ยมบ้าน คิดว่าคงไม่มีทางเลื่อน เพียงแต่ว่านายท่านจางทำการค้าขาย เดินทางอยู่ทั้งปี จึงไม่ได้มีสถานที่พักพิงเป็หลักแหล่ง เพียงแต่บอกไว้ว่าต่อไปจะส่งจดหมายกลับมาบ่อยๆ”
พูดจบเขาก็หยิบจดหมายออกมาจากอ้อมอกให้จางกุ้ยฮัวหนึ่งฉบับ “นี่คือจดหมายที่นายท่านจางตั้งใจเขียน นายท่านจางยังกำชับเป็พิเศษว่า หากฮูหยินอ่านข้อความในจดหมายไม่เข้าใจ ก็ให้หาคนในตำบลที่รับเขียนจดหมายโดยเฉพาะ แล้วจ่ายเงินให้เขาช่วยอ่านให้ฟังย่อมได้”
หลิวเต้าเซียงยิ้มและพูดว่า “ท่านน้าคิดได้รอบคอบยิ่งนัก เพียงแต่ว่าพ่อข้าพออ่านหนังสือได้ แล้วก็สอนข้ากับพี่สาวด้วย เื่อ่านจดหมายคงไม่ต้องรบกวนผู้อื่น”
ที่นางพูดเช่นนี้ก็เพื่อยกสถานะของจางกุ้ยฮัว ถึงแม้นางจะดูยากจน แต่ก็มีครอบครัวที่รู้หนังสือ
ส่วนอีกเื่หนึ่งก็คือไม่้าให้ผู้มาเยือนดูถูกครอบครัวของนาง ถึงอย่างไรเขาก็ได้รับการไหว้วานจากจางอวี้เต๋อ นางทำเช่นนี้เพื่อให้เกียรติจางอวี้เต๋อด้วย
ถึงตอนนั้นก็ให้มีเื่เล่ากลับไปว่า พี่สาวของจางอวี้เต๋อรู้หนังสือ ไม่ใช่หญิงสาวชนบทที่หยาบโลน
พ่อบ้านซูท่าทางจริงจังไม่น้อย กระทั่งรอยยิ้มก็จริงใจกว่าเดิม “ที่แท้ครอบครัวของนายท่านหลิวเป็บัณฑิตแห่งการเกษตร ข้าน้อยตาไม่ถึงเองขอรับ”
หลิวเต้าเซียงมองขาดชัดเจนพร้อมกับทอดถอนใจ จริงตามคาด โลกสมัยโบราณนั้นทุกสรรพสิ่งล้วนเป็ของชั้นล่าง มีเพียงผู้รู้หนังสือที่สูงส่ง
ผู้รู้หนังสือไม่ว่าจะอยู่แห่งใดก็มักจะได้รับความเคารพจากผู้อื่นอยู่เสมอ
หลิวซานกุ้ยเงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาเปล่งประกายเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไรแล้วก้มหน้าอ่านจดหมายพร้อมกับจางกุ้ยฮัว
จดหมายของจางอวี้เต๋อไม่มีอะไรมากไปกว่าบอกกล่าวว่าตนเองยังอยู่ดี ส่วนใหญ่ก็บอกเล่าเื่ราวที่ตนเองได้เจอในหลายปีมานี้ แน่นอนว่าเขาเพียงแค่บอกกล่าวในด้านดี ไม่ได้เอ่ยถึงเื่เลวร้าย อย่างเช่นเื่ที่ถูกคนใส่ร้ายจนต้องเข้าห้องขัง เขาก็ไม่ได้ระบุถึง เพราะครอบครัวหลิวซานกุ้ยจะได้ไม่ต้องเป็กังวลไปด้วย
“เขายังต้องไปนอกสถานที่อยู่เรื่อยๆ หรือ?”
หลังจากอ่านจดหมายแล้ว หัวใจของจางกุ้ยฮัวที่เป็กังวลมาสิบกว่าปีในที่สุดก็สงบลง กระทั่งหลิวเต้าเซียงเองก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนไปของมารดา อืม ความรู้สึกที่เหมือนว่า ในที่สุดสองเท้าก็ยืนได้อย่างมั่นคงเสียที หรือจะบอกว่าวางใจเพราะมีที่พึ่งพาก็ไม่ผิด มันทำให้นางรู้สึกเช่นนั้นอยู่ไม่น้อย
นางพินิจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะได้ความกระจ่าง ครอบครัวฝั่งเ้าสาวจะได้ดีหรือไม่นั้นบ่งบอกได้จากสถานะของหญิงสาวในบ้านครอบครัวฝั่งสามี ตอนนี้จางอวี้เต๋อได้ดีแล้ว หมายความว่าหลิวฉีซื่อไม่สามารถปฏิบัติต่อนางได้เช่นแต่ก่อนอีกต่อไป
“แล้วก็ นี่คือกระดาษเงินที่นายท่านจางไหว้วานให้ข้านำมาให้ ทั้งหมดหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง นายท่านจางคงได้กล่าวถึงในจดหมายไว้แล้ว หนึ่งร้อยตำลึงไว้สำหรับสินเ้าสาวของนายหญิงหลิว ส่วนอีกห้าสิบตำลึงไว้ให้ฮูหยินใหญ่จางขอรับ”
พ่อบ้านซูหยิบกระดาษเงินหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงออกมาจากอกแล้วมอบให้จางกุ้ยฮัว ขณะเดียวกันก็มีรายการสินเ้าสาว ซึ่งระบุวันเวลาและผู้ที่ไหว้วานเพื่อมอบเป็สินเ้าสาวแก่จางกุ้ยฮัวไว้เรียบร้อย ด้านล่างมีนายอำเภอเป็พยานลงชื่อกำกับไว้
จางอวี้เต๋อทำเช่นนี้ เพียงเพื่อ้าป้องกันตัวจากตระกูลหลิว
จางกุ้ยฮัวรับรายการสินเ้าสาวมา จากนั้นพ่อบ้านซูกล่าวว่า “นายหญิงหลิวจะนำเงินเหล่านี้ไปซื้อที่นาหรือเครื่องประดับย่อมได้ ถึงอย่างไรในรายการสินเ้าสาวนั้นก็มีเงินจำนวนหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึงระบุไว้ในที่ว่าการ นายหญิงสามโปรดวางใจได้ ใครก็ไม่กล้าแตะต้องสินเ้าสาวของท่านแน่นอน”
คำพูดของเขาเมื่อพูดต่อหน้าทุกคน มันทำให้รู้สึกว่านี่คือสิ่งที่จางอวี้เต๋อตั้งใจกำชับมาเป็พิเศษ
“ดีเลย กุ้ยฮัว โฉนดที่ดินของบ้านเราก็เป็ชื่อเ้าไม่ใช่หรือ บันทึกลงในรายการสินเ้าสาวด้วยสิ”
หลิวซานกุ้ยไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว ในทางตรงกันข้าม เขารักใคร่เอ็นดูภรรยาที่ถูกข่มเหงมาตลอด
เขาเชื่อว่าผู้ชายควรมุ่งมั่นรอบทิศ ไม่ใช่การเล็งแต่ผลประโยชน์เล็กน้อยตรงหน้า ยิ่งไปกว่านั้น เขาในฐานะผู้ชายควรจะแบกรับหน้าที่ในการเลี้ยงดูครอบครัว
หลิวซานกุ้ยเป็บุรุษที่แท้จริง!
“นี่...” จางกุ้ยฮัวอยากพูด แต่ก็ไม่สมควรพูดตอนนี้ การบันทึกให้เป็ชื่อนางก็เพื่อป้องกันไม่ให้หลิวฉีซื่อะโออกมาแย่งที่ดินของครอบครัวนาง
หากบันทึกไว้ในรายการสินเ้าสาว ก็เท่ากับว่านี่เป็ของจางกุ้ยฮัวอย่างแท้จริง
“นายหญิงหลิว ข้าน้อยขอกล่าวอะไรสักหน่อย หากว่าลงนามในชื่อของท่านนับว่าเป็เื่ดี นี่เป็สินส่วนตัวของท่าน ต่อไปท่านอยากจะใช้อย่างไรก็ใช้ ไม่ต้องดูสีหน้าผู้อื่น”
ทันทีที่พ่อบ้านซูพูดแบบนี้ ใบหน้าของหลิวซานกุ้ยก็ดูไม่ค่อยดีนัก
บิดามารดาคือใต้หล้า หลิวซานกุ้ยสามารถน้อยเนื้อต่ำใจได้ แต่คนรอบข้างห้ามกล่าวถึงเด็ดขาด
หลิวเต้าเซียงแอบเอื้อมมือออกไปจับมือใหญ่ของหลิวซานกุ้ย พร้อมกับเงยหน้าขึ้นและกะพริบตา กระนั้นก็ส่งเสียงอ่อนหวาน “ท่านพ่อ!”
ทันใดนั้น ใบหน้าของหลิวซานกุ้ยก็บรรเทาลงมาก ช่างเถิด หากมารดาตนเองจะทำเช่นนั้นจริงก็ห้ามปากผู้อื่นไม่ได้หรอก
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีครอบครัวเล็กๆ ของตัวเองที่จะต้องปกป้อง
“ขอบคุณพ่อบ้านซูยิ่งนัก นี่คือที่พักพิงชั่วคราวของเรา บ้านหลังตรงข้ามแม่น้ำหน้าหมู่บ้านที่กำลังซ่อมแซมต่างหากที่เป็บ้านของข้า เพียงแต่ด้วยความที่จังหวะไม่เหมาะ บ้านหลังนั้นยังสร้างไม่เสร็จ มิเช่นนั้นคงสามารถเชิญพ่อบ้านซูไปนั่งที่นั่นและทานข้าวด้วยกัน”
พ่อบ้านซูเห็นว่าจัดการทุกอย่างได้เรียบร้อยดี จึงเอ่ย “อย่าได้เกรงใจ ครั้งหน้าข้าค่อยกลับมาพักที่เขตชิงโจวหลายวัน เพียงแต่วันนี้จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น ข้าน้อยคงต้องรีบกลับไปรับใช้นายท่านของข้าต่อ”
หลิวซานกุ้ยเห็นว่ารั้งเขาไว้ไม่ได้ จึงทอดถอนใจเล็กน้อย ขณะที่หลิวเต้าเซียงไม่ใช่คนยุคโบราณ แต่นางรู้ว่าสมควรมอบรางวัลให้แก่พ่อบ้านผู้นี้เล็กน้อย
ระหว่างที่หลิวซานกุ้ยและพ่อบ้านซูพูดคุยกัน นางหันหลังกลับอย่างเงียบๆ แล้วดึงแท่งโลหะสีเงินออกมาหนึ่งตำลึง แล้วหากระเป๋าเงินมาใส่
เงินแท่งหนึ่งตำลึงไม่มากไม่น้อย แต่แสดงให้เห็นถึงความจริงใจของครอบครัวนาง และไม่ทำให้พ่อบ้านซูดูถูกครอบครัวนาง
“พ่อบ้านซู นี่เป็น้ำใจเล็กน้อยจากครอบครัวของข้า พ่อบ้านซูได้โปรดรับไว้เป็ค่าน้ำชาระหว่างทางด้วยเถิด!”
พ่อบ้านซูมองหลิวเต้าเซียงด้วยความประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เมื่อเห็นนางยื่นกระเป๋ามาจึงรับไว้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมกล่าวขอบคุณ
ทั้งครอบครัวส่งพ่อบ้านซูออกจากประตูไป หลิวเต้าเซียงเหลียวมองในลานบ้าน รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เหมือนตนเองจะลืมอะไรไปอย่าง
“น้องรอง เ้ากําลังคิดอะไรอยู่?”
หลิวชิวเซียงหันไปเห็นน้องรองกำลังแหงนมองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย จึงอดคิดไม่ได้ “วางใจเถิด คราวนี้ได้เงินมา บ้านเราก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป”
เวลาง่วงแล้วมีคนยื่นหมอนมาให้เป็เช่นนี้นี่เอง
หลิวเต้าเซียงสะบัดศีรษะเล็กน้อย คิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิด!
นางยิ้มและมองไปที่หลิวชิวเซียง “ท่านพี่ คราวนี้ไม่ต้องกังวลแล้ว ท่านรอดูเถิด ถึงตอนนั้นหากหาเงินได้มา ข้าจะให้ท่านแม่ซื้อเด็กรับใช้มาให้เรา อื้ม แล้วยังต้องซื้อแม่ครัวด้วย ได้ยินหรือไม่ เมื่อครู่พ่อบ้านซูเรียกท่านว่าคุณหนูใหญ่ด้วย!”
หลิวเต้าเซียงปลื้มใจ แล้วะโเรียกผู้ใหญ่สองคนด้านหน้า “นายท่านสาม นายหญิงสาม เดินช้าหน่อย รอข้าน้อยด้วย”
จางกุ้ยฮัวหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ แล้วหันหลังมาดุพร้อมรอยยิ้ม “มิน่ายายเ้าบอกว่าเ้าเป็ลิงน้อย ยิ่งอยู่ยิ่งทะเล้นไปใหญ่”
หลิวซานกุ้ยยิ้ม เอื้อมมือไปลูบท้ายทอยของนางแล้วเอ่ยกับจางกุ้ยฮัวที่อยู่ด้านข้างว่า “ตอนนี้บ้านเรานับวันก็ยิ่งเจริญ ไม่แน่ว่าผ่านไปไม่นาน จะมีคนเรียกข้าว่านายท่านสาม และเรียกเ้าว่านายหญิงสามจริงๆ ก็ได้”
จางกุ้ยฮัวยิ้ม “เด็กๆ ทะเล้น เ้าก็ทะเล้นตามด้วยหรือ!”
หลิวซานกุ้ยยิ้มอย่างมีความสุข ฟังออกไม่ยากว่าในเสียงหัวเราะของเขานั้นผ่อนคลายเพียงใด เมื่อเทียบกับครั้งแรกที่หลิวเต้าเซียงเห็นเขา ความหนักอึ้งในใจที่กดทับเขาอยู่ตอนนี้ได้ปลิวไปกับสายลมแล้ว
หลิวเต้าเซียงรีบเดินไล่ขึ้นหน้า แล้วเอ่ยถามเสียงค่อย “ท่านพ่อ ที่ดินนั้นอยู่ในชื่อท่านแม่แล้วจริงหรือ?”
“เดิมที ข้าบอกกับหลี่เจิ้งว่าอย่าเพิ่งบอกกล่าวเื่นี้แก่ผู้ใด แต่ตอนนี้มีจดหมายจากน้าชายเ้า เช่นนี้ก็สามารถบอกได้แล้ว”
ทุกครั้งที่หลิวซานกุ้ยนึกถึงคนที่เคยรังแกภรรยาของเขาในอดีตกำลังใช้สายตาที่อิจฉาริษยามองดู อารมณ์นั้นราวกับฤดูร้อนที่เผาคนตายได้ และเมื่อได้ดื่มน้ำบ๊วยแช่เย็นสักแก้ว พูดได้คำเดียวว่า สาแก่ใจนัก!
“เฮ้อ วุ่นวายกันตั้งนาน สุดท้ายท่านแม่ข้าก็คือเศรษฐินีเ้าของที่ดินนี่เอง!”
หลิวเต้าเซียงก้าวไปข้างหน้าทันทีและกอดน่องของจางกุ้ยฮัว “นายหญิงสาม นายหญิงเ้าของที่ดิน ให้รางวัลข้าด้วยสิเ้าคะ!”
จางกุ้ยฮัวยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และใช้นิ้วจิ้มไปที่หน้าผากของนางเบาๆ อย่างรักใคร่เอ็นดู “ก็ได้ นายหญิงสามจะให้รางวัลเ้า!”
หลิวซานกุ้ยมองสองแม่ลูกเย้าแหย่กันอย่างสนุกสนานและยิ้มจนหุบไม่ลง
ครอบครัวของหลิวเต้าเซียงได้เงินที่ไม่คาดคิดก้อนนี้มา ย่อมต้องปรึกษากันว่าจะใช้อย่างไร
ตอนนี้จางกุ้ยฮัวรับผิดชอบทำบัญชีของครอบครัว นางจึงตรงเข้าประเด็น “ถึงอย่างไรที่ลูกรองได้มาหกสิบตำลึง เราใช้ไปสามสิบตำลึง ยังเหลืออีกสามสิบตำลึง ตรงนี้ยังมีอีกหนึ่งร้อยตำลึง จะได้นำมาซื้อลูกไก่และลูกหมูพอดี”
ในเขตอำเภอถู่หนิว ลูกไก่สามอีแปะต่อหนึ่งตัว ลูกหมูแพงกว่าเนื้อหมูสี่สิบอีแปะต่อหนึ่งชั่ง ฉะนั้นลูกหมูตัวเล็กหน่อยก็สี่ร้อยอีแปะ และตัวใหญ่หน่อยก็ห้าถึงหกร้อยอีแปะ
หลิวซานกุ้ยเพิ่งจะนั่งลงและยิ้ม “เหตุใดเ้าจึงใจร้อนเช่นนี้?”
จางกุ้ยฮัวเหลือบมองเขาและตอบว่า “ก่อนหน้านี้ไม่มีเงิน แต่ตอนนี้มีเงินแล้วไม่ใช่หรือ? ข้าเพิ่งคำนวณได้เมื่อครู่ ลูกหมูตัวเล็กเราซื้อในราคาแค่สี่ร้อยอีแปะต่อตัว ถึงอย่างไรก็เพิ่งผ่านตรุษจีนมา เวลาเพียงนิดเดียว ภายในหนึ่งปีคงมากพอที่จะเลี้ยงให้พวกมันตัวอ้วนพี”
“ท่านแม่ เื่ลูกไก่พวกท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะไปเดินละแวกนี้ ข้ารู้จักคนเลี้ยงไก่อยู่บ้าง ข้าจะไปสั่งกับพวกเขาเอง”
“ดี แม่จะได้เอาที่เหลือสามสิบตำลึงให้เ้า” จางกุ้ยฮัวได้เงินสินเ้าสาวมาก็ยิ่งมีความมั่นอกมั่นใจ
หลิวเต้าเซียงโบกมือและยิ้ม “ท่านแม่ ไม่ต้องรีบร้อน เงินเอาไว้ที่ท่านก่อน บ้านเราเลี้ยงไก่เลี้ยงหมู อาหารน้อยนิดเ่าั้คงไม่พอ ถึงเวลาหากจะซื้อรำข้าวก็ต้องใช้เงินอีก อีกอย่างข้าคุยกับคนเ่าั้ไว้แล้ว เงินค่าลูกไก่ขอติดไว้ก่อน รอจนไก่ออกไข่ค่อยดูว่าพวกเขาจะเอาเงินเป็ลูกไก่หรือเป็เงินคืน แล้วค่อยคิดในคราวเดียว ข้าบอกกับพวกนางแล้ว นอกจากนี้ไก่สิบตัวจะแถมรำข้าวให้หนึ่งชั่งด้วย”
-----
