ความเ็ปที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ราวกับมีมือที่สวมถุงมือหนามมาบีบขย้ำหัวใจอย่างรุนแรง อ๋าวหรานถูกความเ็ปที่ทำให้หายใจไม่ออกนี้ทำเอาดวงตามืดสนิท แค่ยืนให้มั่นคงก็ยังทำไม่ได้
ดีที่ความเ็ปนั้นเพียงไม่ถึงวินาทีก็จบลง หากไม่ใช่เพราะอ๋าวหรานยังเหลือความหวาดกลัวจากความเ็ปนั้นอยู่คงจะคิดว่านี่ไม่ใช่เื่จริง
จิ่งจื่อถึงแม้จะร้อนรน แต่ก็ยังดีที่ยังไม่ลืมว่าตัวเองเรียนวิชาแพทย์มา มือหนึ่งประคองอ๋าวหราน ส่วนอีกมือหนึ่งก็จับชีพจรของอ๋าวหราน แต่แล้วผ่านไปเสียเนิ่นนานกลับไม่พบความผิดปกติใดๆ จิ่งจื่อจึงอดขมวดคิ้วไม่ได้
อ๋าวหรานที่ดึงสติกลับมาได้แล้วเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาก็อดถามไม่ได้ว่า “ป่วยหนักจนไม่อาจรักษาได้แล้วหรือ?”
จิ่งจื่อกรอกตา “ถึงแม้ชีพจรจะเต้นเร็วไปสักหน่อย แต่ก็สมดุลดีมาก ไม่มีความผิดปกติใดๆ ” จากนั้นก็พูดอีกว่า “ร่างกายเ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง”
มือที่สั่นน้อยๆ ของอ๋าวหรานบีบนวดบริเวณหัวใจ “จู่ๆ ก็เจ็บหัวใจมาก แต่แค่ครู่เดียวก็หายไป ตอนนี้ไม่เป็ไรแล้ว ตรงส่วนอื่นก็ไม่เป็ไร”
จิ่งจื่อคิ้วขมวดมุ่น “เมื่อก่อนเคยเป็เช่นนี้หรือไม่?”
อ๋าวหรานลองคิดดู ไม่รู้ว่าเมื่อก่อนที่ปวดหัวใจบ้างบางครั้งนั่นนับหรือไม่
“หรือว่าเ้ามีโรคเกี่ยวกับหัวใจั้แ่เกิด?”
อ๋าวหรานส่ายศีรษะ ตัวเขานั้นไม่มี จำได้ว่าในนิยายต้นฉบับเ้าของร่างเดิมก็ไม่มีเช่นกัน ว่านเฟิงเองก็คงไม่มาเพิ่มบทให้กับตัวรับะุแทนอย่างไร้ประโยชน์หรอก
จู่ๆ จิ่งจื่อก็นึกอะไรขึ้นได้ สีหน้าเปลี่ยนไปทันที “คงไม่ใช่ว่าเ้าเด็กจิ่งเซิ้งนั่นเป็คนทำหรอกนะ?”
อ๋าวหรานคิดอย่างรอบคอบแล้วส่ายหน้าอย่างมั่นใจ “ไม่ใช่เขา”
จิ่งจื่อยังไม่เลิกจับชีพจรให้อ๋าวหราน ตอนนี้การเต้นของหัวใจของอ๋าวหรานเป็ปกติแล้ว ชีพจรก็เต้นไม่ช้าไม่เร็ว
“จิ่งจิ่ง จิ่งจื่อ! เ้าทำอะไรน่ะ? ห้ามปรารถนาในตัวพี่สะใภ้ของข้านะ”
คนทั้งสองสีหน้าดำคล้ำ หันศีรษะไปทางจิ่งเซียงที่เพิ่งเลิกเรียน นางทำท่าทางโกรธเกรี้ยวอย่างกับจับชู้ได้
จิ่งจื่อปล่อยข้อมือของอ๋าวหราน พูดอย่างดูถูกว่า “เ้าวางใจได้เต็มร้อย ข้าหาได้สนใจพี่สะใภ้ในอนาคตของเ้าไม่ เ้าน่าจะเป็ห่วงว่าอ๋าวหรานจะมีบุญรอดไปจนได้แต่งกับพี่ชายเ้าหรือไม่ดีกว่า”
อ๋าวหราน “...”
จิ่งเซียงมีสีหน้าสงสัย “หมาย...หมายความว่าเช่นไร?”
พูดจบจิ่งเซียงก็ตั้งใจมองอ๋าวหรานอย่างละเอียด ถึงได้พบว่าริมฝีปากของเขาซีดเซียว ที่หน้าผากก็มีเหงื่อซึม อดถามอย่างร้อนใจไม่ได้ว่า “เ้าเป็อะไรไปหรือ?”
อ๋าวหรานส่ายหน้า พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่แฝงไปด้วยแววหยอกล้อ “จู่ๆ ก็เจ็บหัวใจขึ้นมาครู่หนึ่ง ตอนนี้ข้าไม่เป็ไรแล้ว”
จิ่งจื่อเห็นเขาพูดอย่างง่ายดายเหมือนไม่เป็อะไร อยากจะเพิ่มเติมสักหน่อย แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี จึงเม้มปากเงียบ
จิ่งเซียงจี้ถาม “เป็โรคอะไรหรือ?”
จิ่งจื่อส่ายหน้า “ดูไม่ออก”
จิ่งเซียงมองจิ่งจื่ออย่างผิดหวังปนโกรธเกรี้ยว “อย่างน้อยเ้าก็เรียนวิชาแพทย์มาสิบกว่าปีแล้ว เป็โรคอะไรยังดูไม่ออกอีก”
จิ่งจื่อ “...”
จิ่งเซียงพูดจบก็รีบยื่นมือไปวางบนข้อมือของอ๋าวหราน แต่ทว่าผ่านไปสิบห้านาทีเต็มๆ ก็ยังดูอะไรไม่ออก ชีพจรของอ๋าวหรานปกติจนไม่รู้จะปกติอย่างไรแล้ว ชีพจรดูแข็งแรงมีพลัง เต้นขึ้นเต้นลงอย่างร่าเริง แสดงให้เห็นว่าอ๋าวหรานสุขภาพแข็งแรงดี กินอะไรก็รู้รส ทานอะไรก็อร่อย
จิ่งเซียงสอดส่องไปมาบนหน้าเขา มองทั้งสองอย่างเย็นเยียบ “พวกเ้า...คงไม่ได้ใช้กลยุทธ์ ‘ิซิวจ้านเต้า อันตู้เฉินฉาง[1]’ หลอกข้าเพื่อจะปิดบังอะไรบางอย่างหรอกใช่หรือไม่”
อ๋าวหราน “...”
จิ่งจื่อ “...” ปิดบังบ้าอะไรของเ้า!
จิ่งเซียงจริงๆ แล้วก็ตั้งใจล้อเล่น รู้ว่าทั้งสองคงไม่เอาเื่เช่นนี้มาหลอกนางเป็แน่ “ไป ไปหาพี่ชายข้า”
“หาข้าทำไมหรือ?”
เยี่ยม โจโฉมาแล้ว
“พี่ กำลังหาท่านอยู่พอดีเลย” พูดจบก็บอกอย่างร้อนรนว่า “อ๋าวหรานบอกว่าเขาเจ็บหัวใจ”
จิ่งฝานชะงักไปเล็กน้อย มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อถึงกับสั่นระริก แต่สีหน้ากลับดูสงบนิ่ง “เป็อันใด?”
จิ่งจื่อที่อยู่อีกด้านตอบว่า “ดูไม่ออก แต่เห็นเขาเจ็บเอามากๆ แต่แค่สักพักก็หายแล้ว”
จิ่งฝานขมวดคิ้ว “ให้ข้าดูหน่อย ยังไม่กินข้าวกันใช่หรือไม่? ถ้าเช่นนั้นก็กินไปพูดไปเถิด”
——
บนโต๊ะอาหาร
นิ้วทั้งสามของจิ่งฝานวางลงบนข้อมือของอ๋าวหราน คนที่เหลือต่างจ้องมองเขา ไม่ยอมพลาดการเปลี่ยนแปลงใดๆ บนใบหน้าเขา ทว่าอย่างไรก็ตาม ใบหน้าของคนคนนี้ก็ยังคงไร้ความรู้สึกเช่นเดิม
เนิ่นนานกว่าจิ่งฝานจะหดมือกลับไป “ชีพจรมั่นคงดี ไม่มีปัญหาอะไร”
จิ่งจื่อแปลกใจ “เช่นนั้นเหตุใดเขาถึงเจ็บเหมือนจะเป็จะตายเล่า”
จิ่งฝานส่ายศีรษะ “ตอนนี้ข้าก็ยังดูไม่ออก เมื่อก่อนเคยเป็เช่นนี้หรือไม่”
อ๋าวหรานยังไม่ทันตอบ จิ่งจื่อก็ชิงตอบก่อนว่า “เขาบอกว่าไม่มี”
จิ่งฝานกล่าวต่อว่า “คงทำได้แค่รอดูว่าจะเป็แบบนี้อีกหรือไม่ ข้าจะกลับไปตรวจค้นดูว่ามีโรคแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า”
อ๋าวหรานพยักหน้า อดยื่นมือไปลูบหัวใจไม่ได้ ความเ็ปนั้น...แค่คิดก็ยังอดตัวสั่นไม่ได้
หลังจากพวกเขากินข้าวเสร็จก็บอกว่าตอนบ่ายคงมากินด้วยไม่ได้ แล้วต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไป
ความเ็ปแค่ครู่เดียวของอ๋าวหรานนั้นราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้น แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังคิดว่าร่างกายเขาแข็งแรงมาก ไม่มีตรงไหนไม่สบาย ยังะโโลดเต้นราวกับัทะยานพยัคฆ์โผน[2] ได้อยู่
อ๋าวหรานนั่งลงบนพื้นในสวนสมุนไพร ในหัวเรียกระบบนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ไม่มีอะไรตอบกลับมา สิ่งที่ไม่รู้ว่าเป็คนหรือหุ่นยนต์นี้ราวกับสลายหายเป็อากาศธาตุก็ไม่ปาน เมื่อเรียกไม่ได้ผลก็ทำได้เพียงยอมแพ้ อ๋าวหรานเดาว่าในเมื่อสืบทอดร่างที่น่าจะตายไปแล้วเช่นนี้ หรือจะต้องมีค่าตอบแทนถึงจะได้อย่างสมบูรณ์?
เวลา่บ่ายผ่านไปอย่างรวดเร็ว อ๋าวหรานตั้งใจทำสมองให้โล่งที่สุด เขาใช้สมาธิถึงสองร้อยเปอร์เซ็นต์ ตั้งใจเรียนอย่างเต็มที่ ปรากฏว่าได้ผลไม่เลวทีเดียว ตกเย็นแล้ว เมื่อเขามองตัวอักษรบนคัมภีร์ไม่เห็นแล้ว อ๋าวหรานจึงเก็บของเตรียมตัวกลับ
ตอนนี้อากาศเย็นลงมาก ลมยามสายัณห์พัดผ่านมา เงาไม้เอนไหว อ๋าวหรานอดทอดถอนใจไม่ได้ว่าทัศนียภาพอันบริสุทธิ์ที่ไร้การปนเปื้อนของชีวิตในยุคโบราณนี้ช่างงดงามเหลือเกิน ทำให้ผู้คนตัดใจจากไปไม่ได้
เขาของตระกูลจิ่งลูกนี้มีประวัติความเป็มานับพันปี ตอนนี้ถูกปรับแต่งไว้อย่างสมบูรณ์ ถนนทุกสายล้วนปูหินขัดเงาเอาไว้แลดูแวววาวสวยงาม ถึงแม้จะตกเย็นแล้วทำให้เห็นไม่ชัดเจน แต่ความรู้สึกที่เท้าล้วนสามารถััได้
“นำเงินมาหรือยัง? เอาออกมา!” น้ำเสียงแหลมสูง มีความโอหังแฝงอยู่
อ๋าวหรานงงงวยหันมองทั้งสี่ทิศ ไม่มีคนนี่ แล้วใครพูดอะไรอยู่ที่ไหน?
“มีแค่นี้หรือ?” คราวนี้เป็อีกเสียงหนึ่ง น้ำเสียงแหบต่ำแฝงไปด้วยความสงสัยและชั่วร้าย “อย่ามาหลอกพวกเราเลยน่า”
“ไม่...ไม่มีแล้ว ข้ามีแค่นี้” คราวนี้เป็เสียงของสตรีเพศ น้ำเสียงแฝงแววสะอื้นสั่นเทาแ่เบาราวกับหวาดกลัวเป็อย่างมาก “ครั้งก่อน...ครั้งก่อนก็ให้พวกเ้าไปรอบหนึ่งแล้ว”
อ๋าวหรานได้ยินเสียงนี้ก็อึ้งไป ทำไมฟังแล้วคล้ายเสียงของชิงโย้ว
“อือ...อ๊ะ เจ็บ!” ไม่รู้ว่าสองคนนั้นทำอะไร เด็กสาวคนนั้นเจ็บจนร้องออกมา
“อย่ามาหลอกข้า! ่นี้เห็นเ้าไปที่ห้องของคุณชายอ๋าวท่านนั้นบ่อยๆ ทำไม? ล่อลวงสำเร็จแล้วหรือ?” ระหว่างที่พูดก็หัวเราะอย่างน่ารังเกียจ แค่ฟังเสียงก็สามารถจินตนาการถึงสีหน้าหยาบช้าของเขาได้ “เขาไม่ให้รางวัลชื่นชมเ้าสักหน่อยหรือ? คงไม่ใช่ให้เขาได้ไปเปล่าๆ หรอกนะ?”
“น่าไม่อาย! หุบปากเสีย!” เด็กสาวคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่สูงขึ้นราวกับโกรธจัด ความกลัวแต่เดิมไม่รู้ถูกแรงจากไหนมาพังทลายไปแล้ว ตอนนี้น้ำเสียงล้วนแฝงไปด้วยความโกรธและมั่นใจ “คุณชายอ๋าวเป็คนดี พวกเ้าอย่าเอาความคิดสกปรกๆ เช่นนี้ไปสงสัยเขา!”
เป็ชิงโย้วจริงๆ อ๋าวหรานเดินไปตามเสียงนั้น
“นังเด็กบ้า! บังอาจผลักข้า ไม่อยากอยู่แล้วสินะ!” ชายคนนั้นรูปร่างบึกบึน ฝ่ามือใหญ่เงื้อขึ้น เสียงลมจากฝ่ามือทำให้ชิงโย้วใจนต้องหันหน้าหลบ น่าเสียดายที่เส้นผมอันงดงามถูกอีกคนหนึ่งจับเอาไว้ ดึงทีเดียวเจ็บไปทั้งหนังศีรษะ ไม่อาจไม่เงยหน้ารับฝ่ามือนั้นได้
แต่ทว่าผ่านไปเนิ่นนาน ความเ็ปก็มาไม่ถึงเสียที ชิงโย้วเงยหน้ามอง เห็นข้อมือของหลิวเอ้อฉีถูกคนตรงหน้าคว้าเอาไว้ได้
ชิงโย้วถูกอ๋าวหรานที่จู่ๆ ก็โผล่มาทำให้อึ้งไป ทำอะไรไม่ถูก อ๋าวหรานปลอบใจนางด้วยการหันมามองทีหนึ่ง จากนั้นหันศีรษะกลับไปแล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็เหี้ยมเกรียม มองคนสองคนที่รังแกคนอย่างดุร้าย “ไสหัวไป!”
หลิวเอ้อฉีนั้นคงกร่างจนเป็นิสัย เห็นแล้วก็ไม่หวั่นกลัว กลับเปลี่ยนสีหน้าให้ไร้ความรู้สึก เหยียดปาก ท่าทางยโสอย่างยิ่ง “คุณชายอ๋าวใช่หรือไม่? ที่นี่คือตระกูลจิ่ง! ไม่ใช่ตระกูลอ๋าวของเ้า ยุ่งมากเกินไปแล้วกระมัง เ้าไม่รู้หรือว่าข้าเป็ใคร เป็คนที่คนนอกเช่นเ้าควรจะหาเื่อย่างนั้นหรือ”
อ๋าวหรานหมดคำจะพูด วันนี้ถูกคนเตือนสติเป็ครั้งที่สองแล้วว่าต้องทำตัวสงบเสงี่ยม ใช้ชีวิตให้ผ่านไปเงียบๆ ตระกูลจิ่งมีคนใหญ่คนโตมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ ทำไมไม่เคยได้ยินมาก่อน
เมื่อเห็นอ๋าวหรานไม่พูดอะไร หลิวเอ้อฉีคิดว่าเขาคงกลัวเป็แน่จึงหัวเราะหึๆ เยาะเย้ย “คุณชายอ๋าว ขอเตือนท่านสักหน่อย ท่านจะไปเองหรือจะให้เรา…”
อ๋าวหราน “...”
ชิงโย้วที่อยู่อีกด้านพูดอย่างร้อนรน “คุณชายอ๋าว! ไม่ต้องสนใจข้า”
พรรคพวกของหลิวเอ้อฉีเห็นชิงโย้วรุดหน้าขึ้นมาก็จับแขนนางไว้แน่น “หุบปาก!”
ส่วนหลิวเอ้อฉีก็พูดประโยคที่ยังพูดไม่จบเมื่อกี้นี้ต่อว่า “หรือจะให้เราส่งท่านกลับไป ถ้าไม่เช่นนั้นก็คงต้องให้ได้รับความทุกข์ทางกายกันสักเล็กน้อย ไม่ทราบคุณชายอ๋าวจะเลือกอย่างไหน?”
จู่ๆ อ๋าวหรานก็หัวเราะออกมาทีหนึ่ง ถึงแม้จะดูงดงาม แต่ก็ดูโหดร้ายด้วยเช่นกัน หลิวเอ้อฉีรู้สึกหนาวขึ้นมาเสียเฉยๆ อ๋าวหรานกดเสียงต่ำแล้วพูดว่า “ให้ข้าส่งพวกเ้ากลับเถิด”
อ๋าวหรานพูดจบก็ไม่รอให้คนทั้งสองมีปฏิกิริยา ถีบไปที่ท้องของหลิวเอ้อฉีทันที แรงถีบส่งผลให้เขากระเด็นออกไปไกลหลายเมตร ถึงขนาดล้มลงไปบนพื้นตั้งนานก็ยังลุกไม่ขึ้น พรรคพวกอีกคนถูกสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปกะทันหันนี้ทำให้ใจนนิ่งงันเป็ไก่ไม้ [3] อยู่ตรงนั้นไม่กล้าขยับไปไหน
อ๋าวหรานยิ้มแล้วมองเขา “เ้าก็้าให้ข้าส่งเ้าไปด้วยหรือไม่?”
คนผู้นั้นร้อนรนส่ายศีรษะ เปิดปากกว้างแล้วพูดว่า “มิกล้า! มิกล้า! ข้าไปเอง!”
“ไสหัวไป! หากข้าเห็นว่าพวกเ้ายังรังแกนางอีก ข้าจะหักขาพวกเ้าทิ้งเสีย!” เมื่ออ๋าวหรานทำท่าทางโหดร้ายก็ดูเข้าทีอยู่ ดวงตาโหดร้ายคู่นั้นราวกับจะมีเืทะลักออกมา น้ำเสียงที่พูดฟังดูเหี้ยมเกรียม ไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ ทำให้คนทั้งสองใจนเหงื่อท่วมตัว รีบลุกลี้ลุกลนลุกขึ้นมา เดี๋ยวล้มเดี๋ยวลุก แล้วจึงให้คำรับรองไปด้วยว่า “ขอรับๆๆ! ผู้น้อยไม่กล้าแล้ว ผู้น้อยจะไสหัวไปเดี๋ยวนี้ จะไสหัวไปเดี๋ยวนี้แหละขอรับ!”
อ๋าวหรานทำเสียงดุพูดอีกว่า “กลับมาก่อน!”
คนทั้งสองรู้สึกเย็นเยียบ หยุดเดินตัวสั่นเทา “คุณ...คุณชายอ๋าวมีอะไรจะ...สั่งหรือขอรับ?”
อ๋าวหราน “คืนเงินให้นางไป”
คนที่ถือเงินอยู่รีบวิ่งเอาเงินมาให้ คืนเงินให้ชิงโย้วอย่างนอบน้อม เมื่อเห็นชิงโย้วเก็บเงินไป แววตาหวาดกลัวก็หันไปมองอ๋าวหราน อ๋าวหรานก็ี้เีเอาความอีกจึงพูดไปคำหนึ่งว่า “ไสหัวไป!”
แล้วคนทั้งสองก็เผ่นแน่บไปอย่างรวดเร็ว
เชิงอรรถ
[1] “ิซิวจ้านเต้า” (明修栈道) คือ กลยุทธ์ที่ใช้สถานที่อันตรายซึ่งเต็มไปด้วยหินพรุนและหน้าผาสูงชัน ก่อสร้างด้วยโครงไม้ ทำเป็ช่องทางเดินสำหรับเดินทัพ ขนส่งเสบียงอาหารและสัมภาระ แถมยังสามารถให้คาราวานใช้เดินทางและเคลื่อนทัพได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย ส่วนกลยุทธ์ “อันตู้เฉินฉาง” (暗渡陈仓) คือ กลยุทธ์ที่สร้างความสับสนให้กับศัตรูที่อยู่ตรงหน้า โดยการโจมตีอย่างคาดไม่ถึงจากด้านข้าง โดยรวมแล้วก็คือ เป็กลยุทธ์ที่ปิดบังบางอย่างเพื่อผลลัพธ์ที่้า
[2] หมายถึง การอุปมาัที่มีชีวิตชีวา และเสือโคร่งที่แข็งแกร่ง มีพลัง
[3] นิ่งงันเป็ไก่ไม้ เป็สำนวน หมายถึง เหม่อค้างด้วยความตกตะลึงหรือตื่นตระหนกจนแข็งทื่อราวกับไม้สลักรูปไก่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้