ณ ห้วงเวลาที่ร่างของซ่งเหยียนเฟยกำลังแตกสลายประหนึ่งบุปผาต้องวายุพัด ร่างหนึ่งพลันปรากฏกายดุจเทพเซียนเหินลงจากสรวง์ ท่ามกลางกระแสพลังที่บิดเบี้ยว ร่างนั้นทิ้งกายลงสู่ใจกลางค่ายกล หากพิจารณาด้วยสายตาถี่ถ้วน จะประจักษ์ชัดว่ารูปโฉมนั้นละม้ายคล้ายคลึงซ่งเหยียนเฟยมิมีผิดเพี้ยน เว้นแต่เพียงสัดส่วนที่ย่อลงราวกับถอดแบบมาในขนาดเล็ก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่คือซ่งเหยียนเฟยในร่างจำลองอันน่าพิศวง
จากเดิมที่ซ่งเหยียนเฟยเป็บุรุษหนุ่มรูปงาม ดวงหน้าหวานล้ำประดุจสตรีแรกแย้ม เมื่อกลับกลายร่างเป็ขนาดจิ๋ว กลับดูน่ารักน่าเอ็นดูราวกับตุ๊กตาแก้วเจียระไนก็มิปาน ผิวพรรณผุดผ่องดุจหิมะแรกต้องแสงจันทร์ ั์ตากลมโตเปล่งประกายราวดวงดาราบนฟากฟ้า จมูกโด่งเล็กรับกับริมฝีปากบางราวกลีบดอกเหมย
รอบกายของร่างน้อยนั้นเกิดการสั่นะเือย่างรุนแรง ประหนึ่งมีหลุมดำอมฤตย์ขนาดั์กำลังอ้าปากกลืนกินสรรพสิ่งในห้วงมิติ พลังงานอันมหาศาลหมุนวนรอบตัวเขา ก่อเกิดเป็กระแสลมที่พัดโหมกระหน่ำราวพายุคลั่ง แสงสีม่วงครามสาดส่องเจิดจ้าจนแสบตา
"พรึ่บ!" ทันใดนั้น สรรพสิ่งก็กลับคืนสู่ความสงบเงียบ ราวกับมิเคยมีสิ่งใดปรากฏ ณ ที่แห่งนี้มาก่อน ร่องรอยแห่งการต่อสู้และพลังทำลายล้างเมื่อครู่พลันเลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย คงเหลือไว้เพียงความว่างเปล่าอันเวิ้งว้าง
ทางฝั่งซ่งเหยียนเฟย ร่างกายที่บอบช้ำจากการปะทะและพิษร้าย ส่งผลให้สติสัมปชัญญะเลือนราง เขาผล็อยหลับใหลไปภายใต้กระแสพลังแห่งการข้ามมิติของค่ายกล ประหนึ่งดวงิญญาที่ล่องลอยอยู่ในห้วงแห่งความฝันอันไร้จุดหมาย โดยมิอาจรับรู้ได้เลยว่าตนเองกำลังถูกนำพาไปยังดินแดนอันไกลโพ้น สุดจะหยั่งถึง
---
ตระกูลซ่ง นามนี้ก้องกังวานดุจสายฟ้าฟาด เป็หนึ่งในสี่เสาหลักค้ำจุนแผ่นดินอันไพศาลแห่งนี้ อาณาเขตนับร้อยแคว้นล้วนสยบภายใต้อำนาจแห่งตระกูลซ่ง แม้สายเืัในกายมิได้บริสุทธิ์ดุจราชันย์แห่งท้องนที แต่พวกเขาก็ได้รับการยกย่องว่าเป็หนึ่งในเผ่าพันธุ์ัผู้ทรงพลังอำนาจ ความแข็งแกร่งของพวกเขาล้ำเลิศเกินกว่าจินตนาการจะหยั่งถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพละกำลังทางกายภาพนั้นแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า
พวกเขาจึงได้รับการเคารพยำเกรงจากผู้คนทั่วทุกสารทิศ ผู้นำแห่งตระกูลซ่ง นามว่า ซ่งไป่ฟ่าน บิดาผู้ให้กำเนิดแก่ ซ่งเหยียนเฟย และ ซ่งเหว่ยนาน ความแข็งแกร่งและเกียรติยศของเขาสร้างความหวั่นไหวให้แก่ผู้คนยิ่งนัก ข่าวลือเล่าขานว่าเขายืนอยู่ ณ จุดสูงสุดแห่งความแข็งแกร่งในบรรดาผู้นำตระกูลชั้นนำทั้งสี่ ความน่าเกรงขามของเขานั้นแผ่ซ่านจนผู้คนแทบกลั้นหายใจ
สำหรับบุคลิกนั้น ซ่งไป่ฟ่านเป็บุรุษผู้เด็ดเดี่ยวเฉียบขาด โเี้อำมหิตต่อศัตรูราวกับพญามัจจุราช แต่สำหรับบุตรและคนในครอบครัวแล้ว เขากลับเป็บิดาผู้แสนธรรมดา เปี่ยมด้วยความเมตตาและใจดีอย่างหาที่เปรียบมิได้
ยามราตรีอันเงียบสงัด แสงจันทร์สาดส่องลอดบานหน้าต่างลงสู่ห้องโถงใหญ่โอ่อ่า ภายในห้องนั้น ชายวัยกลางคนผู้มีเส้นผมสีแดงเพลิงราวกับเปลวสุริยัน กำลังนั่งหลับตาอยู่บนเก้าอี้ทองคำอร่าม ณ ใจกลางห้องโถงอันศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลซ่ง ราวกับกำลังครุ่นคิดถึงภารกิจอันสำคัญ เก้าอี้ทองคำนี้ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า โดยมีเก้าอี้อื่นๆ เรียงรายเป็แถวยาวขนาบสองข้าง ด้านละเก้าตัว ซึ่งเป็ที่นั่งของบรรดาผู้าุโผู้ทรงภูมิแห่งตระกูล
เื้ัเก้าอี้ทองคำนั้น ปรากฏรูปสลักัเพลิงสีแดงฉาน ดวงตาทั้งสองข้างเปล่งประกายดุจดวงดารา หากผู้ใดที่มีจิตใจอ่อนแอ เมื่อได้ยลรูปสลักนี้ ย่อมมิอาจรักษาความสงบในจิตใจไว้ได้เป็แน่
ด้วยความน่าเกรงขามที่แผ่ออกมานั้น ราวกับว่ามีพญาัเพลิงขนาดมหึมากำลังกางปีกปกคลุมผืนฟ้า จ้องมองลงมาด้วยสายตาที่กดดัน สะกดข่มผู้ที่มองให้หวาดหวั่นพรั่นพรึง บรรยากาศภายในห้องโถงในยามนี้เงียบเชียบสนิท ไร้ซึ่งสุรเสียงใดๆ รบกวนความสงบอันน่าสะพรึงกลัว
ในห้วงแห่งความเงียบสงัดนั้น พลันบังเกิดเสียงหนึ่งดังมาจากทิศทางของประตูใหญ่
"เรียนท่านประมุข มีเื่เร่งด่วนขอรับ!"
ชายผมแดงซึ่งนั่งประทับอยู่บนบัลลังก์ทองคำ ได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยเสียงต่ำ
"เข้ามา"
"เอี๊ยด..." บานประตูไม้เนื้อดีค่อยๆ เปิดออก พร้อมกับการปรากฏกายของบุรุษร่างสูงในชุดคลุมสีดำสนิท ผ้าคลุมศีรษะปกปิดใบหน้ามิดชิด เขาเดินเข้ามาด้วยท่าทีนอบน้อม คุกเข่าลงเบื้องหน้าบัลลังก์ ประสานมือคารวะ
"มีเื่อันใด?" ซ่งไป่ฟ่านเอ่ยถาม น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจ
"ทูลเรียนท่านประมุข ประมุขน้อย...ได้หายตัวไปแล้วขอรับ!" ชายชุดดำก้มหน้าตอบ น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
ฉับพลัน! เปลือกตาของซ่งไป่ฟ่านพลันเปิดขึ้น แสงสีแดงฉานดุจโลหิตฉายประกายเจิดจ้า อุณหภูมิในห้องโถงพลันสูงขึ้นราวกับมีดวงสุริยันเพลิงลอยเด่นอยู่เบื้องหน้า มิติรอบข้างราวกับจะบิดเบี้ยวแตกสลายภายใต้แรงกดดันอันมหาศาล ั์ตาสีเพลิงคู่นั้นจ้องมองไปยังร่างในชุดดำราวกับจะทะลุปรุโปร่ง จากนั้นจิตััอันแข็งแกร่งดุจสายฟ้าฟาดก็แผ่ขยายออกไปในพริบตาเดียว ครอบคลุมพื้นที่นับแสนลี้ เพียงแค่ความคิดวูบหนึ่ง จิตของเขาก็สามารถหยั่งรู้ทุกสรรพสิ่งในรัศมีนั้น นี่คือพลังอำนาจที่แท้จริงของผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดแห่งยุทธภพ
"หึ!" เสียงคำรามต่ำลึกดังก้องกังวานราวกับ
อสนีบาตฟาดผ่าลงกลางใจของทุกคนในตระกูลซ่งที่อยู่ในบริเวณนั้น "พรึ่บ!" ร่างสูงสง่าพลันหายวับไปจากเก้าอี้ทองคำทันที ทุกผู้คนในตระกูลซ่งต่างตื่นตระหนกใ ต่างสงสัยว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นกันแน่ พวกเขาไม่เคยเห็นประมุขของตนเองกริ้วโกรธถึงเพียงนี้มาก่อน เสียงซุบซิบนินทาจึงเริ่มดังขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้
ชายผู้หนึ่งกำลังประคองถ้วยชาหอมกรุ่น เป่าไล่ความร้อนพลางเตรียมยกขึ้นจิบ ทว่าเมื่อได้ยินเสียงกึกก้องแห่งความกริ้วโกรธของประมุขตระกูลซ่ง มือที่ถือถ้วยชาพลันสั่นเทิ้ม จนเผลอปล่อยถ้วยร่วงลงพื้นแตกกระจาย สร้างความตกตะลึงและอับอายให้แก่เขายิ่งนัก
"ไอหยา! เ้าว่าท่านประมุขพบเจอสิ่งใดเข้า ถึงได้กริ้วโกรธถึงเพียงนี้?"
"เพ่ย! ข้าเองก็นั่งอยู่กับเ้าตลอดเวลา จะไปล่วงรู้ได้อย่างไร!"
ชายชราสองคนซึ่งเป็ผู้าุโของตระกูล กำลังนั่งจิบชาสนทนาสัพเพเหระอยู่ในสวนหลังเรือนอันเงียบสงบ พลันได้ยินเสียงคำรามก้องกังวานด้วยความโกรธเกรี้ยวของประมุข จึงอดที่จะเอ่ยถามด้วยความสงสัยมิได้
"หรือว่าเื่นี้...อาจเกี่ยวข้องกับประมุขน้อย?" ชายชราผู้หนึ่งกลอกั์ตาเล็กน้อย พลางเอ่ยขึ้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากความน่าอับอายที่ตนเองเพิ่งก่อ แต่ถึงกระนั้น เขาก็อดคิดมิได้ว่าเื่นี้อาจเป็ความจริง เพราะในใจของพวกเขาแล้ว ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปยิ่งกว่าครอบครัวและวงศ์ตระกูล ซึ่งเป็สิ่งที่ทุกคนในตระกูลซ่งต่างตระหนักดี
"ข้าเองก็มิอาจคาดเดา รอท่านประมุขกลับมาแจ้งด้วยตนเองเถิด" อีกผู้หนึ่งตอบพลางมองหน้าสหายด้วยรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความขบขัน
จากนั้นชายชราทั้งสองก็นั่งขมวดคิ้วครุ่นคิดถึงความเป็ไปได้ต่างๆ นานา ยิ่งคิดถึงผลที่จะตามมาในภายภาคหน้า ก็ยิ่งรู้สึกหนักใจและกังวลเป็ทวีคูณ
---
"เรียกขุนพลหน่วยัคำรามทั้งหมดตามข้ามา บัดนี้จงมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออก สามหมื่นลี้!"
เสียงทรงอำนาจดังก้องกังวานอยู่ในห้วงความคิดของชายชุดดำ ราวกับราชโองการจาก์
"น้อมรับบัญชา ท่านประมุข!" เขาตอบรับด้วยความเคารพสูงสุด รีบลุกขึ้นจากพื้นดินแล้วก้าวเท้าออกจากห้องโถงไปในทันที ดุจพยัคฆ์ร้ายที่ได้รับคำสั่งจากนายเหนือหัว
---
ภายหลังจากที่ อวี้เหวิน ได้รับรู้ถึงเื่ราวความทุกข์ยากที่มารดาต้องเผชิญ หัวใจของเขาก็ลุกโชนด้วยเปลวเพลิงแห่งความมุ่งมั่น เขาตั้งสัจจะกับตนเองว่าจะต้องฝึกฝนตนเองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อช่วยเหลือมารดาอันเป็ที่รักให้พ้นจากห้วงทุกข์ทรมาน ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจในค่ำคืนอันมืดมิดนั้น สองพ่อลูกก็ผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนที่ถาโถมเข้าใส่ราวกับคลื่นทะเล
สิบวันล่วงเลยผ่านไปดุจสายน้ำไหล อวี้เหวินได้เริ่มการฝึกฝนอย่างหนักหน่วง พลังกายของเขาพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับติดปีกโบยบินสู่ท้องฟ้า เป็ผลมาจากความพากเพียรพยายามอย่างไม่ย่อท้อ ผนวกกับจิตใจที่เข้มแข็งดุจขุนเขา หลังจากสิ้นสุดการฝึกฝนในวันนี้ เขาจึงทิ้งกายลงบนเตียงเพื่อนอนหลับพักผ่อน เพื่อฟื้นฟูเรี่ยวแรง เนื่องจากในรุ่งอรุณของวันพรุ่งนี้ เขามีภารกิจสำคัญที่จะต้องขึ้นไปยังขุนเขาเพื่อหาเสบียงอาหารอีกครั้ง
ท้องนภาเหนือเมืองที่อวี้เหวินอาศัย แม้จะล่วงเลยมาถึงสิบค่ำคืนแล้วก็ตาม กลับยังคงมืดมิดสนิท ไร้ซึ่งแสงแห่งดวงดารา แม้แต่แสงนวลของจันทราก็ถูกเมฆดำทะมึนบดบังจนสิ้น มีเพียงกลุ่มเมฆสีดำมืดที่เคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า ปล่อยให้ผู้คนที่แหงนมองต่างรู้สึกเหงาเศร้าจับใจ ราวกับท้องฟ้ากำลังกลั้นน้ำตาไว้มิให้ไหลริน
ฟิ้ววว... ท่ามกลางความมืดมิดอันไร้ขอบเขต ปรากฏดวงไฟสีแดงฉานดวงหนึ่ง เคลื่อนที่ด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด ผ่าข้ามท้องฟ้าอันมืดมิด ก่อนจะพุ่งตกลงไปยังทิวเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่ใกล้กับเมือง ค่ำคืนนี้เป็คืนที่เงียบสงัด ปราศจากผู้คนสัญจรไปมา จึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นแสงเพลิงประหลาดดวงนี้ แม้จะมีผู้พบเห็น ก็คงคิดว่าเป็เพียงดวงดาวที่ตกลงมาจากฟากฟ้า มิได้มีความพิเศษอันใดให้ต้องใส่ใจ
ก่อนที่ดวงไฟจะััพื้นดิน ความเร็วของมันพลันลดลงอย่างรวดเร็วจนหยุดนิ่ง "พลั่ก!" สิ่งหนึ่งตกลงมากระแทกพื้นเบาๆ หากมิได้พิจารณาถึงสีหน้าซีดเซียว ริมฝีปากแห้งผาก การหายใจที่แ่เบา และร่องรอยาแตามร่างกายแล้ว จะพบว่านี่คือตุ๊กตามนุษย์ย่อส่วนตัวหนึ่งเท่านั้น บัดนี้ ซ่งเหยียนเฟย ยังคงสลบไม่ได้สติอยู่ ณ ที่แห่งนั้น
"กรร..." เสียงขู่คำรามต่ำลึกดังมาจากเหล่าหมาป่าอสูรที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น เมื่อพวกมันััได้ถึงการปรากฏตัวของสิ่งแปลกประหลาดที่ตกลงมาจากฟากฟ้า พวกมันต่างย่างเท้าด้วยความระมัดระวัง ขนบนหลังลุกชัน เพ่งพิศดวงตาสีเขียวเรืองรองเพื่อพิจารณาว่าสิ่งนั้นคือสิ่งใด ทว่าเมื่อพวกมันพบว่าสิ่งที่ตกลงมานั้นเป็เพียงมนุษย์ตัวเล็กๆ ธรรมดาๆ ตื่นหนึ่ง พวกมันจึงคลายความตึงเครียดลง พร้อมกับแสยะเขี้ยวด้วยความยินดี น้ำลายสีขุ่นไหลย้อยลงสู่พื้นดินเป็ทาง "ติ๋งๆๆ"
หมาป่าอสูรเป็เพียงอสูรชั้นต่ำต้อย สิ่งที่พวกมันสามารถล่าได้โดยง่ายดายนั้นเป็เพียงสัตว์โลกธรรมดา หรือไม่ก็มนุษย์ผู้โชคร้ายที่พลัดหลงเข้ามาในอาณาเขตของพวกมันเท่านั้น สติปัญญาของพวกมันมิได้เฉลียวฉลาดนัก บางครั้งยังตกเป็เหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่งกว่า หรือแม้แต่มนุษย์เองก็ยังล่าพวกมันเพื่อนำหัวใจไปขาย เนื่องจากหัวใจของหมาป่าอสูรนั้นมีสรรพคุณในการฟื้นฟูพละกำลังและรักษาาแเล็กน้อยได้อย่างดี
ในบริเวณรอบนอกของขุนเขาอันเป็เขตแดนของเหล่าสัตว์อสูรนั้น มีหมาป่าอสูรอาศัยอยู่เป็จำนวนมาก บัดนี้ เมื่อมีเหยื่อตกลงมาจากฟากฟ้า ราวกับมีผู้ป้อนเนื้อชั้นดีถึงปาก จะไม่ให้พวกมันปิติยินดีได้อย่างไร ขณะนั้นเอง หมาป่าอสูรตัวหนึ่งก็ไม่อาจอดกลั้นความหิวโหยได้อีกต่อไป มันกระโจนเข้าใส่ร่างเล็กนั้นอย่างรวดเร็ว อ้าปากกว้างเผยเขี้ยวแหลมคม หมายจะกลืนกินมนุษย์ย่อส่วนทั้งร่างในคำเดียว
"ฉึก!" เสียงคมกริบดังขึ้นพร้อมกับเศษเนื้อสีคล้ำกระจัดกระจาย เืสีแดงฉานราวกับหยาดทับทิมลอยคว้างอยู่กลางอากาศ หมาป่าอสูรตัวนั้นถูกสังหารในชั่วพริบตาเดียว เศษเนื้อและเืราวกับถูกดูดเข้าไปในห้วงมิติอันดำมืด "วูบบ..." ก่อนที่จะหายเข้าไปในปากของัน้อยทมิฬตนหนึ่ง
นี่คือกลไกป้องกันตนเองโดยสัญชาตญาณของซ่งเหยียนเฟย เมื่อร่างกายของเขารับรู้ถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามา แม้จิตสำนึกจะหลับใหล แต่กลไกป้องกันตัวจะทำงานโดยอัตโนมัติ แปรเปลี่ยนร่างกลับคืนสู่รูปเดิมของตน กำจัดภัยคุกคามต่างๆ ที่เข้ามา มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งถึงระดับหนึ่งเท่านั้นที่จะมีกลไกป้องกันตนเองเช่นนี้
ฝูงหมาป่าอสูรที่เหลือเห็นภาพอันน่าสะพรึงกลัวนั้น ต่างหวาดผวาจนขนลุกชัน พวกมันส่งเสียงเห่าหอนด้วยความตื่นตระหนก เตรียมที่จะหันหลังหลบหนี ทว่าัน้อยทมิฬกลับมิปล่อยให้ความปรารถนาของพวกมันเป็จริง "ฉึก! สวบบ..." เสียงคมมีดกรีดเฉือนเนื้อดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหล่าหมาป่าอสูรถูกสังหารในพริบตาเดียว กลายเป็อาหารอันโอชะให้แก่ัน้อยดูดกลืนเข้าไป เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างสงบลง ัน้อยไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามอีกต่อไป อีกทั้งยังได้รับพลังบำรุงร่างกายที่อ่อนแอของมัน จึงทำให้มันทิ้งตัวลงนอนหลับใหลอีกครั้ง
บรรยากาศกลับคืนสู่ความเงียบสงบราวกับว่าก่อนหน้านี้มิเคยมีการต่อสู้เกิดขึ้น บริเวณโดยรอบไร้ซึ่งสัตว์อสูรตนใดกล้าเข้าใกล้ ผลจากการสังหารหมู่หมาป่าอสูรอย่างง่ายดายนั้น ได้สร้างความหวาดกลัวฝังลึกเข้าไปในจิตใจของเหล่าสัตว์อสูรที่พบเห็นเป็อย่างมาก นี่จึงทำให้พวกมันไม่กล้าที่จะย่างกรายเข้าใกล้บริเวณนี้แม้เพียงครึ่งก้าว
---
ณ ที่ราบรกร้างอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ผืนดินแตกระแหงราวิัของสัตว์ร้ายโบราณ ไอร้อนระอุจากพื้นทรายแห้งผากแผ่ซ่านขึ้นมา ปราศจากร่มเงาของพฤกษา ไม่มีแม้แต่เสียงกระซิบของสายลมที่พัดผ่าน มีเพียงความเงียบงันอันน่าอึดอัดปกคลุมทั่วบริเวณ แสงจันทร์สาดส่องลงมาอย่างเเรงกล้า สะท้อนกับพื้นดินที่แห้งแล้งจนแสบตา ทุกสรรพสิ่งล้วนปราศจากสีสันแห่งชีวิต เหลือเพียงความว่างเปล่าที่กัดกินจิตใจของผู้มาเยือน
ท่ามกลางความเวิ้งว้างนั้น ชายในอาภรณ์สีแดงเพลิงยืนตระหง่านดุจเทพเพลิงลงมาบนโลก เส้นผมสีแดงสดราวกับเปลวสุริยันต้องลมพัดพลิ้วไหว ดวงตาสีโลหิตจับจ้องไปยังผืนดินเบื้องหน้าอย่างไม่วางตา แววตาของเขาคมกริบดุจใบมีดที่พร้อมจะฟาดฟันทุกสิ่ง กลุ่มเงาในชุดดำสนิทกว่าสิบชีวิต ยืนเรียงรายอยู่เื้ัเขาอย่างเป็ระเบียบ ไร้ซึ่งเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา ราวกับเป็ส่วนหนึ่งของความเงียบงันอันน่าสะพรึงกลัวของสถานที่แห่งนี้
"ร่องรอยการต่อสู้...ยังคงจางๆ ปรากฏอยู่บนผืนทราย" ซ่งไป่ฟ่านเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ ทว่าก้องกังวานในความเงียบ "พลังปราณที่นี่ปั่นป่วนรุนแรง บ่งบอกถึงการปะทะกันของผู้มีวรยุทธ์สูงส่ง อย่างน้อยต้องเป็ผู้ที่บรรลุถึงขั้น 'ผสานนภา' ขึ้นไปอย่างแน่นอน"
สายตาคมกริบของเขาไล่สำรวจไปทั่วบริเวณ ราวกับ้าจะอ่านเื่ราวที่ถูกทิ้งไว้บนผืนดิน
"ข้าััได้ถึงพลังปราณสองสายที่คุ้นเคย...เป็ของตระกูลเหลียนและตระกูลเจิน...และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น...ยังมีร่องรอยพลังปราณอีกสองสาย...เป็ของตระกูลซ่ง" เมื่อเอ่ยถึงตระกูลตนเอง น้ำเสียงของซ่งไป่ฟ่านก็หนักแน่นขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความโกรธที่ยากจะดับมอด
จากนั้นเอง ซ่งไป่ฟ่านก็สังเกตเห็นความผิดปกติเล็กน้อยบนพื้นทราย เขาเคลื่อนกายอย่างรวดเร็วราวกับพายุที่โหมกระหน่ำ เข้าไปตรวจสอบร่องรอยนั้นอย่างละเอียด มือแกร่งยกขึ้นวาดวงเป็รูปประหลาดในอากาศ ก่อนจะใช้นิ้วเรียวยาวแตะลงบนจุดนั้นเบาๆ ทันใดนั้น เปลวเพลิงสีแดงชาดก็ลุกโชนขึ้นจากปลายนิ้ว ส่องสว่างให้เห็นร่องรอยพลังปราณที่ซับซ้อนและบิดเบี้ยว ราวกับภาพมายาที่ถูกเปิดเผย
'เหยียนเออร์...ร่องรอยพลังปราณของเขาจางหายไป ณ จุดนี้...ก่อนที่จะหายไปอย่างสมบูรณ์ เขาะเิพลังตนเอง...ใครกัน...ผู้ใดกันที่บังคับให้บุตรชายข้าต้องกระทำการเช่นนี้!' คิ้วเข้มของซ่งไป่ฟ่านขมวดเข้าหากันแน่น ความกังวลและความโกรธเกรี้ยวถาโถมเข้าสู่จิตใจของเขา
'แต่ยังนับว่าพระเ้ายังเข้าข้าง...ร่องรอยพลังชีวิตของเขายังคงหลงเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยก่อนที่จะหายไป...ลักษณะเช่นนี้...คล้ายคลึงกับร่องรอยของค่ายกลมิติเคลื่อนย้าย...เพียงแต่...ปลายทางของค่ายกลนั้น...จะนำพาเขาไปสู่ที่ใดกันเล่า?' ซ่งไป่ฟ่านถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง ความกังวลฉายชัดบนใบหน้าคมสัน
เขาพยายามปรับสีหน้าให้กลับมาสงบนิ่งดังเดิม ก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับเหล่าบุรุษชุดดำ แววตาของเขายังคงแฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยวและอำนาจ
"พวกเ้าจงสืบสวนต่อไป...จงค้นหาทุกรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้...ไม่ว่าจะเป็ร่องรอยเล็กน้อยเพียงใด...จงนำมาแจ้งแก่ข้าโดยเร็วที่สุด" น้ำเสียงของซ่งไป่ฟ่านเฉียบขาดดุจคมดาบ
"พรึ่บ!" ร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีแดงเพลิงพลันหายวับไปจากสถานที่แห่งนั้นในพริบตาเดียว ไร้ร่องรอย ไร้สุ้มเสียง ราวกับไม่เคยมีผู้ใดปรากฏ ณ ที่แห่งนี้มาก่อน
"น้อมรับบัญชา!!" เหล่าบุรุษชุดดำกล่าวพร้อมเพรียงกัน เสียงหนักแน่นดังก้องกังวานในความเงียบ จากนั้นจึงแยกย้ายกันไปปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ ดุจพญาเหยี่ยวที่โผบินออกจากรัง
ภายในจวนตระกูลซ่งอันโอ่อ่าในยามนี้ เต็มไปด้วยความวุ่นวายอลหม่าน เสียงซุบซิบนินทาดังระงมไปทั่วทุกสารทิศ ผู้คนต่างจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บ้างก็คาดเดาถึงสาเหตุและผลลัพธ์ บ้างก็นั่งรอคอยข่าวสารด้วยความกระวนกระวายใจ บ้างก็แสดงความกังวลอย่างเปิดเผย สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความไม่สบายใจและความสงสัย
ณ ห้วงอากาศเบื้องบนจวนตระกูลซ่ง ปรากฏร่องรอยการบิดเบี้ยวของมิติอย่างฉับพลัน ก่อนที่ร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีแดงเพลิงจะก้าวออกมาจากรอยแยกนั้น ร่างนั้นคือซ่งไป่ฟ่านนั่นเอง เขาลดตัวลงสู่พื้นดินอย่างเงียบเชียบ ก้าวเดินไปยังเบื้องหน้าห้องพักขนาดกลางห้องหนึ่ง ประตูไม้สีเข้มแกะสลักลวดลายัดูสง่างาม เขาหยุดยืนอยู่หน้าประตู มองไปยังบานประตูด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ก่อนจะถอนหายใจแ่เบาแล้วส่ายศีรษะเล็กน้อย จากนั้นจึงยกมือขึ้นเคาะประตูเบาๆ
"ก๊อกๆๆ" เสียงเคาะประตูแ่เบาดังขึ้นในความเงียบ "ข้าเอง...ฮูหยิน"
"ท่านกลับมาแล้วหรือ...เซี่ยงกง" เสียงหวานใสแต่แฝงไว้ด้วยความกังวลตอบกลับมาจากด้านใน พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ประตูไม้ นางเป็สตรีวัยกลางคน ผิวพรรณยังคงผุดผ่องดุจหิมะแรกต้องแสงจันทร์ ดวงหน้างดงามราวกับภาพวาด แม้ในอาภรณ์ผ้าเนื้อเรียบง่ายสีอ่อนที่นางสวมใส่ ก็มิอาจบดบังรัศมีแห่งความสง่างามและอ่อนโยนของนางได้ เเละมันกลับขับเน้นความงามที่เรียบง่ายนั้นให้โดดเด่นยิ่งขึ้น สร้างความสบายตาและความอบอุ่นใจแก่ผู้ที่ได้พบเห็น
"แกร๊ก..." บานประตูไม้ค่อยๆ ถูกเปิดออก ทั้งสองสบตากัน ซ่งไป่ฟ่านเห็นถึงความกังวลและความเศร้าหมองในดวงตาคู่สวยของภรรยา ก่อนที่นางจะก้มหน้าลงเล็กน้อย หันหลังเดินนำเข้าไปในห้องอย่างช้าๆ ท่วงท่าของนางยังคงสง่างามและนุ่มนวล แม้ในยามที่หัวใจกำลังทุกข์ทน
"เกี่ยวข้องกับเหยียนเออร์...ใช่หรือไม่?" นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงไว้ด้วยความเ็ปที่พยายามปกปิด
"เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่...เหยียนเออร์...เขาะเิกายตนเองเพื่อหลีกหนีไปได้...เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าเขาถูกส่งไปยังที่ใด...โชคยังดีที่ข้ายังััได้ถึงพลังชีวิตที่อ่อนแรงของเขา..." ใบหน้าคมสันของซ่งไป่ฟ่านดำคล้ำลง ดวงตาเต็มไปด้วยความเ็ปและความโกรธ กล่าวด้วยน้ำเสียงกระอักกระอ่วน
เมื่อได้ยินข่าวร้ายเกี่ยวกับบุตรชาย นางก็พลันรู้สึกราวกับว่าร่างกายไร้เรี่ยวแรง มือไม้สั่นเทา หัวใจบีบรัดด้วยความเ็ป น้ำตาคลอหน่วย
"ฮูหยิน!!!" ซ่งไป่ฟ่านร้องเรียกด้วยความใ รีบก้าวเข้าไปประคองร่างของนางไว้ได้ทันท่วงที ก่อนที่ร่างบอบบางนั้นจะทรุดฮวบลงสู่พื้น
จากนั้น เขาก็อุ้มนางขึ้นแนบอกอย่างทะนุถนอม พาไปยังเตียงนอนที่ปูลาดด้วยผ้าไหมเนื้อดีอย่างเบามือ ดึงผ้าห่มผืนบางลวดลายวิจิตรมาคลุมกายให้ นางหลับตาพริ้ม ใบหน้าซีดเซียว ซ่งไป่ฟ่านนั่งลงข้างเตียง จ้องมองใบหน้าของนางด้วยความรักใคร่และสงสาร จับมือเรียวเล็กที่เย็นเฉียบของนางไว้แน่น
"ฮูหยิน...ข้ารู้ว่าเ้าเสียใจเพียงใด...ข้าเองก็เช่นกัน...ข้าขอสัญญา...ข้าจะให้พวกมันชดใช้...ไม่ว่าจะเป็ใครก็ตามที่กล้าทำร้ายลูกของเรา! เ้าอย่าได้กังวลเลย...ข้าจะทำทุกวิถีทาง...ทุกวิถีทางเพื่อนำลูกของเรากลับมาสู่อ้อมอกของเราให้ได้" เขายกมืออีกข้างขึ้นลูบเส้นผมสีดำขลับยาวสลวยของนางอย่างอ่อนโยน จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้น มองไปยังจุดหนึ่งในอากาศที่ว่างเปล่า ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความแค้นเคืองและมุ่งมั่น
ณ อีกฟากฝั่งของตระกูลซ่ง ราตรีกาลได้ย่างเข้าสู่ความมืดมิด เงียบสงัด แสงจันทร์สาดส่องนวลตาลงมายังหมู่แมกไม้และเรือนพักอย่างแ่เบา ท่ามกลางความเงียบสงัดนั้น ปรากฏร่างสูงโปร่งของบุรุษหนุ่มในอาภรณ์เนื้อดีที่บัดนี้
กลับเต็มไปด้วยรอยฉีกขาดและคราบโลหิต เขาก้าวเท้าเข้ามาในเขตเรือนด้วยท่าทางโซเซ ราวกับต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งไว้บนบ่า ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความยากลำบาก ราวกับมีโซ่ตรวนหนักอึ้งรั้งข้อเท้าไว้ เมื่อร่างนั้นใกล้ถึงประตูห้องพักส่วนตัว เสียงหวานใสแต่แฝงไว้ด้วยความใก็ดังขึ้น
"หนานเออร์! นั่นเ้า...เกิดอันใดขึ้นกับเ้ากันแน่!"
ร่างของหญิงวัยกลางคนในชุดผ้าไหมปักลายดอกโบตั๋นสีแดงสด ปรากฏขึ้นที่หน้าประตูห้อง นางมีใบหน้างดงาม แม้จะมีร่องรอยแห่งวัยปรากฏอยู่บ้าง แต่ดวงตากลับฉายแววเฉลียวฉลาดและอำนาจ นางจ้องมองบุตรชายด้วยความตกตะลึงและเป็ห่วงอย่างยิ่ง
"ท่านแม่..." เสียงของซ่งเหว่ยนานแหบแห้ง ราวกับคนขาดน้ำมานาน ดวงตาคมกริบที่เคยเปล่งประกายกลับหม่นแสงลงอย่างเห็นได้ชัด "ข้า...ข้าถูกสัตว์อสูรโจมตี...หากโชคไม่ดีคงมิอาจกลับมาถึงที่นี่ได้..." น้ำเสียงของเขาแ่เบา แต่กลับแฝงไว้ด้วยความเ็ปและความหวาดหวั่น
"ว่ากระไรนะ!! สัตว์อสูร!? เหตุใดเ้าจึงาเ็สาหัสเพียงนี้! แล้วผู้คุ้มกันของเ้าเล่า? พวกเขาหายไปไหนหมด!" น้ำเสียงของนางแปรเปลี่ยนเป็ความกริ้วโกรธอย่างฉับพลัน ใบหน้างดงามนั้นบัดนี้กลับถมึงทึง ดวงตาฉายแววพิฆาต ราวกับพร้อมจะบดขยี้ผู้ที่กล้าทำร้ายบุตรชายของตน
"แค่กๆ..." ซ่งเหว่ยนานไอออกมาอย่างรุนแรง พร้อมกับกระอักโลหิตสีแดงสดออกมาคำใหญ่ หยดโลหิตนั้นเปรอะเปื้อนอาภรณ์มากยิ่งขึ้น สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้เป็มารดาจนแทบสิ้นสติ
"หนานเออร์! เ้าอย่าได้พูดสิ่งใดอีกเลย! รีบนั่งลงเสียก่อน!" นางรีบประคองร่างบุตรชายอย่างทุลักทุเล พาเขาไปยังเตียงนอนที่ตั้งอยู่ภายในห้อง แล้วค่อยๆ วางร่างที่อ่อนแรงนั้นลงอย่างเบามือ "แม่จะไปนำยามาให้เ้าเดี๋ยวนี้!" นางกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน
เมื่อซ่งเหว่ยนานได้ดื่มยาขนานเอกที่มารดานำมาให้ พิษร้ายในร่างค่อยๆ ทุเลาลง ร่องรอยความเหนื่อยล้าบนใบหน้าเริ่มจางหายไป ดวงตาเริ่มกลับมามีประกายแห่งชีวิตอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าบุตรชายอยู่ในสภาพที่พอจะพูดคุยได้แล้ว นางจึงนั่งลงข้างเตียง มองบุตรชายด้วยความเป็ห่วงอย่างสุดหัวใจ
"หนานเออร์...เ้าบอกแม่มาตามตรงเถิด เกิดอันใดขึ้นกันแน่? เหตุใดเ้าจึงอยู่ในสภาพสาหัสเช่นนี้ได้?" น้ำเสียงของนางอ่อนโยนลง แต่ยังคงแฝงไว้ด้วยความกังวล
ซ่งเหว่ยนานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามรวบรวมสติ ก่อนจะเริ่มเล่าเื่ราวที่เขาได้เผชิญมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาฉายแววหวาดกลัวเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น "ตอนนั้นพวกเราออกไปล่าสัตว์อสูรตามปกติ ทุกอย่างเป็ไปด้วยความราบรื่น ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ จนกระทั่ง..." เขาเว้นคำพูดไปครู่หนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลานั้นกลับซีดเผือดลงราวกับเห็นภูตผีปีศาจ
"เ้าจะบอกว่า...ที่เ้าประสบเคราะห์ร้ายถึงเพียงนี้ เป็เพราะเผชิญหน้ากับวานรอัสนีโลหิต ระดับบ่มเพาะสูงส่งเกินกว่าเ้าจะต้านทานได้ และผู้คุ้มกันที่ติดตามเ้า...ล้วนถูกสังหารจนสิ้น?" นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ซึ่งความกังวลระคนสะท้านใจ
"เป็ดังท่านแม่กล่าวทุกประการ..." ซ่งเหว่ยนานก้มหน้าลง ดวงตาฉายแววเศร้าสร้อยอย่างสุดจะทานทน "แต่ลูกยังคงมีโชค...ผู้คุ้มกันเ่าั้ต่างสละชีพตน ปกป้องให้ลูกหนีรอดมาได้...พวกเขา...พวกเขาตายหมดแล้ว..." น้ำเสียงของเขาขาดห้วง ราวกับหัวใจถูกบีบรัดด้วยความเ็ป
มารดาของซ่งเหว่ยนานได้ยินดังนั้น ความโกรธในดวงตาค่อยๆ จางลง แปรเปลี่ยนเป็ความเห็นใจ นางลูบศีรษะบุตรชายเบาๆ อย่างปลอบประโลม
"ไม่เป็ไรแล้วลูกรัก...แม่รู้ว่าเ้าเป็คนจิตใจดีงาม เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม เ้ามิต้องกังวลไป แม่จะมอบทรัพย์สินเงินทองเเละส่งคนไปดูแลครอบครัวของพวกเขาเ่าั้อย่างดีที่สุด ให้สมกับความเสียสละของพวกเขา"
นางเว้นไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้น "ยามนี้เ้ายังมิหายดี จงพักรักษาตัวอยู่ในเรือน อย่าได้ออกไปเที่ยวเล่นที่ใดอีก เข้าใจหรือไม่?"
"ขอรับ ท่านแม่...ลูกจะน้อมรับคำสอนของท่าน ลูกรักท่านแม่ที่สุด..." เขากล่าวพร้อมกับส่งยิ้มบางๆ ให้ผู้เป็มารดา
นางมองบุตรชายด้วยความเอ็นดู ความสุขเอ่อล้นในอกเมื่อได้ยินคำรักจากปากบุตร "แม่ก็รักเ้าเช่นกันจ้ะ เช่นนั้นแม่ขอตัวก่อน เ้าจงนอนหลับพักผ่อนกายาเถิด" นางกล่าวด้วยความอ่อนโยน
หลังจากมารดาของซ่งเหว่ยนานจากไปแล้ว ร่างสูงโปร่งนั้นก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ดวงตาคมกริบค่อยๆ ปิดลง แต่ภายในห้วงความคิดกลับปรากฏภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ราวกับม้วนฟิล์มที่ฉายซ้ำ โดยเฉพาะภาพสุดท้ายของการะเิตนเองของซ่งเหยียนเฟย ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจของเขา
"ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง...วันที่ข้าจะทวงคืนทุกสิ่งทุกอย่างจากเ้า...ซ่งเหยียนเฟย!! ข้ารอคอยวันนี้มานานแสนนาน เ้าจงไปเสวยสุขในปรโลกเสียเถิด...ท่านแม่...ต่อจากนี้ไป เราสองแม่ลูกจะได้อยู่อย่างมีเกียรติ มีหน้ามีตา ให้ผู้คนทั้งหลายสรรเสริญเยินยอเสียที ข้าได้กำจัดอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราไปแล้ว ต่อจากนี้ ข้าจะดูแลท่านเองท่านแม่ เเละไม่มีผู้ใดกล้าขวางทางเราได้อีก..."
มุมปากของซ่งเหว่ยนานยกขึ้นเป็รอยยิ้มเหี้ยมเกรียม แววตาฉายประกายแห่งความพึงพอใจอันลึกล้ำ...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้